พรายบุปผา (บทนำ)

กระทู้สนทนา
เสียงร้องไห้สะอื้นสะอึกยามดึกดื่นดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ปลุกนิตาภาให้ตื่นจากห้วงนิทรา นี่ไม่ใช่คืนแรกที่ได้ยินเสียงร้องไห้เย็นๆ ลอดผ่านช่องประตูหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน หากจำไม่ผิดเสียงแบบนี้เหมือนจะรบกวนการนอนมาร่วมสัปดาห์เห็นจะได้
    
            “เอาอีกแล้ว” หญิงสาวถอนลมหายใจยาว ก่อนจะสลัดผ้าห่มออกจากร่างแล้วลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจับที่มาของเสียงว่าดังมาจากทิศทางใด แล้วตัดสินใจเดินย่องมาหยุดที่ประตูหน้าห้อง หูข้างหนึ่งแนบสนิทกับบานประตู และก็เป็นอย่างที่คิด เสียงนั้นมันดังมาจากหน้าห้องนั่นเอง
    
             นิตาภารวบรวมความกล้า อย่างไรเสียก็ต้องรู้ให้ได้ว่าใครที่มาร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าห้องยามดึก เสียงนี้ไม่ได้ชวนให้หลอนจนนอนไม่หลับเท่านั้น ทว่ายังเป็นสาเหตุให้เพื่อนร่วมงานทักว่าขอบตาของเธอคล้ายหมีแพนด้าทุกวี่วัน  เธอหันกลับไปคว้าไฟฉายที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอนลายมิกกี้เม้าที่สวมอยู่ทันที อึดใจเดียวก็ก้าวออกมาประจันหน้ากับความมืดมิดที่หน้าบ้านพักเพียงลำพัง
    
            เงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ แหวกอากาศมาเข้าหูเลย ไม่มีคนร้องไห้นั่งอยู่หน้าห้องเหมือนที่เข้าใจ ไม่มีเสียงลมกระทบใบไม้ แม้กระทั่งเสียงแมลงกรีดปีกยังพลอยเงียบงัน แต่ในความสงัดเยียบเย็นกลับยังมีกลิ่นหอมของกล้วยไม้ดินส่งกลิ่นกำจายอบอวลไปทั่วบริเวณ กลิ่นหอมนั้นเองที่ทำให้นิตาภาพาร่างมาหยุดนิ่งอยู่ที่โรงเพาะชำที่อยู่ห่างบ้านพักเจ้าหน้าที่เกือบห้าสิบเมตร
    
            เอื้องตีนกบต้นหนึ่งกำลังออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง เธอหยุดสายตาอยู่ที่ดอกไม้ในกระถางแล้วย่อตัวลงนั่งพลางยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ เพื่อสัมผัสกลิ่นหอมที่กำลังรวยรินออกมาด้วยความหลงใหล

            ปีที่แล้วนิตาภาได้หัวใต้ดินของเอื้องตีนกบมาจากเด็กชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่ง ในด่านการค้าชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ความจริงแล้วเธอไม่คิดจะซื้อหากล้วยไม้ป่าพวกนี้มาหรอก ต่อให้เห็นขายดารดาษกราดเกลื่อน แม้บางชนิดจะหายาก อยู่ในสภาวะใกล้จะสูญพันธุ์สนนราคาในตลาดมืดนับหมื่นบาทก็ตาม แต่เป็นเพราะวันนั้นเกิดความสงสารเด็กชายชาวป่าคนนั้นต่างหาก จึงยอมควักธนบัตรสีแดงสองใบแลกกับหัวกล้วยไม้ดินเหี่ยวๆ ต้นนี้มา  

            “ฮือ...ฮือๆ...”

            นิตาภาผละออกจากกล้วยไม้ดินในทันทีทันใด พลางหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ตัว ด้วยอาการระแวดระวัง รู้สึกเย็นที่หนังศีรษะชอบกล หากหูไม่แว่วเสียงที่ดังเมื่อครู่เหมือนจะดังใกล้ๆ นี่เอง

             “ใคร ใครน่ะออกมานะ!” เสียงที่ดังออกไปแทบจะเป็นเสียงตะโกน แต่เจ้าของเสียงร้องไห้เยียบเย็นก็ยังมิยอมโผล่หน้าออกมา ทว่าเสียงร้องไห้สะอื้นยังดังกระซิกจนนิตาภาต้องร้องลั่นออกมาอีกครั้ง “ใคร! ฉันบอกให้ออกมา ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

