อีกประสบการณ์ ที่เริ่มต้นจากศุนย์ จนประสบความสำเร็จและวันนึงก็ตกลงมาที่ศูนย์อีก แต่ประสบการณ์เพียบ

เห็นเขาฮิตกัน เล่าประสบการณ์ เริ่มต้นทำธุรกิจ ที่เริ่มจากศูนย์ จนประสบความสำเร็จ มีเงินหลายหลักในบัญชี
ผมขอเล่าบ้างล่ะกัน อีกประสบการณ์ ที่เริ่มต้นจากศูนย์ จนประสบความสำเร็จในระดับนึง และวันนึงก็ตกลงมาที่ศูนย์อีก แต่ประสบการณ์เพียบ

ขอเล่าว่ามาจาก หมู่บ้านเล็กๆ แบบตอนไฟพึ่งเข้าถึงตอนเรียนจะจบป.6 นี่เอง

แต่ก็ขนขวายมาเรียน จนจบปริญญาตรี ได้ ตอนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยแต่ด้วยที่ทำงานไปด้วยทำให้ได้ประสบการณ์เยอะมากในการทำงานฟรีแลนซ์ จบมาเลยไม่ต้องทำงานประจำ ทำงานฟรีแลนซ์มา 2 -3 ปี โดยไม่ทำงานประจำอะไรเลย แต่พอโตขึ้นก็เบื่อๆกับงานฟรีแลนซ์ เพราะมีเด็กใหม่มาทำงานเพิ่มขึ้น ค่าแรงก็ถูกกว่าเรา สุดท้ายเราก็เฟดตัวออกไป หางานประจำทำ

ตอนที่ทำงานประจำประมาณ 1 ปี รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ทำงานไปไม่มีความสุขเลย เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา และเขาทำงานอิสระมาก่อน เลยเริ่มหาธุรกิจทำ หาหนังสือมาอ่านพยายามศึกษาหาข้อมูล เลยตัดสินใจลงทันจะเปิดร้ายขายเสื้อที่ เจเจ กู้เงินมาครึ่งแสน จะไปหุ้นกับเพื่อน สุดท้ายเพื่อนเชิ่ดเงินหนีไป ทำให้ตอนนั้นเสียใจมาก เงินกู้มา ทุกบาททุกสตางค์ไม่ได้ใช้ โดยเพื่อนเอาไปหมด

สุดท้ายก็ลาออกจากงานประจำ เงินเก็บไม่มีซักบาท แต่ไม่รู้จะเริ่มทำอะไร แต่ในใจคิดว่าเราจะต้องทำธุรกิจส่วนตัวให้ได้ แต่มีปัญหาเรื่องเงินทุน และมีวันนึงได้ยินใครก็ไม่รู้จำไม่ได้บอกว่า "ถ้าจะทำธุรกิจที่ดีที่สุด ควรจะเริ่มต้นจาก แปลงความรู้ให้เป็นทุน ไม่ใช่แค่ลงเงินอย่างเดียว" ปิ้งเลย ตอนนั้นเรามีความคิดอะไรได้บ้างว่ะ พยายามคิดอยู่อาทิตย์ สุดท้ายนึงออก เราทำงานฟรีแลนซ์ พวกออกกาไนซ์มาก่อน ก็เลยไปยืมเงินเพื่อนหมื่นกว่าบาทไปจดทะเบียนบริษัทรับงานอีเวนต์ เอาพ่อแม่พี่น้อง แฟน มาเป็นหุ่นส่วน พร้อมหาคอนแทคเก่าๆเพื่อของานทำจากเขา สุดก็มีงานเข้าบ้าง ต่อชีวิตไปได้เยอะ ทำไปทำมาก็เริ่มมีเงินมากขึ้น แต่วงการอีเวนต์งานเยอะมากก็จริง แต่คู่แข่งก็เยอะมาก เลยตัดสินใจ คิดหาทางหาเงินอย่างอื่น เพระาถ้ารอเขามาจ้างไม่มีเงินแน่นอน

สุดท้าย คิดโปรเจคต์ "งานตัวเอง" มาหนึ่งงาน ขอไม่ขอลงรายละเอียดนะครับว่างานอะไร แต่งานนี้จะต้องมี ต่างประเทศเข้าร่วมงานด้วย และตั้งใจว่าจะจัดทุกปี หลังจากวางโปรเจคต์เสร็จก็วิ่งหาสปอนเซอร์ หาผู้สนับสนุน มีเพื่อนที่ไหนพุดคุยปรึกษา ช่วยไรได้ให้ช่วย ช่วยไม่ได้ไม่ว่ากัน ลงเงินให้น้อยที่สุด "งานนี้ไม่มีเงินทุนเลยซักบาท" กะว่าจะหาเงินหาสปอนเซอร์ทั้งหมด  สุดท้ายหาเงินได้มาก้อนนึง จาก เยอะพอสมควร ต้องขอบคุณเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ช่วยได้เยอะเช่นกัน แล้วก็จัดงานนี้ขึ้นมา ถือว่าแจ้งเกิดพอสมควร

