หมอกเมืองมาร ตอนที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32757931
ตอนที่ ๒
จดหมายลับ
ฐานสิทธิ์มาทราบเมื่อตอนเช้าว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่เขาได้ยินเมื่อคืนนั้น เป็นเสียงของเฉิดฉวี ผู้หญิงที่เขาพบเมื่อวาน สมยศเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังขณะเดินทางไปทานมื้อเช้าที่บ้านใหญ่ว่าเธอคลุ้มคลั่งเสียใจ หลังทราบข่าวการหมั้นหมายของสุริยากับพิมพ์อัปสรที่จะมาถึง สมยศที่ไม่ได้กลับบ้านมานานก็เพิ่งมารู้ทีหลังจากพวกชาวบ้านว่าเฉิดฉวีกับสุริยาคบหาดูใจกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่คาดว่าฝ่ายชายคงไม่ได้คิดจริงจังกับหล่อนเท่าใดนัก สุริยาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลที่มั่งมีรองจากบ้านท่านเหมันต์ เขาจบการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงจากวิทยาลัยในตัวจังหวัด ปัจจุบันทำงานให้กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างในเมือง คิดถึงตรงนี้ ฐานสิทธิ์จึงอดคิดถึงพิมพ์อัปสรขึ้นมาไม่ได้ หล่อนคงรู้ว่าสุริยามีหญิงอื่นหมายปองอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่คัดค้านการหมั้นหมายครั้งนี้หนอ ?
“นั่งรอที่ห้องรับแขกสักครู่นะคะ เดี๋ยวนายท่านจะลงมาพบ” นางอุ่น แม่บ้านวัยห้าสิบปีผู้ที่ฐานสิทธิ์พบหน้าเมื่อวานเชื้อเชิญทั้งคู่ไปยังห้องรับแขกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ประตูกระจกบ้านกว้างถูกเปิดออกจนสุดเพื่อรับแสงอรุณและลมหนาวในยามเช้า หมู่โซฟาที่ทำจากหวายหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีโต๊ะไม้กลมตั้งอยู่ตรงกลาง ฐานสิทธิ์และสมยศทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กคนละฝั่ง เว้นที่นั่งขนาดกว้างไว้ให้กับผู้เป็นเจ้าบ้าน
ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ จึงหันไป เห็นพิมพ์อัปสรในชุดเสื้อหนาวไหมพรมสีครีมเข้ารูปเอ่ยบางอย่างกับแม่บ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินหายเข้าไปในครัวด้วยกัน และขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะละสายตาหันกลับมา เขาก็แลเห็นนางพิรุณกำลังประคองร่างชายชราวัยเจ็ดสิบปีเดินตรงมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
ใบหน้าที่ยับย่นไปตามกาลเวลาบ่งบอกถึงสังขารที่โรยลา ผมบนหัวขาวโพลน หากแต่โครงหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่แลเห็นแจ้งว่าบุรุษสูงวัยผู้นี้คงเป็นหนุ่มรูปงามเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน ฐานสิทธิ์ค้อมศีรษะลงน้อยๆ พร้อมกับคลายยิ้ม นายท่านเหมันต์พอแลเห็นแขกหนุ่มก็ยกมือทักทายพร้อมกับเปรยยิ้มเบาๆ
จนกระทั่งผู้เป็นเจ้าบ้านมาทรุดนั่งลงข้างๆ ฐานสิทธิ์จึงยกมือไหว้ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ ดวงตาหม่นแสงครู่นั้นสำรวจมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจครู่ใหญ่จนอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเสียไม่ได้
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อวานฉันลงมาพบพ่อหนุ่มไม่ได้ คนแก่น่ะก็เจ็บออดๆ แอดๆ ไปตามเรื่อง พ่อหนุ่มนี่เหมือนปลัดไม่น้อยนะ หล่อไม่ผิดพ่อเลยทีเดียว” พูดจบ ชายชราก็หัวเราะร่า หันไปมองสมยศแวบหนึ่งก่อนจ้องมองชายหนุ่มด้วยความสนใจ ฐานสิทธิ์ค้อมศีรษะลงด้วยความเก้อเขิน
