การพูด คิด หรือกระทำใดๆ เพื่อแสดงออกว่ารักษาสิ่งแวดล้อมและโลก ไม่ใช้เรื่องล้าสมัย ไม่ใช่เรื่องในหรือนอกกระแส
แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรถือเป็นหน้าที่ ซึ่งสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
คำกล่าวที่ว่า เมื่อคนเราทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือทำร้ายสิ่งแวดล้อม ก็เหมือนเรากำลังทำร้ายตัวเอง
และเมื่อเราทำร้ายตัวเอง ก็เหมือนเรากำลังทำร้ายเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และโลก นี่เป็นสัจธรรม ไม่เว้นกระทั่งเรื่อง อาหาร
เพราะกระบวนการกินการทำอากหาร นับตั้งแต่เพราะปลูกจนถึงเลือกใช้วัสดุและวัตถุดิบในครัว
มีส่วนช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าบางคนตระหนัก
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆเกี่ยวกับอาหารน่าสนใจอยู่ 2 ชิ้น ผมขออนุญาตลอกมาเล่าต่อ
ชิ้นแรก มีหลักฐานการแพทย์ชิ้นหนึ่ง ระบุ ว่า
ผู้นิยมกินเนื้อแดงเป็นประจำ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์แปรรูป) มีแนวโน้มนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงได้มากกว่าคนบริโภคเท่ากัน
หลักฐานดังกล่าวเป็นผลงานวิจัยในระยะ 10 ปี จากจำนวนอาสาสมัคร 5 แสนคน จัดทำโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา
โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงที่ว่ามีตั้งแต่
โรคความดันโลหิตสูง หัวใจและมะเร็ง มีคำถามว่าจำนวนเท่าใดจึงนับว่ามากหรือน้อย คำตอบคือ
การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปจำนวน 160 กรัม เป็นประจำทุกวัน นี่ถือว่ามาก ส่วนจำนวนที่ถือว่าน้อยหรือพอสมควรคือ ประมาณ 25 กรัม (เนื้อเค็มบางๆ 1 ชิ้น แฮมหรือเบคอน 1 แผ่น)
ทีมงานวิจัยเปิดเผยว่า ผู้ชายจำนวน 11% และผู้หญิง 16% ซึ่งเสียชีวิตลงขณะทำการวิจัยชิ้นนี้ สามารถเลี่ยงการเสียชีวิตลงได้ หากคนเหล่านั้น (สมัครใจ)
เลี่ยงการบริโภค เนื้อแดง/แปรรูป ไม่เพียงเท่านั้น ทีมงานยังระบุว่า สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญยิ่งของการก่อให้เกิดมะเร็งคือ
การปรุงเนื้อแดงด้วยความร้อนสูง และเพราะเนื้อแดงอุดมไปด้วยกลุ่มไขมันอิ่มตัวนี้เอง มันจึงมีส่วนสำคัญเกี่ยวเนื่องกับ
มะเร็งเต้านมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอีกด้วย
เมื่อลดการบริโภคเนื้อแดง นั่นย่อมหมายถึงอัตราการเสี่ยงโรคร้ายหลายชนิด นับตั้งแต่ โรคเกี่ยวกับหัวใจ ความดัน และระดับคอเลสเตอรอล
Ed Young แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหราชอาณาจักร หนึ่งในทีมงานวิจัยร่วมกล่าวว่า
"รายงานชิ้นนี้ไม่ได้แนะนำว่าคุณควรหยุดกินเบคอน หรือแฮมเบอร์เกอร์โดยสิ้นเชิง แต่ควรลดจำนวนการบริโภคลง เพื่อเลี่ยงอัตราเสี่ยง
อีกทั้งการไม่บริโภคเลยก็ไม่ใช่ทางเลือก เพราะเนื้อแดงมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง หากบริโภคในจำนวนหรือปริมาณพอสมควร"
คำกล่าวนี้สอดคล้องกับความเห็นของ Dr.Mark Wahlquist ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า
"การบริโภคเนื้อแดงจำนวน 30 กรัม ต่อวัน ไม่เพียงไม่ก่อโทษหากยังมีประโยชน์มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ควรเป็นเนื้อสดและปรุงด้วยความพิถีพิถัน"
เรื่องของการงดหรือละบริโภคเนื้อสัตว์เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงด้วยเหตุผลทางความเชื่อหรือศาสนาเท่านั้น
