ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #15#

ญารินสนุกกับการเที่ยวเล่นอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง ที่ใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายท่ามกลางเสียงคลื่นลม ซึ่งหลายคนนั้นมีความคุ้นเคยกับแอคเนส จึงชักชวนนางร่วมดื่มชา บ้างก็หยิบยื่นขนมท้องถิ่นให้ชิม ซึ่งญารินนั้นรับผลพลอยได้อย่างอิ่มหมีพลีมัน จนแอคเนสหมั่นไส้ ปนเอ็นดูกับท่าทางเปี่ยมสุขล้นของสาวรุ่นน้องที่ยังไม่มีทีท่าจะอิ่มเสียที

“กระเพาะของเจ้าก็ไม่ใหญ่นัก แต่เหตุใดเจ้าถึงกินไม่หยุดเสียที”

ญารินหยิบผลมะเดื่ออบแห้งมาชู
“ก็ของมันอร่อยนี่นา..โดยเฉพาะเจ้านี่..สุดยอด” แล้วก็ใส่ปากเคี้ยวตุ้ยให้อีกฝ่ายส่ายหน้า ถอนหายใจกับสำบัดสำนวนชวนหัว

ความจริง ญารินก็เคยทานผลไม้อบแห้งมาแล้วไม่น้อยตามร้านสะดวกซื้อในโลกยุคของเธอ เพียงแต่รู้สึกว่า รสชาติที่ลิ้มลองมันไม่อร่อยเหมือนผลิตภัณฑ์ของโลกยุคนี้ เธอจึงทานได้เยอะ ก็เท่านั้นเอง
“เออ..พี่ ฉันถามอะไรหน่อยสิ”

“อะไรล่ะ”

“ก็เมื่อกี้ฉันได้ยินคนที่หมู่บ้านพูดกันเรื่องงบมาพัฒนาหมู่บ้านอ่ะ..คือ..ฉันก็เห็นว่าวันๆเจ้านายของพี่ไม่ได้ทำงานทำการอะไร..แล้วจะเอาเงินที่ไหนมามาให้ชาวบ้าน”

แอคเนสหันขวับ แล้วใช้เล็บเหน็บที่ต้นแขนของผู้ถามเสียหนึ่งที
“เจ้านี่ช่างซักนัก”

ญารินหน้าเบ้ พลางถูบริเวณที่โดนหยิก
“หูย ก็แค่สงสัยอ่ะ..จะว่าเก็บภาษีอย่างเดียว ก็คงไม่พอพัฒนาหมู่บ้านหรอก ไหนจะค่าใช้จ่ายในวังของพระองค์นั่นก็หลายตังเข้าไปแล้ว..พระองค์ได้รับมรดกเยอะเหรอ”

แล้วก็โดนฝ่ามืออีกฝ่ายซัดเข้าให้อีกป้าบ
“เจ้านี่ จริงๆเลยนะ..ข้าจะบอกพอเป็นพิธีให้เจ้าหายสงสัยหน่อยก็แล้วกัน..ทรัพย์สินของพระองค์น่ะได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพระองค์เองตั้งแต่สมัยที่กษัตริย์ไมนอสยังมีพระชนม์อยู่..คือทุกครั้งที่พระองค์สั่งให้องค์อันทาเออัสไปตีเมืองต่างๆ สมบัติของแต่ละเมืองนั้นจะตกเป็นขององค์อันทาเออัสครึ่งหนึ่ง แล้วกษัตริย์ไมนอสนั้นคลั่งสงครามมาก พระองค์ขยายอาณาเขตการปกครองไปกว้างใหญ่มหาศาลเกินกว่าที่ข้าจะอธิบายได้ ซึ่งแต่ละเมืองนั้นก็มั่งคั่งไม่น้อย..แค่ทรัพย์สินส่วนนี้ต่อให้องค์อันทาเออัสฟุ่มเฟือยอย่างไร ก็ใช้ไม่หมดหรอก..และนอกจากนั้น พระองค์ก็ยังมีการค้ากับพวกต่างเมือง ซึ่งท่านกีเป็นคนคอยดูแลอยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีการเก็บค่าคุ้มครองจากบรรดาเรือค้าขายที่ล่องผ่านไปมาบริเวณน่านน้ำของ   ลาบิรินธ์ แล้วก็ยังได้รับภาษีจากเมืองคนอสซอส ในฐานะที่ปรึกษาของสภาสูง..แค่นี้ก็คงบรรเทาความสงสัยให้เจ้าได้แล้วนะ”