“ต้องขอบคุณท่านมากครับที่กรุณาให้ที่พักผม ที่นี่บรรยากาศดีมาก” ฐานสิทธิ์เอ่ยชม เหมันต์ยิ้มบางๆ ให้ตามประสา ก่อนเหลือบสายตาไปยังซองกระดาษขนาดกระดาษเอสี่ที่วางอยู่บนตักชายหนุ่ม
ฐานสิทธิ์เหมือนจะรู้ทัน จึงก้มลงหยิบเอาซองเอกสารบนตักขึ้นมา “นี่ครับ เอกสารที่คุณพ่อฝากมาให้ท่าน” ชายหนุ่มยื่นเอกสารส่งให้ สมยศจ้องมองเจ้าเอกสารซองนั้นอย่างไม่วางตา
เหมันต์ถือมันไว้ในมือแน่น ครู่หนึ่งนางพิรุณกับแม่บ้านก็นำกาแฟกับขนมปังปิ้งทาเนยมาเสิร์ฟ
“ปกติฉันจะกินข้าวต้มบ้าง กินกาแฟบ้าง ถ้าพ่อหนุ่มไม่อิ่มก็บอกแม่บ้านนะ พวกสาวๆ เขาจะทานมื้อเช้ากันสายหน่อย” นายท่านเหมันต์บอกก่อนเอื้อมมือไปจับหูกาแฟยกขึ้นจิบ ทั้งสามสนทนากันไม่นาน นายท่านเหมันต์จึงลุกเดินขึ้นห้องไปอ่านหนังสือโดยมีนางพิรุณคอยประคองร่างเหมือนตอนมา
“ดูท่านยังแข็งแรงดีนะครับ สมัยหนุ่มๆ คงหล่อไม่ใช่เล่น” ฐานสิทธิ์เปรยขึ้น สายตายังมองตามหลังชายขราที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปกับนางพิรุณ สมยศแค่นหัวเราะก่อนแบะขนมปังปิ้งและหยิบใส่ปาก
“ทั้งหล่อทั้งเจ้าชู้เลยหละครับ เมียน้อยแกก็มีไม่ใช่น้อย แต่ส่วนใหญ่อยู่คนละที่กัน พ่อผมบอกว่าแต่ก่อนแกเป็นทหาร ได้รบสมัยสงครามโลกด้วย แกเป็นคนใจคอกล้าหาญ กล้าได้กล้าเสียครับ แล้วก็นักเลงพอตัว แต่ข้อดีของแกก็มีมากเหมือนกัน อย่างที่คุณเห็น ที่ดินหลายสิบไร่นั่นปะไรที่แกสู้บุกเบิกถากถางจากป่าจนกลายเป็นสวนเป็นไร่”
“แล้วแกไปได้คุณพิรุณมาเป็นลูกเลี้ยงได้ยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มชักอย่างรู้ คำถามข้อนี้เกือบจะทำให้ก้อนขนมปังติดคอสมยศ เขารีบยกกาแฟขึ้นซด ฐานสิทธิ์หันหน้ามารอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
สมยศเงียบไปครู่หนึ่ง เขาทอดสายตามองออกไปยังเบื้องนอก สีหน้าดูสลดหดหู่อย่างไรพิกล “สองพี่น้องเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่มาขออาศัยทำงานในไร่เพื่อแลกข้าวแลกน้ำ แต่ไม่นานทั้งคู่ก็ตายลง ท่านเหมันต์ตอนนั้นอายุคงสักสามสิบสี่สิบเห็นจะได้ เกิดความเมตตาสงสารเลยรับมาเลี้ยงเสียเลย ก็มีแต่ลูกชายคนเดียวน่ะครับ คงอยากได้ลูกสาว”
“แล้วภรรยาท่านล่ะครับ เสียชีวิตไปตอนไหนหรือ?” คราวนี้สมยศหันขวับมาจ้องหน้าชายหนุ่ม ใบหน้าของชายวัยสี่สิบซีดเผือดลงราวกับเจอผี เขากัดริมฝีปากล่างเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ตายไปตอนที่พิรุณอายุได้สิบห้าสิบหกปีมังครับ เออคุณฐานสิทธิ์...อยู่ที่นี่ผมจะเตือนคุณไว้อย่างหนึ่งนะครับ อย่าถามถึงเรื่องภรรยาท่านเหมันต์กับใครเชียว หรืออย่าอยากรู้เรื่องของตระกูลนี้ให้มากนัก” คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาฐานสิทธิ์ขมวดคิ้ว หัวใจเริ่มเต้นโครมคราม
“ก็...นายท่านไม่ชอบให้คนนอกมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องภายในบ้านท่านน่ะสิครับ อย่างตอนที่เมียท่านตาย ก็มีหลายคนที่สงสัยว่าท่านฆ่าเมียตัวเอง หรือแม้กระทั่งมีคนในบ้านนี้รู้เห็นในการฆ่าเธอ” อา...ฐานสิทธิ์อ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก หวังว่านายสมยศคงไม่ได้กุเรื่องเหลวไหลมาหลอกเขากระมัง... ชายชราที่เขาเห็นเมื่อครู่ ลักษณะท่วงท่าดูเป็นคนมีบารมีและเมตตา จะกล้าทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ ?