             “ข้าอยู่นี่” เสียงเยียบเย็นดังขึ้นแผ่วเบาอีกครั้ง นิตาภาหลุบสายตามองลงไปที่พื้นดินเบื้องหน้า นั่นล่ะเจ้าของเสียงที่เธอถามหา
หญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่าสะอื้นสะอึก ดวงหน้าหมดจดงดงามแม้จะอาบเอ่อด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ดูสวยหยาดเยิ้มจนหาที่เปรียบไม่ได้ แล้วเธอเป็นใครกันนะถึงได้มานั่งกอดเข่าร้องไห้ยามวิกาลอยู่ตรงนี้

             “เธอ! เอ่อคุณ คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายท่าจะไม่มีอันตรายใด นิตาภาจึงย่อตัวนั่งลงข้างๆ “แล้วนี่คุณเป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไมกัน”

            “ข้าชื่ออั้วคำ ข้าเพิ่งหนีออกมาจากบ้าน” ใบหน้างดงามเงยขึ้นหมายจะสบตาอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนโอกาสจะยังไม่ประจวบเหมาะ เพราะนิตาภาสะดุดสายตาอยู่ที่เครื่องแต่งกายของอั้วคำเข้าเสียแล้ว “ข้าเป็นหญิงชาวป่า เจ้าไม่ต้องแปลกใจหรอกที่เห็นข้าแต่งตัวแบบนี้”

            “เอ่อ... ฉันก็แค่รู้สึกว่ามันสวยค่ะ” เธอเผลอปากชื่นชม นิตาภาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเสียมารยาทจึงละความสนใจจากเครื่องแต่งกายของอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้เห็นหญิงสาววัยรุ่นยุคนี้แต่งกายด้วยผ้าซิ่นไหม สวมเสื้อแขนกระบอกใช้สไบคล้องบ่า และดูเหมือนเครื่องประดับทั้งต่างหู และกำไลข้อมือก็ไม่น่าจะใช่ของใช้ในยุคนี้

            “ข้าก็บอกเจ้าแล้วไงว่าข้าเป็นสาวชาวป่า ที่หมู่บ้านของข้าผู้หญิงก็แต่งกายแบบนี้กันทั้งนั้น” น้ำเสียงเหมือนจะไม่ค่อยชอบใจที่เห็นสายตาจับจ้องของอีกฝ่าย “แต่ถ้าเจ้าสนใจมันมากเจ้าก็ไปที่หมู่บ้านข้าสิ ข้ามีให้เจ้าเยอะแยะ”

            “ฉันขอโทษค่ะที่เสียมารยาท” นิตาภาสลัดความสงสัยออกจากหัว แต่ยังรู้สึกแปลกใจที่อั้วคำรู้ทันความนึกคิดของเธอได้ “เมื่อตะกี้ว่าอะไรนะ คุณหนีออกมาจากบ้านเหรอ!”
            “ใช่ ข้าถูกแม่บังคับให้แต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้รัก เจ้าช่วยข้าด้วยสิ ช่วยข้าด้วย” สายตาหวานอมโศกทอดมองมาที่นิตาภาอย่างอ้อนวอน ดวงตาสองคู่จึงสบประสานกันจนได้

            “คุณจะให้ช่วยอย่างไร”

            “มองตาข้าสินิตาภา เจ้าจงมองตาข้า”    

            เปรี้ยง! สายฟ้าฟาดลงกับต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้านพักในเขตอุทยานฯ ดังสนั่นหวั่นไหว แต่ก็ไม่สามารถเรียกสติของคนที่กำลังตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งลี้ลับให้ฟื้นคืนสติ กระทั่งเม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมากระทบร่างจนเปียกปอน แต่อำนาจลึกลับก็พาร่างของนิตาภาให้เดินบุกป่าฝ่าดงไปได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

            “เจ้าจงตามข้ามานิตาภา เจ้าตรงตามข้ามา!”