พองานนี้เสร็จ ผลตอบรับถือว่าโอเค เราเชิญแขกจาก ต่างประเทศมาร่วมงานได้จริง สปอนเซอร์แฮปปี้ แล้วต่างประเทศเริ่มเชิญเราไปบ้าง ไปร่วมงานที่ประเทศเขา จากนั้นแหละ ธุรกิจเริ่มต่อยอดเกิดขึ้น จากงานที่เราทำ ทำให้เราเริ่มมีงานอย่างอื่นและรายได้เยอะมากขึ้น เงินก็เริ่มเข้ามาเอยะมากขึ้น

พอปีต่อมา งานก็เริ่มดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว เงินที่เข้ามาก็เยอะกว่า จากหลักแสนก็เป็นหลักล้าน แต่ค่าใช้จ่ายก็เยอะตาม แต่ก็ยังพอมีใช้ เริ่มจ้างลูกน้องมากขึ้น แต่ก็มีความสุขมากขึ้น เริ่มมีเงินก็ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อที่ดินเก็บไว้  ปีหนึ่งทำงาน แค่ 2-3 เดือน ก็มีเงินพอใช้ทั้งปี และมีโอกาสเดินทางไปหลายประเทศเพื่อติดต่องาน ปีหนึ่งเดินทางไปไม่กว่า 5 ประเทศ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยเลยทีเดียว

แต่ด้วยความเราเริ่มมาเร็วก็คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว แน่แล้ว ก็เลย นอกจากงานตัวเองก็รับงานใหญ่อื่นๆ มาทำ หวังว่าคงฟันกำไรเยอะแน่ๆ ทีมงานพร้อม เงินทุนพอมีบ้าง ตอนนั้นคิดว่า ตอนเราไม่มีเงินยังทำได้ แต่เรามีเงินบ้างทำไมจะทำไม่ได้ เลยรับงานใหญ่ "ซึ่งงบประมาณ ที่ทำจะต้องมีไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท" แต่มาตอนนี้ล่ะ ที่ทำให้ชีวิตผลิกผลัน

เริ่มทำโปรเจคต์ใหญ่มูลค่ากว่า 10 ล้าน บอกเลยว่ามั่นใจมาก แต่เราโชคร้าย บ้านเมืองมีปัญหาการเมือง (ไม่ได้โทษการเมืองนะครับ อย่าเอาไปดราม่า) ทำให้ทุกอย่างผิดแผนมากๆ สปอนเซอร์ไม่เข้าตามเป้า ไม่ใช่ สปอนเซอร์ไม่เข้า งานที่เอามาก็ไม่น่าสนใจในบ้านเราเท่าไหร่ เพราะเรามองผิด เรามองว่ามันน่าจะขายได้ในบ้านเรา แต่มันขายไม่ได้ จนใกล้กำหนดจัดงาน สปอนเซอร์ ยังไม่เข้าซักบาท ยกเลิกงานก็ไม่ได้ จ่ายเงินค่ามัดจำสถานที่จัดงาน หลายแสน จ่ายเงินให้เจ้าของงานไปแล้วเกือบล้าน ตอนนั้นเครียดมาก แต่สุดท้ายก็มีสปอนเซอร์เข้ามา แต่ไม่พอกับค่าใช้จ่ายเลย นั่งคิดนั่งคำนวน แล้ว เราจะต้องขาดทุนไม่ต่ำกว่า 3-5 ล้านบาท แต่เงินตัวเองตอนนั้นไม่มีเลย

ตอนนี้แหละ เริ่มเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเยอะขึ้น ตอนแรกเรามั่นใจเกินไป เราเลยมองไม่รอบด้าน
1. เรามั่นใจตัวเองเกินไปว่าทำได้ เลยไม่สำรวจตลาดก่อนว่า สปอนเซอร์ หรือลูกค้าสนใจไหม
2. ตัดสินใจพลาด ทำไมไม่ยอมขาดทุนแค่ ล้านกว่าบาท แต่ดันมาขาดกว่า 3-4 ล้านบาท

สุดท้ายก็ดันทุรังทำงานให้จบ ด้วยความที่เครดิตที่ผ่าน กับงานอื่นๆเรายังดีอยู่ เลยไปกู้เงิน ผู้ใหญ่ท่านนึงมา 3 ล้าน เพื่อให้งานไปรอด แต่ก็ยังค้างค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เราจ่ายไม่ไหว เช่นโรงแรม เยอะแยะไปหมด สุดท้าย "งานก็จบลง พร้อมกับหนี้ มโหฬาร"