แอคเนสร่ายมาเป็นชุด ญารินพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้งถึงที่มาที่ไปของรายได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วได้มาจาก ค่าปฏิกรรมสงคราม..เพียงแต่ เธอนึกถึงภาพผู้ชายหน้าสวยราวรูปวาดในยามออกรบไม่ออกเลย เพราะเห็นเพียงท่าทางเรียบเรื่อยแบบพวกหนอนหนังสือของเขาจนชินตา..แต่จะว่าไป..ตอนที่พบกันในวันแรกๆ เขาก็ดูน่ากลัวเหมือนกันนะ

แอคเนสเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่าย แล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“เจ้านี่ปัญหาเยอะเสียจริง..คราวนี้สงสัยอะไรอีก”

ญารินยิ้มแห้ง ความสงสัยของเธอมันครอบจักรวาลจนแจกแจงไม่หมดหรอก
“ก็..ไม่มากไม่มายหรอก..แต่เอาเป็นว่า ที่พี่บอกว่าพระองค์ทำการค้าด้วยน่ะ พระองค์ขายอะไรเหรอ”

“เด็กโง่ เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว..ที่ลาบีรินธ์น่ะ ถึงแม้จะขึ้นชื่อเรื่องภูต-พราย แต่ที่ขึ้นชื่ออีกอย่างที่ไม่แพ้กันก็คือไข่มุกของที่นี่สวยงามที่สุด ใครๆต่างก็อยากได้ไข่มุกของที่นี่..แล้วข้ารู้มาว่า ขนาดราชินีอียิปต์ยังสั่งไข่มุกจากที่นี่เลยนะ”
สีหน้าของผู้พูดเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ จนผู้ฟังถึงกับตาโตด้วยความอยากเห็น

“โห ! ขนาดนั้นเชียวเหรอ..งั้นพี่ช่วยพาฉันไปดูหน่อยสิว่าเขาเลี้ยงหอยมุกกันยังไง”
แต่ดูเหมือนคำขอนี้แอคเนสคงทำให้ไม่ได้

“ข้าพาเจ้าเข้าไปไม่ได้หรอก เพราะเป็นเขตหวงห้าม แล้วอีกอย่าง ไข่มุกของที่นี่ได้มาจากการลงไปงมหาในทะเล ไม่ใช่ได้มาจากการเลี้ยงอย่างที่เจ้าพูดอะไรนั่นหรอก..ถ้าหากไข่มุกเลี้ยงได้อย่างที่เจ้าว่าจริงๆ มันก็คงมีค่าเพียงน้อยนิด และไม่มีใครต้องมาช่วงชิงกันเช่นทุกวันนี้หรอก”

“อ่อ..เหรอ” ญารินนึกอยากจะแย้ง ว่าในยุคของเธอนั้น สามารถเลี้ยงหอยมุกได้จริง..แต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ ไม่เช่นนั้นคงเสียเวลาอธิบายกันยืดยาว
และเมื่อเป็นเขตหวงห้าม เธอก็เข้าใจ จึงชวนแอคเนสไปเดินเที่ยวที่อื่นจนบ่ายคล้อย สองสาวจึงพากันกลับ โดยญารินเลือกที่จะเดินอ้อมเข้าไปในป่าสน หวังได้สัมผัสความร่มรื่นของผืนป่า..เสียงนกร้อง และกลิ่นสนซีดาร์ที่ลอยอวลรอบกายชวนผ่อนคลาย ทำให้เธอหวนนึกถึงเสียงเสนาะหูของพิณไลลาที่อันทาเออัสบรรเลงบ่อยครั้งจนจำขึ้นใจ ครานี้ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ จึงเอ่ยร้องเนื้อเพลงที่วนเวียนอยู่ในหัวออกมา

สายฝนพร่างพรมห่มผืนดิน เสียงเพลงพิณลอยล่องคะนึงหา
ถึงใจอีกดวงที่จากลา
มวลดารานับหมื่นพันบนท้องฟ้า ไม่อาจหาสุกสกาวเท่ารอยยิ้มเจ้า
นำความคิดถึงตราตรึงใจ
ผ่านสายลมภูผาสู่แดนไกล เรียกหัวใจอีกดวงให้กลับคืน..
 
แม้ชีวิตจะพลิกผัน..แม้ทุกสิ่งจะพังทลาย
แต่มันคือโชคชะตาแสนงดงาม ยามข้ามีเจ้าแนบเคียงกาย
ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งใด หัวใจของข้าจะกอดเจ้าไว้ชั่วนิรันดร์.


แอคเนสชะงัก หันมองอีกฝ่ายด้วยความฉงน
“ไม่น่าเชื่อ ว่าเจ้าจะร้องเพลงได้ไพเราะนัก”

ญารินหันมายิ้มภูมิใจ
“ฉันยังมีอะไรดีๆที่พี่ไม่รู้อีกเยอะ” แล้วก็ถูกปลายนิ้วชี้ของสาวรุ่นพี่จิ้มหน้าผากอย่างหมั่นเขี้ยว

“เหตุใดเจ้าช่างยกหางตนเองได้น่าชังนัก..ว่าแต่ เพลงที่เจ้าร้องชื่ออะไรล่ะ ข้าไม่ค่อยได้ยินเสียงคนร้องเพลงมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการบรรเลงดนตรีของศิลปินเสียมากกว่า..แต่เอ..มาคิดดูอีกที เหมือนว่าข้าก็เคยได้ยินทำนองนี้นะ เพียงแต่นึกไม่ออก ว่าเคยได้ยินที่ไหน”

แอคเนสพยายามนึกจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ญารินเห็นแล้วก็ขำพรืด พลางตอบให้หายสงสัย
“พี่ต้องเคยได้ยินอยู่แล้วล่ะ เพราะทำนองนี้ องค์อันทาเออัสเล่นอยู่บ่อยๆไงเล่า”

คนฟังถึงกับอ้าปากเหวอ
“นะ..นี่เจ้า! บังอาจ เอาเพลงของพระองค์มาแปลงเรอะ..หากพระองค์รู้เข้า เจ้าโดนลงโทษแน่”

“อะไรเล่า ! ฉันก็แค่ใส่เนื้อร้องลงไปเท่านั้น..แต่เมื่อกี้พี่ยังชมว่าเพราะอยู่เลยนะ” ญารินแย้งพลางถอยหนี

“ก็เมื่อครู่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอาเพลงของพระองค์มาร้อง”

“พระองค์ไม่ขี้งกขนาดนั้นหรอกน่า”

“เจ้ายังจะยอกย้อนอีกเรอะ” แอคเนสชักเหลืออดกับสีหน้าท่าทางกวนโมโหของอีกฝ่าย

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าพระองค์จะลงโทษ ฉันก็จะลากพี่มาด้วย เพราะพี่ก็เห็นดีเห็นงามเหมือนกัน”

“เจ้า !!”

แอคเนสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน วิ่งไล่ร่างเล็กๆที่เผ่นแผล็วหัวเราะคิกคัก ด้วยนึกอยากจะทุบเสียหนึ่งตุบ แต่วิ่งไล่กันไม่เท่าไหร่ จู่ๆสาวรุ่นน้องก็หยุดกึก เงี่ยหูฟังอะไรสักอย่าง จึงเอ่ยถาม
“มีอะไรเรอะ”

“ชู่ว์” ญารินยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เงียบ พลางเงี่ยหูฟังที่มาของเสียงอีกครั้ง..ไม่กี่อึดใจ สองสาวก็พร้อมใจกันหันไปเพ่งมองยังพุ่มไม้ขยับไหวๆห่างไปไม่ไกล พร้อมมีเสียงประหลาดแว่วมา จึงพากันย่องเข้าไปแอบดู..เห็นกระต่ายขนปุยสีขาวกำลังดิ้นรนออกจากบ่วงนายพราน ที่รัดขาหลังของมันแน่น

“หูยว์..น่าสงสารจัง..เขาจับมันไปเลี้ยงเหรอพี่” ญารินหันไปกระซิบถามแอคเนส ซึ่งตอบกลับมาเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“เปล่าหรอก ส่วนมากเขาจับพวกมันไปเป็นอาหารน่ะ”

“หา ! อาหารเหรอ”

“อืม..ไปกันเถอะ เจ้าอยากไปเที่ยวไหนอีกล่ะ หรือจะไปเก็บดอกไม้บนภูเขา” 

แอคเนสถามในตอนท้าย แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ จึงหันกลับไปมอง ด้วยคิดว่าหญิงสาวคงเดินตามหลังมา ทว่า..ในความเป็นจริง เจ้าตัวกลับย่องเข้าไปช่วยแกะบ่วงออกจากขากระต่ายด้วยความสงสาร พลัน อุทานลั่น เมื่อเจ้ากระต่ายที่ได้รับบาดเจ็บดีดตัวหมายกระโดดหนี ซุกใต้พุ่มไม้ แต่ญารินยังไวพอที่จะคว้าขาหลังของมันได้ แต่ร่างกลับเสียหลักพุ่งล้มลงไปในพุ่มไม้ จนถูกกิ่งไม้เกี่ยวลุกไม่ขึ้น ปากก็ร้องเรียกให้แอคเนสช่วยเหลือ แต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยเจ้ากระต่าย

“ให้ตายเถอะ! นี่ข้าต้องกลายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กรึยังไง” 

แอคเนสบ่นกระปอดกระแปดยามช่วยฉุดดึงร่างของเพื่อนจอมซนให้พ้นจากพุ่มไม้อย่างทุลักทุเล ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเนื้อบางถูกเกี่ยวจนขาดวิ่น และคมจากกิ่งไม้ยังบาดถึงผิวเนื้อจนเลือดซิบ แต่กระนั้น เจ้าตัวยังคงยิ้มร่า สองมือกกกอดกระต่ายไว้แนบอก
“เจ้าจะเอาเจ้านี่ไปด้วยเรอะ”

“ใช่”

“แต่มันเป็นของคนอื่นนะ”

“ใช่ที่ไหนเล่า มันหลุดออกมาแล้ว จะมีเจ้าของได้ยังไง” ญารินเถียงข้างๆคูๆ แล้วรีบชวนแอคเนสวิ่งออกจากป่าสนโดยเร็ว เพราะเกรงนายพรานจะกลับมาเจอ

แต่เมื่อพ้นชายป่า สองสาวพากันหวีดร้อง ตกใจกับม้าตัวใหญ่ที่ปราดเข้ามา..แต่เมื่อตั้งสติได้ จึงเห็นว่า ผู้ที่อยู่บนหลังม้านั้นคือ อันทาเออัส 
ซึ่งเขาแวะไปที่หมู่บ้านชายทะเลหวังไปหาหญิงสาว แต่ชาวบ้านบอกว่าเธอกลับออกมาแล้ว เขาจึงชักม้าขี่เรียบเรื่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงกรี๊ดแหลมของเธอดังเข้ามาในประสาทสัมผัสพิเศษ จึงรีบควบม้ามา เพราะคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น..แต่เมื่อเห็นสภาพของเธอเข้าเต็มตาเช่นนี้ เขาก็พูดอะไรไม่ออกจริงๆ

ชายหนุ่มลงจากหลังม้า เดินมาหยุดตรงหน้า
“นี่เจ้าไปเล่นซนอะไรอีกล่ะ” แล้วเขม็งมองกระต่ายในอ้อมแขนบอบบาง ที่โอบอุ้มมันอย่างปกป้อง

รอยยิ้มจืดเจื่อนยังคงติดบนใบหน้าของญาริน รู้สึกครั่นคร้ามกับสีหน้าถทึงของเขา แต่กระนั้นก็ยังเอื้อนเอ่ยขอในสิ่งที่ตนต้องการ
“คือ..หม่อมฉันขออนุญาต เลี้ยงเจ้าตัวนี้นะเพคะ”

ในคราแรก เธอคิดว่าเขาคงไม่ยอมเป็นแน่ ในหัวจึงพยายามเร่งหาคำอ้อนวอน เกลี้ยกล่อมให้เขาใจอ่อน
ทว่า..ในความเป็นจริง มีเพียงเสียงทอดถอนลมหายใจ ก่อนเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“เจ้าจะเลี้ยงอีกสักกี่สิบตัวก็ตามใจ แต่ไม่ใช่มาเจ็บตัวเช่นนี้” พลางปลดผ้าคลุมของตนมาห่มร่างแบบบาง แล้วหันไปสั่งแอคเนส

“เจ้าขี่ม้ากลับไปก่อน ข้าจะพานางกลับเอง”

“เอ่อ..เพคะ”

แอคเนสรับคำสั่งโดยไม่สนใจสีหน้าเลิ่กลั่กของญาริน..แต่ว่า ม้าทรงตัวนี้สง่างามและสูงใหญ่เกินกว่าม้าใช้งานทั่วไป อันทาเออัสจึงต้องช่วยส่งร่างเธอขึ้นบนหลังม้า ก่อนตบฝ่ามือลงบนสะโพกม้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้มันออกวิ่งไม่เร็วนัก แล้วหันกลับมาหาตัวต้นเรื่องที่กำลังชะเง้อมองตามหลังเพื่อนรุ่นพี่เสียคอยืดคอยาว ก่อนจะหันมาบ่นอุบอิบ

“ทำไมให้พี่แอคเนสขี่ม้ากลับคนเดียวล่ะเพคะ..”

“ทำไม..รึเจ้าอยากไปด้วยเช่นนั้นเรอะ”

“แน่นอนสิเพคะ ก็หม่อมฉันขี้เกียจเดินเหมือนกันนี่นา” เธอตอบตามตรง เพราะตอนนี้ร่างกายทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งเจ็บแสบ เคล็ดขัดยอกไปสารพัด
“แล้วเจ้าจะทิ้งให้ข้าเดินกลับคนเดียวเช่นนั้นเรอะ”

ญารินลืมข้อนี้ไปเลย แต่กระนั้นก็ยังมีข้อแก้ตัว
“ไม่ใช่นะเพคะ คือ หม่อมฉันกับพี่แอคเนสก็ตัวไม่ใหญ่เท่าไหร่” พลางกวาดสายตามองรูปร่างของเขา “แล้วพระองค์ก็คงมีน้ำหนักไม่มากนัก..ส่วนม้าก็ตัวเบ้อเร่อ รับน้ำหนักพวกเราสามคนได้สบายอยู่แล้ว..น่ะเพคะ”

อันทาเออัสแค่นหัวเราะ ยกนิ้วดีดหน้าผากคนช่างเจรจาเบาๆ
“เจ้านี่นะ”

ญารินยิ้มเจื่อนลูบหน้าผากตนเองป้อยๆ แล้วก็อุทานออกมา เมื่อถูกเขาอุ้มลอยขึ้นแนบอกแกร่ง
“เช่นนี้ก็ไม่ต้องเดินแล้ว เจ้าก็เลิกบ่นเสียทีนะ”

หญิงสาวอึกอัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตนเองนั้นชื่นชอบกับการได้ใกล้ชิดเขามากแค่ไหน..แม้ความหวาดหวั่นจะยังมีอยู่ลึกๆภายในใจ
สายตาจับจ้องเจ้ากระต่ายในอ้อมแขน พลางบอกเขา “ห้ามโยนหม่อมฉันทิ้ง..นะเพคะ” 

“ถ้าเจ้าไม่ดื้อ” เขาตอบเพียงสั้นๆแล้วก้มมองหญิงสาว ซึ่งกำลังช้อนสายตาขึ้นสบเขาอย่างตื่นกลัวระคนออดอ้อน
“ไม่เพคะ..หม่อมฉันไม่ดื้อ”

ชายหนุ่มชะงักเท้ายามสบสายตาคู่นั้น และสาบานว่า ตนใช้ความพยายามอย่างสุดกำลังแล้วที่จะไม่เรียกร้องเอาแต่ใจ และหากเธอไม่รีบก้มหน้างุดซบลงแทบอก เขาคงกระทำอย่างที่ใจคิดในวินาทีนั้น

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่