หมอกเมืองมาร ตอนที่ ๒
จดหมายลับ
ฐานสิทธิ์มาทราบเมื่อตอนเช้าว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่เขาได้ยินเมื่อคืนนั้น เป็นเสียงของเฉิดฉวี ผู้หญิงที่เขาพบเมื่อวาน สมยศเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังขณะเดินทางไปทานมื้อเช้าที่บ้านใหญ่ว่าเธอคลุ้มคลั่งเสียใจ หลังทราบข่าวการหมั้นหมายของสุริยากับพิมพ์อัปสรที่จะมาถึง สมยศที่ไม่ได้กลับบ้านมานานก็เพิ่งมารู้ทีหลังจากพวกชาวบ้านว่าเฉิดฉวีกับสุริยาคบหาดูใจกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่คาดว่าฝ่ายชายคงไม่ได้คิดจริงจังกับหล่อนเท่าใดนัก สุริยาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลที่มั่งมีรองจากบ้านท่านเหมันต์ เขาจบการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงจากวิทยาลัยในตัวจังหวัด ปัจจุบันทำงานให้กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างในเมือง คิดถึงตรงนี้ ฐานสิทธิ์จึงอดคิดถึงพิมพ์อัปสรขึ้นมาไม่ได้ หล่อนคงรู้ว่าสุริยามีหญิงอื่นหมายปองอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่คัดค้านการหมั้นหมายครั้งนี้หนอ ?
“นั่งรอที่ห้องรับแขกสักครู่นะคะ เดี๋ยวนายท่านจะลงมาพบ” นางอุ่น แม่บ้านวัยห้าสิบปีผู้ที่ฐานสิทธิ์พบหน้าเมื่อวานเชื้อเชิญทั้งคู่ไปยังห้องรับแขกซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ประตูกระจกบ้านกว้างถูกเปิดออกจนสุดเพื่อรับแสงอรุณและลมหนาวในยามเช้า หมู่โซฟาที่ทำจากหวายหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีโต๊ะไม้กลมตั้งอยู่ตรงกลาง ฐานสิทธิ์และสมยศทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กคนละฝั่ง เว้นที่นั่งขนาดกว้างไว้ให้กับผู้เป็นเจ้าบ้าน
ครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ จึงหันไป เห็นพิมพ์อัปสรในชุดเสื้อหนาวไหมพรมสีครีมเข้ารูปเอ่ยบางอย่างกับแม่บ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินหายเข้าไปในครัวด้วยกัน และขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะละสายตาหันกลับมา เขาก็แลเห็นนางพิรุณกำลังประคองร่างชายชราวัยเจ็ดสิบปีเดินตรงมาหาพวกเขาอย่างช้าๆ
ใบหน้าที่ยับย่นไปตามกาลเวลาบ่งบอกถึงสังขารที่โรยลา ผมบนหัวขาวโพลน หากแต่โครงหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่แลเห็นแจ้งว่าบุรุษสูงวัยผู้นี้คงเป็นหนุ่มรูปงามเมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อน ฐานสิทธิ์ค้อมศีรษะลงน้อยๆ พร้อมกับคลายยิ้ม นายท่านเหมันต์พอแลเห็นแขกหนุ่มก็ยกมือทักทายพร้อมกับเปรยยิ้มเบาๆ
จนกระทั่งผู้เป็นเจ้าบ้านมาทรุดนั่งลงข้างๆ ฐานสิทธิ์จึงยกมือไหว้ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ ดวงตาหม่นแสงครู่นั้นสำรวจมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจครู่ใหญ่จนอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าเสียไม่ได้
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อวานฉันลงมาพบพ่อหนุ่มไม่ได้ คนแก่น่ะก็เจ็บออดๆ แอดๆ ไปตามเรื่อง พ่อหนุ่มนี่เหมือนปลัดไม่น้อยนะ หล่อไม่ผิดพ่อเลยทีเดียว” พูดจบ ชายชราก็หัวเราะร่า หันไปมองสมยศแวบหนึ่งก่อนจ้องมองชายหนุ่มด้วยความสนใจ ฐานสิทธิ์ค้อมศีรษะลงด้วยความเก้อเขิน