            ในความสะลืมสะลือคล้ายกำลังหลับฝัน นิตาภารู้สึกเพียงว่าอั้วคำจูงมือเธอไปที่ไหนสักแห่ง รอบข้างมีแค่ป่าไม้รกชัฏ ทางเดินเท้าแคบๆ ที่เดินไปคล้ายอุโมงค์ที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่แน่นขนัด มีเถาวัลย์พันเลื้อยลำต้นดูไม่ต่างจากงูยักษ์ตัวอ้วนพีที่กำลังเกี้ยวพันกันยั้วเยี้ย

            “รีบๆ เดินเข้าสินิตาภา เจ้าต้องไปให้ถึงป่าจวงจันทน์ก่อนฟ้าสาง” เสียงนั้นคล้ายกระตุ้นให้ร่างเซถลาไปข้างหน้าราวกับถูกกระชาก “รีบเดินนิตาภา เร่งฝีเท้าเข้า”

            ขณะที่ร่างของหญิงสาวถูกกระชากลากดึงเข้าไปในอุโมงค์ป่ารกที่ทอดยาว สิ่งที่ทอดตัวตัดผ่านเบื้องหน้ากลับทำให้สติอันเลื่อนลอยตื่นฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ใช่แล้ว! นี่มันถนนลาดยางที่ตัดผ่านด้านหลังเขตรักษาพันธุ์พืชที่เคยเดินเท้าผ่านเข้ามาสำรวจพันธุ์ไม้บ่อยๆ นี่ แล้วนี่เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้!
คิดได้เช่นนั้น นิตาภาพยายามรั้งร่างตัวเองไม่ให้ไปตามแรงฉุดของอีกฝ่าย แต่แรงกระชากเหมือนจะรุนแรงและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “ปล่อยฉันนะ ฉันบอกให้ปล่อย”

            “ตามข้ามา!”

            “ไม่ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น” นิตาภาออกแรงรั้ง “ไม่นะ ปล่อยฉันเดียวนี้จะพาฉันไปไหน”

            “เจ้าต้องมากับข้า”

            เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของนิตาภาเซถลาไปด้านหน้าจนหัวทิ่ม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรวบรวมพละกำลังที่มีต่อสู้กับพลังเร้นลับ ไม่ยอมให้อีกฝ่ายลากเธอไปได้ง่ายจนเกินไป และหากใครมองมาก็จะเห็นเหมือนกับว่าเธอกำลังซวนเซไปข้างหน้าก่อนที่จะเซถลากลับมาด้านหลัง คล้ายกำลังเล่นชักเขย่อกับสิ่งที่มองไม่เห็นตัว

            “เธอเป็นใครกัน จะพาฉันไปไหน บอกให้ปล่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”

            “มาสิ มากับข้า”

            “ไม่! ปล่อยนะ” เมื่อรู้ว่าสู้แรงไม่ไหว นิตาภาจึงคิดถ่วงเวลา ก็ไม่แน่หรอกเพราะบางทีอาจจะมีใครสักคนขับรถผ่านมาเวลานี้ก็ได้ “นี่หยุดก่อนสิจะพาฉันไปไหน”

            “ไม่ใช่เวลาที่ข้าจะตอบคำถามเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าต้องมากับข้านิตาภา”

            “ไม่นะฉันไม่ไป!” นิตาภารั้งตัวไว้สุดแรง ทว่าอีกฝ่ายก็ออกแรงกระชากจนล้มหัวคะมำไปข้างหน้า

            “เจ้าต้องไปกับข้า”

            “ไม่! ปล่อยนะ”

            ขณะที่นิตาภากำลังล้มลุกคลุกคลานตามพลังลึกลับที่ลากเธอข้ามทางไปนั้น ก็มีรถยนต์คันหนึ่งที่วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาใกล้ รอดตายแล้ว! เธอแอบดีใจก่อนจะกระชากร่างตัวเองวิ่งเข้าหาแสงไฟที่สาดแสงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่าท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาปานฟ้ารั่วทำให้ทรรศนะวิสัยไม่ดี เจ้าของรถจึงแตะเบรกในระยะกระชันชิด เธอถูกรถชน แรงกระแทกทำให้ร่างกระเด็นตกลงไปข้างทาง

            “ครืดด...” เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนในทันทีทันใด คนขับรู้สึกได้ว่ามีเสียงอะไรสักอย่างปะทะที่ด้านหน้ารถ แต่เมื่อมองผ่านกระจกไม่เห็นว่ามีอะไร เขาจึงถอยรถกลับมาหยุดบริเวณที่ได้ยินเสียงปะทะอีกครั้ง
รถคันนั้นหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เคลื่อนตัวออกไป โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากที่รถออกตัวไปแล้ว หญิงสาวในชุดนอนลายมิ๊กกี้เม้าสีชมพูได้คลานทุลักทุเลขึ้นมาที่ไหล่ถนน สภาพของเธออาบโชกไปด้วยเลือดสีแดง

            “กลับมาก่อน ช่วย ช่วยด้วย!”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่