สุดท้ายก็ต้องเลิกจ้างพนักงาน โล๊ะ ทุกอย่างทิ้ง เพื่อเอาตัวเองให้รอด
เงินจากงานอื่นๆ ไม่ได้ใช้ซักบาท เพราะจะต้องจ่ายหนี้ เคลียร์หนี้ให้หมด
ยอมรับเลยว่า บอบช้ำจากงานนี้เยอะมาก เยอะจริงๆ
ตอนนี้ ชีวิต เหมือนติดลบ ไปไหนไม่เป็น นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ทำอะไร
รายได้ไม่มีเพราะไม่มีกำลังใจทำอะไร
วันดีคืนดี ลูกหนี้ บางส่วนมาทวงเงินที่บ้าน
เอาตำรวจมาขู่ มาทำทุกวิถีทาง ขู่ทุกอย่าง จนเราทนไม่ไหว (ลูกหนี้จากการจัดงานอื่นๆ แต่ลูกหนี้ที่กู้มา 3 ล้าน ไม่ได้มาทวงนะครับ)

ลงมาลงกับลูกหนี้ตรงๆว่า ถ้าอยากได้เงินตอนนี้ก็ไปฟ้องเอา
ถ้าไม่อยากฟฟ้องก็รอก่อน เราก็ จะพยายามทยอยจ่ายให้
แต่ถ้ามาขู่อีก จะไม่จ่ายซักบาทเดียว สู้กันในศาลเลย
สุดท้ายก็ ไม่มีใครมาขู่ และเราก็ทยอยจ่ายเงินจนหมดทุกเจ้า

จากประสบการณ์นี้ ธุรกิจที่สร้างมา เกือบล่ม (ไม่ล่มเพราะพยายามจะพยุงบริษัทไว้ไม่อยากปิดมัน)
เพราะความสะเพร่าของเราเอง การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเรา ไม่โทษใครเลย นอกจากโทษตัวเอง
จากในช่วงแรกๆ โทษตัวเอง ไม่ทำอะไร "สุดท้ายเราก็เลยลองเปลี่ยนมุมมองใหม่"
ว่ามันคือประสบการณ์ ถ้าไม่เคยเจอ เราก็จะแก้ปัญหาไม่เป็น แล้วเอามาเป็นความรู้ เพื่อที่จะแก้ปัญหาในงานตัวเองในอนาคต

สุดท้ายแล้วตอนนี้ก็พยายามทำงานบริษัทตัวเองต่อไป โดยตอนี้เหลือแค่ ผมกับแฟน มีเงินก็ใช้ ไม่มีก็อด
มีก็เที่ยว ไม่มีก็ไม่เที่ยว แล้วพยายามทำงานไม่เกินฐานะตัวเองอีก
ตอนนี้ หนี้ 3 ล้านที่กู้มา ก็เจราเปลี่ยนจากหนี้ ให้กลายเป็นเงินลงทุน
คือ เขาขอบงานเรา ชอบในตัวเราอยู่แล้ว เขาถึงกล้าให้เราเอาเงิน 3 ล้านเขามาใช้
เลยคิดหาวิธีทำให้เราไม่ต้องใช้หนี้เขาและเขาก็โอเค สุดท้ายเขาก็ตกลง
เงิน 3 ล้าน เราไม่ต้องคืน แต่มันคือหุ้นในบริษัท รายได้จากงานบางงานของเรา จะต้องแบ่งให้เขา ตาม % ที่เราตกลงกัน
ความเครียดของผมน้อยลง เจ้าหนี้ กลายเป็นหุ้นส่วน

ถึงแม้ปัญหาจะแก้ได้เกือบหมด แต่ธุรกิจยังไม่สามารถกลับมาดีได้เหมือนเดิม ตอนผมล้มไป ก็มีคนอื่นๆมาทำงานแบบที่ผมทำ และเขาทำได้ดีกว่า
สปอนเซอร์ก็ลงไปทำกับเขามากกว่ามาลงกับผม แต่ผมก็ได้พยายามหาตลาดใหม่ ใช้วิธีเดิมๆ คือ เปลี่ยน ความรู้ให้เป็นทุน ใช้คอนเนคช่นให้เกิดประโยชน์


สุดท้ายแล้ว ผมก็ยังโอเค ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายตอนเจอปัญหา คิดเสมอว่าเราเริ่มจาก ศูนย์ จะกลับไปศูนย์ก็ไม่เป็นไร
มองวิกฤตว่าคือประสบการณ์และโอกาส และเป็นครูของเรา มองในแง่ดี เพื่อชีวิตที่ดี

นี่คือประสบกาณณ์ของผมนะครับ จากศูนย์ จนถึงประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ตกลงมา จนถึงติดลบ เพราะตัวเราเอง
แต่ก็พยายามจะลุกขึ้นเสมอ

และฝากไว้นะครับ ธุรกิจบางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องลงเงินอย่างเดียว สมอง คือทุนที่ดีที่สุด
ผมได้จับเงินล้าน ก็เพราะ ยืมเงินเพื่อนแค่ หมื่นห้า มาจดทะเบียนบริษัทนี่แหล่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่