โอกาสของนักลงทุน Growth Investing
วิธีของการลงทุน “Growth Investing” หรือ การลงทุนที่เน้นการเติบโต ซึ่งเป็นการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ อัตราการเติบโตของธุรกิจเป็นหลัก โดยศึกษาจากข้อมูลที่สามารถแสดงถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจที่ท่านจะเข้าไปลงทุน เช่น บริษัทมีศักยภาพสูงในการเติบโตในอนาคตมากแค่ไหน ผู้บริหารของบริษัทมีความสามารถสูงเพียงใด เป็นธุรกิจที่มีตลาดเติบโตอย่างรวดเร็วหรือไม่ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและคู่แข่งมากแค่ไหน มีการขยายกำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด หรือมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผลประกอบการเป็นบวก สามารถมีกำไรอย่างดีเยี่ยม การลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เกิดใหม่ กลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต หรือธุรกิจที่เพิ่งฟื้นตัว
ดังนั้นการที่ท่านลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโต ก็สามารถทำกำไรได้อย่างดีในระดับหนึ่งเมื่อบริษัทนั้นๆ ประสบความสำเร็จและเติบโตไปตามที่คาดไว้ ลักษณะของ Growth Investing จะเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานเติบโตสูง เป็นเหตุให้บริษัทอาจต้องสำรองเงินทุนหมุนเวียนไว้สำหรับการขยายธุรกิจสูงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่จะจ่ายผลตอบแทนที่สูงกว่าแทน เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีผลการดำเนินงานที่ดี มีความสามารถในการทำกำไร นักลงทุนจึงยอมซื้อหุ้นของธุรกิจนั้นๆ ด้วยราคาที่อาจจะค่อนข้างสูง ณ วันที่ทำการตัดสินใจลงทุน แต่ในอนาคตเมื่อกำไรเพิ่มขึ้นก็จะทำให้กลายเป็นหุ้นที่มีราคาเหมาะสมหรือไม่แพงนั่นเอง และเมื่อธุรกิจสามารถเติบโต มีกำไรสุทธิในระดับสูง ก็จะดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ให้สนใจเข้ามาซื้อหุ้นนี้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงยิ่งขึ้นแต่อย่างไรก็ดี หากธุรกิจไม่สามารถสร้างการเติบโตได้เป็นไปตามที่คาดการณ์หรือประสบปัญหา ก็อาจจะทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในความสามารถเติบโตของบริษัท ราคาของหุ้นก็อาจปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้นักลงทุนขาดทุนได้ ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานค่อนข้างมาก โดยอาจมีหน่วยงานเฉพาะคอยดูแลเช่น หน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relation)
สำหรับหลักการของการลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตนั้น นักลงทุนควรประเมินหรือคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้
1. ระยะเวลาและความอดทน (Expected Investment Duration)ซึ่งหมายถึง ความอดทนที่จะรอให้หุ้นที่ท่านลงทุนนั้น ขยับไปในทิศทางที่ท่านคาดการณ์ไว้ หรือสร้างผลตอบแทนในระดับที่ท่านพอใจได้ ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมตามเป้าหมายของแผนการเงินที่ตั้งไว้
2. กลยุทธ์ในการจัดการกับความผันผวนและระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ (Handling Strategy) เช่น หากราคาขยับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ท่านคาดการณ์ไว้ แต่ข้อมูลเชิงธุรกิจ และทิศทางการดำเนินการของบริษัทยังสนับสนุนถึงแนวโน้มในการเติบโตอยู่ นักลงทุนจะมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไรเพื่อรับมือ
3. ผลกำไรที่คาดหวัง (Expected Return)นักลงทุนส่วนใหญ่มีผลกำไรที่คาดหวังไว้ในการลงทุนประเภทต่างๆ แต่ผลกำไรนั้นควรสมเหตุสมผลกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน
4. เวลาในการ Check Up (Evaluation and Adjustment)ท่านควรมีเวลาดูแลพอร์ตการลงทุนของท่าน เพื่อให้ท่านสามารถมีเวลาตรวจเช็คว่าผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ หากไม่อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน และปรับเปลี่ยนให้พอร์ตมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์นั้น
5. การวิเคราะห์ธุรกิจและทิศทางของอุตสาหกรรม (Business In Depth Analysis)นักลงทุนควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่ตนเองมีความชำนาญ มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ วิเคราะะห์ผลประกอบการ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อบริษัท เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาถึงการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นการคาดหวังถึงผลตอบแทนอันเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจ
เมื่อถึงจุดนี้หลายท่านคงอยากทราบถึงความแตกต่างระหว่าง Growth Investing และ Value Investing ว่าเป็นอย่างไร ในส่วนของ Growth Investingนั้น เป็นการลงทุนที่เน้นการเติบโต ที่ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตของธุรกิจเป็นหลักเช่น ศักยภาพในการที่เติบโตในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต เป็นต้น แต่ในส่วนของValue Investingจะเป็นการลงทุนที่เน้นคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลของ ตัวธุรกิจ ว่าเป็นธุรกิจอะไร มีผลประกอบการอย่างไรเป็นต้น ในส่วนของการพิจารณาราคาในการเข้าลงทุน หุ้นประเภท Value Investingจะพิจราณาหรือเน้นถึงการเปรียบเทียบกับมูลค่าหรือราคาที่แท้จริงของธุรกิจกับราคาตลาดแต่ในส่วนของ Growth Investing จะเน้นถึงแนวโน้มในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตและช่องว่างของราคาที่จะปรับตัวตามไป
ลงทุนในหุ้นเติบโด Growth Stock