“ต้องขอบคุณท่านมากครับที่กรุณาให้ที่พักผม ที่นี่บรรยากาศดีมาก” ฐานสิทธิ์เอ่ยชม เหมันต์ยิ้มบางๆ ให้ตามประสา ก่อนเหลือบสายตาไปยังซองกระดาษขนาดกระดาษเอสี่ที่วางอยู่บนตักชายหนุ่ม
ฐานสิทธิ์เหมือนจะรู้ทัน จึงก้มลงหยิบเอาซองเอกสารบนตักขึ้นมา “นี่ครับ เอกสารที่คุณพ่อฝากมาให้ท่าน” ชายหนุ่มยื่นเอกสารส่งให้ สมยศจ้องมองเจ้าเอกสารซองนั้นอย่างไม่วางตา
เหมันต์ถือมันไว้ในมือแน่น ครู่หนึ่งนางพิรุณกับแม่บ้านก็นำกาแฟกับขนมปังปิ้งทาเนยมาเสิร์ฟ
“ปกติฉันจะกินข้าวต้มบ้าง กินกาแฟบ้าง ถ้าพ่อหนุ่มไม่อิ่มก็บอกแม่บ้านนะ พวกสาวๆ เขาจะทานมื้อเช้ากันสายหน่อย” นายท่านเหมันต์บอกก่อนเอื้อมมือไปจับหูกาแฟยกขึ้นจิบ ทั้งสามสนทนากันไม่นาน นายท่านเหมันต์จึงลุกเดินขึ้นห้องไปอ่านหนังสือโดยมีนางพิรุณคอยประคองร่างเหมือนตอนมา
“ดูท่านยังแข็งแรงดีนะครับ สมัยหนุ่มๆ คงหล่อไม่ใช่เล่น” ฐานสิทธิ์เปรยขึ้น สายตายังมองตามหลังชายขราที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปกับนางพิรุณ สมยศแค่นหัวเราะก่อนแบะขนมปังปิ้งและหยิบใส่ปาก
“ทั้งหล่อทั้งเจ้าชู้เลยหละครับ เมียน้อยแกก็มีไม่ใช่น้อย แต่ส่วนใหญ่อยู่คนละที่กัน พ่อผมบอกว่าแต่ก่อนแกเป็นทหาร ได้รบสมัยสงครามโลกด้วย แกเป็นคนใจคอกล้าหาญ กล้าได้กล้าเสียครับ แล้วก็นักเลงพอตัว แต่ข้อดีของแกก็มีมากเหมือนกัน อย่างที่คุณเห็น ที่ดินหลายสิบไร่นั่นปะไรที่แกสู้บุกเบิกถากถางจากป่าจนกลายเป็นสวนเป็นไร่”
“แล้วแกไปได้คุณพิรุณมาเป็นลูกเลี้ยงได้ยังไงล่ะครับ” ชายหนุ่มชักอย่างรู้ คำถามข้อนี้เกือบจะทำให้ก้อนขนมปังติดคอสมยศ เขารีบยกกาแฟขึ้นซด ฐานสิทธิ์หันหน้ามารอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ
สมยศเงียบไปครู่หนึ่ง เขาทอดสายตามองออกไปยังเบื้องนอก สีหน้าดูสลดหดหู่อย่างไรพิกล “สองพี่น้องเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่มาขออาศัยทำงานในไร่เพื่อแลกข้าวแลกน้ำ แต่ไม่นานทั้งคู่ก็ตายลง ท่านเหมันต์ตอนนั้นอายุคงสักสามสิบสี่สิบเห็นจะได้ เกิดความเมตตาสงสารเลยรับมาเลี้ยงเสียเลย ก็มีแต่ลูกชายคนเดียวน่ะครับ คงอยากได้ลูกสาว”
“แล้วภรรยาท่านล่ะครับ เสียชีวิตไปตอนไหนหรือ?” คราวนี้สมยศหันขวับมาจ้องหน้าชายหนุ่ม ใบหน้าของชายวัยสี่สิบซีดเผือดลงราวกับเจอผี เขากัดริมฝีปากล่างเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ตายไปตอนที่พิรุณอายุได้สิบห้าสิบหกปีมังครับ เออคุณฐานสิทธิ์...อยู่ที่นี่ผมจะเตือนคุณไว้อย่างหนึ่งนะครับ อย่าถามถึงเรื่องภรรยาท่านเหมันต์กับใครเชียว หรืออย่าอยากรู้เรื่องของตระกูลนี้ให้มากนัก” คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาฐานสิทธิ์ขมวดคิ้ว หัวใจเริ่มเต้นโครมคราม
“ก็...นายท่านไม่ชอบให้คนนอกมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องภายในบ้านท่านน่ะสิครับ อย่างตอนที่เมียท่านตาย ก็มีหลายคนที่สงสัยว่าท่านฆ่าเมียตัวเอง หรือแม้กระทั่งมีคนในบ้านนี้รู้เห็นในการฆ่าเธอ” อา...ฐานสิทธิ์อ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก หวังว่านายสมยศคงไม่ได้กุเรื่องเหลวไหลมาหลอกเขากระมัง... ชายชราที่เขาเห็นเมื่อครู่ ลักษณะท่วงท่าดูเป็นคนมีบารมีและเมตตา จะกล้าทำเรื่องชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ ?