ตอนที่ผ่านมาอยู่ คห สุดท้ายค่ะ
แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน
หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 36
รถสองล้อคันเก่าคร่ำคร่าวิ่งไปตามถนนดินแดง มันต้องรับภาระแบกน้ำหนักของคนหนึ่งคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกับอีกหนึ่งคนที่มีสีหน้าเบื่อหน่าย
แต่ใบหน้าทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันคือความขมุกขมัวของฝุ่นที่ตลบจากพื้นถนนของถิ่นกันดาร ทวีรัตน์รู้สึกอ่อนระโหยเต็มทีเพราะตากแดดตากลมมาตลอด
ทางและเช้านี้จนถึงบ่ายของวันก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แม้แต่น้ำก็ไม่ได้ดื่มสักหยด นึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมาของพวกเขาที่รอดจากความหิวโหยด้วยการแลก
กับหมูทั้งคันรถกับข้าวห่อหนึ่งมื้อและรถเครื่องคันเก่าที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ยิ่งคิดตรงนี้ก็ยิ่งโมโหไอ้หมอนี่นัก
“แกต้องบ้าแน่ๆ หมูทั้งคันรถขายได้เงินมากกว่าข้าวปลาย่างกับไอ้รถเครื่องสับปะรังแคนี่” ทวีรัตน์บ่นจากที่เบาะหลังที่ไร้ความนุ่ม มันทั้งเก่าทั้งขาด
ฟองน้ำที่บุก็ทะลุจนถึงชั้นตะแกรงเหล็ก เวลาที่ขับผ่านหลุมทีไรเขาต้องร้องซี้ดด้วยความเจ็บ และไม่รู้เป็นอย่างไร ไอ้คนขับบ้าบิ่นนี่ก็ไม่คิดจะหลบเลยสัก
หลุมเสมือนว่ามันเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์บนสนามวิบากก็ไม่ปาน
“แกจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ จะโดนฆ่าตายวันพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วแถวนี้จะมีใครมีปัญญาซื้อ ข้าต้องการเปลี่ยนรถเพื่อให้พวกมัน
ตามตัวไม่เจอ ถามจริงเถอะ แกมันลูกนักเลงจริงหรือเป็นลูกขี้ข้าที่นายทรงชัยเอามาเลี้ยงกันแน่” เสียงตะโกนต้านลมของคนขับปากกรรไกรลอยมา
“แล้วแกล่ะ ลูกโจรที่ไหน ถึงเล่นปืนถือไม้คล่อง โจรกรรมรถก็เลิศ”
“หุบปากก่อนที่แกจะไม่ปากให้หุบ !” เขาเหยียบเบรกจนทวีรัตน์พุ่งกระแทกกับเพลงพิณ เด็กหนุ่มที่เปลี่ยนบทมาเป็นคนร้ายเพราะสถานการณ์บังคับ
ส่งสายตาดุดันหันมามองตัวประกันผู้ลามปามถึงผู้ให้กำเนิดของเขา แม้ว่าเขาจะตัดขาดตัวเองจากการเป็นลูกของชายคนนั้นแล้วก็ตาม เพลงพิณแก้เชือกที่
ผูกรัดตัวทวีรัตน์กับเขาแล้วผู้ใหม่ให้แน่นขึ้นก่อนบิดเครื่องออกเดินทางต่อ การเดินทางที่ต้องหลบหลีกการตามล่าแบบนี้ทำให้เขาเสียพลังไปมาก แล้วยิ่ง
ต้องคอยลากตัวประกันขี้ก้างขาเป๋ไปไหนมาไหนแล้วยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ดาวพระศุกร์ที่ส่องสว่างอยู่ปลายทางนั้นคงนำทางให้เขาได้เจออะไรดีๆ
บ้างอย่างน้อยคืนนี้เขาก็หวังจะได้อาบน้ำให้สบายและหลับบนเตียงนุ่มสักคืน
*******************
ตฤณจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ป้ายไฟโมเต็ลริมทางแห่งหนึ่ง เขาพยายามทำใจให้เย็นโดยการดื่มด่ำธรรมชาติที่เป็นทุ่งหญ้าป่าเขา ฟังเสียงสำเนียงของ
จิ้งหรีดที่ขับประสาน เสียงเขียดที่ร้องระงม และเสียงหึ่งๆใกล้หูของยุงที่บินเวียนวนไปมา จนในที่สุดรถคันหรูก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างแช่มช้า ชายหนุ่ม
ตวัดสายตาดุไปยังรถหวังให้ทะลุถึงคนขับแล้วเข็นรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเดินนำสารถีให้ขับตามไปยังโมเต็ลแห่งนี้
“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่” เขาบอกกับตรีรัตน์เมื่อเธอเดินหน้ามุ่ยลงจากรถ
“ที่นี่ นอนที่นี่เหรอ ทำไมมันดูเก่าๆ มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้” เธอพูดแล้วมองตึกแถวชั้นเดียวด้านในที่สภาพทรุดโทรมจนดูไม่ออกว่าที่นี่มันยังเปิดบริการ
อยู่
“อย่าเรื่องมากนัก อย่างน้อยก็ดีกว่านอนข้างถนนให้โจรมาปล้นฆ่า” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาเดินนำเธอเข้าไปยังส่วนต้อนรับที่เปิดไฟ
สว่างเพียงแค่ดวงเดียว
“เหลือห้องเดียว จะนอนไม่นอน” คำพูดจากปากที่ขยับเคี้ยวหมากฝรั่งของเด็กเฝ้าโมเต็ลเล็กๆ ซอมซ่อข้างถนนดูช่างกวนสำหรับเขาเหลือหลาย แต่
แถวนี้ไม่มีโรงแรมที่ดีกว่านี้อีกแล้ว และตลอดทางที่ผ่านมาก็ได้คำตอบเดียวกันคือห้องเต็ม
“ฉันจ่ายให้เพิ่ม หาอีกห้องให้ฉันที” เขาเหนื่อยเต็มทีที่จะหาต่อ ตฤณวางเงินเพิ่มอีกเท่าของราคาห้องตรงหน้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นที่ทำตาโตเมื่อเห็น
จำนวนธนบัตร
“จริงๆมันก็ยังมีเหลืออีกห้องที่อยู่ข้างๆกัน แต่ห้องมันอาจจะแปลกๆหน่อยนะพี่”เด็กเฝ้าโมเต็ลรีบคว้าเงินที่กองตรงหน้าทันที แล้วแอบเหลือบไปทาง
หญิงสาววัยรุ่นที่น่าจะอายุไม่ห่างจากเขามากนัก แม้หน้าตาจะไม่สวยเด่นแต่ก็น่ารักพอดูโดยเฉพาะรูปร่างของเธอนั้นน่ามองยิ่งกว่าใบหน้าของเธอเสียอีก
“แปลก แปลกยังไง” ตรีรัตน์ถามทันทีด้วยใบหน้ากังวลพลางมองไปรอบๆ
“ก็เอ่อ...เสียงแอร์น่ะ มันเสียงดัง”
ตรีรัตน์โล่งใจที่ได้ยิน แอร์ดังยังดีกว่านอนผวาเพราะอย่างอื่น แต่ถ้าเหลือห้องเดียวจริงๆ เธอจะอาสาหลับในรถดีกว่านอนร่วมห้องกับผู้ชายหื่นอย่าง
นายตี๋นี่
“พี่ชายน้องสาวมาเที่ยวกันเหรอจ๊ะ” เขารีบไปทำหน้าที่ตามจำนวนเงินที่ได้รับเพิ่มโดยไม่วายแอบเล่นหูเล่นตาให้แขกสาว
“ฉันอยากได้ห้องตอนนี้ !” ชายหนุ่มเจ้าของเงินตบโต๊ะจนเด็กเฝ้าโมเต็ลสะดุ้ง
ตฤณหันมาหรี่ตามองแม่สาวที่ยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ “กระดาษแผ่นนั้นอยู่ไหน” เขาถามคำถามเธอ แต่ตรีรัตน์มีหน้าตาเลิ่กลั่ก
“กระดาษน่ะ รู้จักกระดาษไหม แผ่นที่ธิดาถืออยู่” ตฤณถามย้ำอีกครั้ง
“มัน...มันน่าจะตกอยูในรถ” สาวน้อยตอบเขาอย่างไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นเธอไม่สนใจอะไรเลยนอกจากอารมร์ตกใจที่สาวรุ่นพี่เหยียบเบรกจนเธอหัว
ทิ่มแล้ววิ่งออกจากรถไป
“ไปหาให้เจอ” เขาออกคำสั่งเมื่อเด็กเฝ้าโมเต็ลกลับมาพร้อมกุญแจสองดอก เขารับกุญแจมาโดยหนึ่งดอกเก็บเอาไว้เองและอีกหนึ่งดอกโยนให้เธอ
“แล้วมาหาฉันที่ห้อง” ชายหนุ่มชูหมายเลขบนกุญแจของเขาแล้วเดินออกไป
หญิงสาวเบะปากแล้วทำท่าล้อเลียนท่าทางของชายหนุ่ม แต่ก็ต้องรีบเดินตามเขาไปทันทีเมื่อหันไปเจอสายตาแปลกๆของผู้ชายอีกคน อย่างน้อยคน
ที่เธอควรไว้ใจที่สุดในเวลานี้ก็ต้องเป็นเขาล่ะ
ตรีรัตน์เดินกลับไปที่รถพยายามควานหาแผ่นกระดาษตามพื้นรถให้ทั่วจนเจอว่ามันตกอยู่ที่คันเร่ง สาวผมมวยหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าทำไม
พวกเพื่อนของสาวรุ่นพี่ถึงให้ความสำคัญกับมันนัก ตรีรัตน์มองลวดลายพิมพ์รูปใบไม้บนพื้นสีเขียว ที่ขอบล่างของแผ่นกระดาษมีข้อความยี่ห้อสินค้าพร้อม
ตราจดลิขสิทธิ์ จะมองอย่างไรมันก็แค่กระดาษห่อหมากฝรั่งธรรมดา แต่เมื่อเธอพลิกอีกด้านกลับพบว่ามันมีข้อความสีน้ำตาล
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 36
แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน
ตอนที่ 36
รถสองล้อคันเก่าคร่ำคร่าวิ่งไปตามถนนดินแดง มันต้องรับภาระแบกน้ำหนักของคนหนึ่งคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดกับอีกหนึ่งคนที่มีสีหน้าเบื่อหน่าย
แต่ใบหน้าทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันคือความขมุกขมัวของฝุ่นที่ตลบจากพื้นถนนของถิ่นกันดาร ทวีรัตน์รู้สึกอ่อนระโหยเต็มทีเพราะตากแดดตากลมมาตลอด
ทางและเช้านี้จนถึงบ่ายของวันก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง แม้แต่น้ำก็ไม่ได้ดื่มสักหยด นึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมาของพวกเขาที่รอดจากความหิวโหยด้วยการแลก
กับหมูทั้งคันรถกับข้าวห่อหนึ่งมื้อและรถเครื่องคันเก่าที่จะพังแหล่มิพังแหล่ ยิ่งคิดตรงนี้ก็ยิ่งโมโหไอ้หมอนี่นัก
“แกต้องบ้าแน่ๆ หมูทั้งคันรถขายได้เงินมากกว่าข้าวปลาย่างกับไอ้รถเครื่องสับปะรังแคนี่” ทวีรัตน์บ่นจากที่เบาะหลังที่ไร้ความนุ่ม มันทั้งเก่าทั้งขาด
ฟองน้ำที่บุก็ทะลุจนถึงชั้นตะแกรงเหล็ก เวลาที่ขับผ่านหลุมทีไรเขาต้องร้องซี้ดด้วยความเจ็บ และไม่รู้เป็นอย่างไร ไอ้คนขับบ้าบิ่นนี่ก็ไม่คิดจะหลบเลยสัก
หลุมเสมือนว่ามันเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์บนสนามวิบากก็ไม่ปาน
“แกจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะ จะโดนฆ่าตายวันพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วแถวนี้จะมีใครมีปัญญาซื้อ ข้าต้องการเปลี่ยนรถเพื่อให้พวกมัน
ตามตัวไม่เจอ ถามจริงเถอะ แกมันลูกนักเลงจริงหรือเป็นลูกขี้ข้าที่นายทรงชัยเอามาเลี้ยงกันแน่” เสียงตะโกนต้านลมของคนขับปากกรรไกรลอยมา
“แล้วแกล่ะ ลูกโจรที่ไหน ถึงเล่นปืนถือไม้คล่อง โจรกรรมรถก็เลิศ”
“หุบปากก่อนที่แกจะไม่ปากให้หุบ !” เขาเหยียบเบรกจนทวีรัตน์พุ่งกระแทกกับเพลงพิณ เด็กหนุ่มที่เปลี่ยนบทมาเป็นคนร้ายเพราะสถานการณ์บังคับ
ส่งสายตาดุดันหันมามองตัวประกันผู้ลามปามถึงผู้ให้กำเนิดของเขา แม้ว่าเขาจะตัดขาดตัวเองจากการเป็นลูกของชายคนนั้นแล้วก็ตาม เพลงพิณแก้เชือกที่
ผูกรัดตัวทวีรัตน์กับเขาแล้วผู้ใหม่ให้แน่นขึ้นก่อนบิดเครื่องออกเดินทางต่อ การเดินทางที่ต้องหลบหลีกการตามล่าแบบนี้ทำให้เขาเสียพลังไปมาก แล้วยิ่ง
ต้องคอยลากตัวประกันขี้ก้างขาเป๋ไปไหนมาไหนแล้วยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ดาวพระศุกร์ที่ส่องสว่างอยู่ปลายทางนั้นคงนำทางให้เขาได้เจออะไรดีๆ
บ้างอย่างน้อยคืนนี้เขาก็หวังจะได้อาบน้ำให้สบายและหลับบนเตียงนุ่มสักคืน
ตฤณจอดมอเตอร์ไซค์ใต้ป้ายไฟโมเต็ลริมทางแห่งหนึ่ง เขาพยายามทำใจให้เย็นโดยการดื่มด่ำธรรมชาติที่เป็นทุ่งหญ้าป่าเขา ฟังเสียงสำเนียงของ
จิ้งหรีดที่ขับประสาน เสียงเขียดที่ร้องระงม และเสียงหึ่งๆใกล้หูของยุงที่บินเวียนวนไปมา จนในที่สุดรถคันหรูก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างแช่มช้า ชายหนุ่ม
ตวัดสายตาดุไปยังรถหวังให้ทะลุถึงคนขับแล้วเข็นรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเดินนำสารถีให้ขับตามไปยังโมเต็ลแห่งนี้
“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่” เขาบอกกับตรีรัตน์เมื่อเธอเดินหน้ามุ่ยลงจากรถ
“ที่นี่ นอนที่นี่เหรอ ทำไมมันดูเก่าๆ มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้” เธอพูดแล้วมองตึกแถวชั้นเดียวด้านในที่สภาพทรุดโทรมจนดูไม่ออกว่าที่นี่มันยังเปิดบริการ
อยู่
“อย่าเรื่องมากนัก อย่างน้อยก็ดีกว่านอนข้างถนนให้โจรมาปล้นฆ่า” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาเดินนำเธอเข้าไปยังส่วนต้อนรับที่เปิดไฟ
สว่างเพียงแค่ดวงเดียว
“เหลือห้องเดียว จะนอนไม่นอน” คำพูดจากปากที่ขยับเคี้ยวหมากฝรั่งของเด็กเฝ้าโมเต็ลเล็กๆ ซอมซ่อข้างถนนดูช่างกวนสำหรับเขาเหลือหลาย แต่
แถวนี้ไม่มีโรงแรมที่ดีกว่านี้อีกแล้ว และตลอดทางที่ผ่านมาก็ได้คำตอบเดียวกันคือห้องเต็ม
“ฉันจ่ายให้เพิ่ม หาอีกห้องให้ฉันที” เขาเหนื่อยเต็มทีที่จะหาต่อ ตฤณวางเงินเพิ่มอีกเท่าของราคาห้องตรงหน้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นที่ทำตาโตเมื่อเห็น
จำนวนธนบัตร
“จริงๆมันก็ยังมีเหลืออีกห้องที่อยู่ข้างๆกัน แต่ห้องมันอาจจะแปลกๆหน่อยนะพี่”เด็กเฝ้าโมเต็ลรีบคว้าเงินที่กองตรงหน้าทันที แล้วแอบเหลือบไปทาง
หญิงสาววัยรุ่นที่น่าจะอายุไม่ห่างจากเขามากนัก แม้หน้าตาจะไม่สวยเด่นแต่ก็น่ารักพอดูโดยเฉพาะรูปร่างของเธอนั้นน่ามองยิ่งกว่าใบหน้าของเธอเสียอีก
“แปลก แปลกยังไง” ตรีรัตน์ถามทันทีด้วยใบหน้ากังวลพลางมองไปรอบๆ
“ก็เอ่อ...เสียงแอร์น่ะ มันเสียงดัง”
ตรีรัตน์โล่งใจที่ได้ยิน แอร์ดังยังดีกว่านอนผวาเพราะอย่างอื่น แต่ถ้าเหลือห้องเดียวจริงๆ เธอจะอาสาหลับในรถดีกว่านอนร่วมห้องกับผู้ชายหื่นอย่าง
นายตี๋นี่
“พี่ชายน้องสาวมาเที่ยวกันเหรอจ๊ะ” เขารีบไปทำหน้าที่ตามจำนวนเงินที่ได้รับเพิ่มโดยไม่วายแอบเล่นหูเล่นตาให้แขกสาว
“ฉันอยากได้ห้องตอนนี้ !” ชายหนุ่มเจ้าของเงินตบโต๊ะจนเด็กเฝ้าโมเต็ลสะดุ้ง
ตฤณหันมาหรี่ตามองแม่สาวที่ยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ “กระดาษแผ่นนั้นอยู่ไหน” เขาถามคำถามเธอ แต่ตรีรัตน์มีหน้าตาเลิ่กลั่ก
“กระดาษน่ะ รู้จักกระดาษไหม แผ่นที่ธิดาถืออยู่” ตฤณถามย้ำอีกครั้ง
“มัน...มันน่าจะตกอยูในรถ” สาวน้อยตอบเขาอย่างไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นเธอไม่สนใจอะไรเลยนอกจากอารมร์ตกใจที่สาวรุ่นพี่เหยียบเบรกจนเธอหัว
ทิ่มแล้ววิ่งออกจากรถไป
“ไปหาให้เจอ” เขาออกคำสั่งเมื่อเด็กเฝ้าโมเต็ลกลับมาพร้อมกุญแจสองดอก เขารับกุญแจมาโดยหนึ่งดอกเก็บเอาไว้เองและอีกหนึ่งดอกโยนให้เธอ
“แล้วมาหาฉันที่ห้อง” ชายหนุ่มชูหมายเลขบนกุญแจของเขาแล้วเดินออกไป
หญิงสาวเบะปากแล้วทำท่าล้อเลียนท่าทางของชายหนุ่ม แต่ก็ต้องรีบเดินตามเขาไปทันทีเมื่อหันไปเจอสายตาแปลกๆของผู้ชายอีกคน อย่างน้อยคน
ที่เธอควรไว้ใจที่สุดในเวลานี้ก็ต้องเป็นเขาล่ะ
ตรีรัตน์เดินกลับไปที่รถพยายามควานหาแผ่นกระดาษตามพื้นรถให้ทั่วจนเจอว่ามันตกอยู่ที่คันเร่ง สาวผมมวยหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าทำไม
พวกเพื่อนของสาวรุ่นพี่ถึงให้ความสำคัญกับมันนัก ตรีรัตน์มองลวดลายพิมพ์รูปใบไม้บนพื้นสีเขียว ที่ขอบล่างของแผ่นกระดาษมีข้อความยี่ห้อสินค้าพร้อม
ตราจดลิขสิทธิ์ จะมองอย่างไรมันก็แค่กระดาษห่อหมากฝรั่งธรรมดา แต่เมื่อเธอพลิกอีกด้านกลับพบว่ามันมีข้อความสีน้ำตาล