โอกาสของนักลงทุน Growth Investing
วิธีของการลงทุน “Growth Investing” หรือ การลงทุนที่เน้นการเติบโต ซึ่งเป็นการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ อัตราการเติบโตของธุรกิจเป็นหลัก โดยศึกษาจากข้อมูลที่สามารถแสดงถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจที่ท่านจะเข้าไปลงทุน เช่น บริษัทมีศักยภาพสูงในการเติบโตในอนาคตมากแค่ไหน ผู้บริหารของบริษัทมีความสามารถสูงเพียงใด เป็นธุรกิจที่มีตลาดเติบโตอย่างรวดเร็วหรือไม่ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและคู่แข่งมากแค่ไหน มีการขยายกำลังการผลิตมากน้อยเพียงใด หรือมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยทำให้บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผลประกอบการเป็นบวก สามารถมีกำไรอย่างดีเยี่ยม การลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เกิดใหม่ กลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต หรือธุรกิจที่เพิ่งฟื้นตัว
ดังนั้นการที่ท่านลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโต ก็สามารถทำกำไรได้อย่างดีในระดับหนึ่งเมื่อบริษัทนั้นๆ ประสบความสำเร็จและเติบโตไปตามที่คาดไว้ ลักษณะของ Growth Investing จะเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานเติบโตสูง เป็นเหตุให้บริษัทอาจต้องสำรองเงินทุนหมุนเวียนไว้สำหรับการขยายธุรกิจสูงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด แต่จะจ่ายผลตอบแทนที่สูงกว่าแทน เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีผลการดำเนินงานที่ดี มีความสามารถในการทำกำไร นักลงทุนจึงยอมซื้อหุ้นของธุรกิจนั้นๆ ด้วยราคาที่อาจจะค่อนข้างสูง ณ วันที่ทำการตัดสินใจลงทุน แต่ในอนาคตเมื่อกำไรเพิ่มขึ้นก็จะทำให้กลายเป็นหุ้นที่มีราคาเหมาะสมหรือไม่แพงนั่นเอง และเมื่อธุรกิจสามารถเติบโต มีกำไรสุทธิในระดับสูง ก็จะดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ให้สนใจเข้ามาซื้อหุ้นนี้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงยิ่งขึ้นแต่อย่างไรก็ดี หากธุรกิจไม่สามารถสร้างการเติบโตได้เป็นไปตามที่คาดการณ์หรือประสบปัญหา ก็อาจจะทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นในความสามารถเติบโตของบริษัท ราคาของหุ้นก็อาจปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้นักลงทุนขาดทุนได้ ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจในการดำเนินงานค่อนข้างมาก โดยอาจมีหน่วยงานเฉพาะคอยดูแลเช่น หน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relation)
สำหรับหลักการของการลงทุนในหุ้นที่เน้นการเติบโตนั้น นักลงทุนควรประเมินหรือคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้
1. ระยะเวลาและความอดทน (Expected Investment Duration)ซึ่งหมายถึง ความอดทนที่จะรอให้หุ้นที่ท่านลงทุนนั้น ขยับไปในทิศทางที่ท่านคาดการณ์ไว้ หรือสร้างผลตอบแทนในระดับที่ท่านพอใจได้ ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมตามเป้าหมายของแผนการเงินที่ตั้งไว้
2. กลยุทธ์ในการจัดการกับความผันผวนและระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ (Handling Strategy) เช่น หากราคาขยับไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ท่านคาดการณ์ไว้ แต่ข้อมูลเชิงธุรกิจ และทิศทางการดำเนินการของบริษัทยังสนับสนุนถึงแนวโน้มในการเติบโตอยู่ นักลงทุนจะมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไรเพื่อรับมือ
3. ผลกำไรที่คาดหวัง (Expected Return)นักลงทุนส่วนใหญ่มีผลกำไรที่คาดหวังไว้ในการลงทุนประเภทต่างๆ แต่ผลกำไรนั้นควรสมเหตุสมผลกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน
4. เวลาในการ Check Up (Evaluation and Adjustment)ท่านควรมีเวลาดูแลพอร์ตการลงทุนของท่าน เพื่อให้ท่านสามารถมีเวลาตรวจเช็คว่าผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ หากไม่อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุน และปรับเปลี่ยนให้พอร์ตมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์นั้น
5. การวิเคราะห์ธุรกิจและทิศทางของอุตสาหกรรม (Business In Depth Analysis)นักลงทุนควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่ตนเองมีความชำนาญ มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ วิเคราะะห์ผลประกอบการ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อบริษัท เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาถึงการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นการคาดหวังถึงผลตอบแทนอันเนื่องมาจากการเติบโตของธุรกิจ
เมื่อถึงจุดนี้หลายท่านคงอยากทราบถึงความแตกต่างระหว่าง Growth Investing และ Value Investing ว่าเป็นอย่างไร ในส่วนของ Growth Investingนั้น เป็นการลงทุนที่เน้นการเติบโต ที่ให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตของธุรกิจเป็นหลักเช่น ศักยภาพในการที่เติบโตในอนาคต ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต เป็นต้น แต่ในส่วนของValue Investingจะเป็นการลงทุนที่เน้นคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลของ ตัวธุรกิจ ว่าเป็นธุรกิจอะไร มีผลประกอบการอย่างไรเป็นต้น ในส่วนของการพิจารณาราคาในการเข้าลงทุน หุ้นประเภท Value Investingจะพิจราณาหรือเน้นถึงการเปรียบเทียบกับมูลค่าหรือราคาที่แท้จริงของธุรกิจกับราคาตลาดแต่ในส่วนของ Growth Investing จะเน้นถึงแนวโน้มในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตและช่องว่างของราคาที่จะปรับตัวตามไป