ทว่าด้วยเหตุผลทางโภชนาการก็กำลังได้รับการพิจารณาจากผู้บริโภคในสังคมสมัยใหม่ นั่นหมายถึงผู้รักสุขภาพและแสวงหาความสุขสมดุลของชีวิต
เบลเยี่ยม ประเทศขนาดเล็กในยุโรป มีชื่อเสียงเรื่องของหวาาน คือ ช็อกโกแลต หนึ่งในประเทศยุโรปที่ผู้คนบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปชนิดต่างๆอย่างกว้างขวาง กำลังสร้างปรากฎการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้โลกได้กล่าวถึงและรับรู้ นั่นคือ ชาวเมืองที่นำโดยผู้ว่าราชการคนใหม่ นักการเมืองท้องถิ่น และชาวเมือง Ghent
ประกาศเจตนารมณ์ว่า พวกเขาจะร่วมมือกัน ไม่กินเนื้อสัตว์ 1 วัน ต่อสัปดาห์
ชาวเมืองเคนท์เริ่มกินมังสวิรัติเป็นครั้งแรก เมื่อสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีแผนการว่าในครั้งต่อมาจะมีการระบุหรือกำหนดไว้ว่า
วันใดจะเป็นวันมังสวิรัติ ไม่เพียงเท่านั้น ชาวเมืองวางแผนไว้แล้วว่า เดือนกันยายน ของปีนี้จะให้เริ่มเป็นเดือนแห่งการกินมังสวิรัติ
สำหรับพวกเด็กๆในสถานศึกษาด้วย
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวเมืองให้ความสนใจกินมังสวิรัติก็เพราะ มันมีผลช่วยลดภาวะโลกร้อน
ด้วยเหตุและผลที่ว่า กินเนื้อสัตว์ก็เท่ากับสนับสนุนการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นกระบวนการเริ่มต้นของการทำลายสภาวะแวดล้อม
นับตั้งแต่การตัดต้นไม้ ทำฟาร์มในป่าฝน การปลูกหญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์ กระทั่งการขับถ่ายของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วัวที่ปล่อยก๊าซที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศของโลก
ความคิดและการกระทำของนักการเมืองท้องถิ่นและชาวเมืองเคนท์เช่นนี้ มีประโยชน์ต่อพลเมืองและต่อโลก
ผมว่าดีกว่าความคิดและงานเขียนของนักวิชาการในประเทศไทยบางคน ที่แสดงความเห็นกระแนะกระแหนคนชั้นกลาง
ซึ่งผมว่ามันไม่มีประโยชน์ทั้งต่อตัวเขาเองและต่อประเทศชาติแต่อย่างใด
ด้วยความเคารพ...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่า นักการเมือง(ท้องถิ่น) มีดีกว่านักวิชาการครับ
บทความสุขภาพ By kodhit.com
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ t-fff โดย ภาณุ มณีวัฒนกุล
http://www.kodhit.mobi/กินเพื่อตัวเองและโลก
กินเพื่อตัวเองและโลก
แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรถือเป็นหน้าที่ ซึ่งสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
คำกล่าวที่ว่า เมื่อคนเราทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหรือทำร้ายสิ่งแวดล้อม ก็เหมือนเรากำลังทำร้ายตัวเอง
และเมื่อเราทำร้ายตัวเอง ก็เหมือนเรากำลังทำร้ายเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และโลก นี่เป็นสัจธรรม ไม่เว้นกระทั่งเรื่อง อาหาร
เพราะกระบวนการกินการทำอากหาร นับตั้งแต่เพราะปลูกจนถึงเลือกใช้วัสดุและวัตถุดิบในครัว
มีส่วนช่วยรักษาโลกและสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าบางคนตระหนัก
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆเกี่ยวกับอาหารน่าสนใจอยู่ 2 ชิ้น ผมขออนุญาตลอกมาเล่าต่อ
ชิ้นแรก มีหลักฐานการแพทย์ชิ้นหนึ่ง ระบุ ว่า ผู้นิยมกินเนื้อแดงเป็นประจำ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์แปรรูป) มีแนวโน้มนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงได้มากกว่าคนบริโภคเท่ากัน
หลักฐานดังกล่าวเป็นผลงานวิจัยในระยะ 10 ปี จากจำนวนอาสาสมัคร 5 แสนคน จัดทำโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา
โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงที่ว่ามีตั้งแต่โรคความดันโลหิตสูง หัวใจและมะเร็ง มีคำถามว่าจำนวนเท่าใดจึงนับว่ามากหรือน้อย คำตอบคือ การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปจำนวน 160 กรัม เป็นประจำทุกวัน นี่ถือว่ามาก ส่วนจำนวนที่ถือว่าน้อยหรือพอสมควรคือ ประมาณ 25 กรัม (เนื้อเค็มบางๆ 1 ชิ้น แฮมหรือเบคอน 1 แผ่น)
ทีมงานวิจัยเปิดเผยว่า ผู้ชายจำนวน 11% และผู้หญิง 16% ซึ่งเสียชีวิตลงขณะทำการวิจัยชิ้นนี้ สามารถเลี่ยงการเสียชีวิตลงได้ หากคนเหล่านั้น (สมัครใจ)
เลี่ยงการบริโภค เนื้อแดง/แปรรูป ไม่เพียงเท่านั้น ทีมงานยังระบุว่า สาเหตุหนึ่งซึ่งเป็น องค์ประกอบสำคัญยิ่งของการก่อให้เกิดมะเร็งคือ
การปรุงเนื้อแดงด้วยความร้อนสูง และเพราะเนื้อแดงอุดมไปด้วยกลุ่มไขมันอิ่มตัวนี้เอง มันจึงมีส่วนสำคัญเกี่ยวเนื่องกับมะเร็งเต้านมที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงอีกด้วย
เมื่อลดการบริโภคเนื้อแดง นั่นย่อมหมายถึงอัตราการเสี่ยงโรคร้ายหลายชนิด นับตั้งแต่ โรคเกี่ยวกับหัวใจ ความดัน และระดับคอเลสเตอรอล
Ed Young แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหราชอาณาจักร หนึ่งในทีมงานวิจัยร่วมกล่าวว่า
"รายงานชิ้นนี้ไม่ได้แนะนำว่าคุณควรหยุดกินเบคอน หรือแฮมเบอร์เกอร์โดยสิ้นเชิง แต่ควรลดจำนวนการบริโภคลง เพื่อเลี่ยงอัตราเสี่ยง
อีกทั้งการไม่บริโภคเลยก็ไม่ใช่ทางเลือก เพราะเนื้อแดงมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง หากบริโภคในจำนวนหรือปริมาณพอสมควร"
คำกล่าวนี้สอดคล้องกับความเห็นของ Dr.Mark Wahlquist ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า
"การบริโภคเนื้อแดงจำนวน 30 กรัม ต่อวัน ไม่เพียงไม่ก่อโทษหากยังมีประโยชน์มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ควรเป็นเนื้อสดและปรุงด้วยความพิถีพิถัน"
เรื่องของการงดหรือละบริโภคเนื้อสัตว์เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงด้วยเหตุผลทางความเชื่อหรือศาสนาเท่านั้น
ทว่าด้วยเหตุผลทางโภชนาการก็กำลังได้รับการพิจารณาจากผู้บริโภคในสังคมสมัยใหม่ นั่นหมายถึงผู้รักสุขภาพและแสวงหาความสุขสมดุลของชีวิต
เบลเยี่ยม ประเทศขนาดเล็กในยุโรป มีชื่อเสียงเรื่องของหวาาน คือ ช็อกโกแลต หนึ่งในประเทศยุโรปที่ผู้คนบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปชนิดต่างๆอย่างกว้างขวาง กำลังสร้างปรากฎการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้โลกได้กล่าวถึงและรับรู้ นั่นคือ ชาวเมืองที่นำโดยผู้ว่าราชการคนใหม่ นักการเมืองท้องถิ่น และชาวเมือง Ghent
ประกาศเจตนารมณ์ว่า พวกเขาจะร่วมมือกัน ไม่กินเนื้อสัตว์ 1 วัน ต่อสัปดาห์
ชาวเมืองเคนท์เริ่มกินมังสวิรัติเป็นครั้งแรก เมื่อสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีแผนการว่าในครั้งต่อมาจะมีการระบุหรือกำหนดไว้ว่า
วันใดจะเป็นวันมังสวิรัติ ไม่เพียงเท่านั้น ชาวเมืองวางแผนไว้แล้วว่า เดือนกันยายน ของปีนี้จะให้เริ่มเป็นเดือนแห่งการกินมังสวิรัติ
สำหรับพวกเด็กๆในสถานศึกษาด้วย
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวเมืองให้ความสนใจกินมังสวิรัติก็เพราะ มันมีผลช่วยลดภาวะโลกร้อน
ด้วยเหตุและผลที่ว่า กินเนื้อสัตว์ก็เท่ากับสนับสนุนการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นกระบวนการเริ่มต้นของการทำลายสภาวะแวดล้อม
นับตั้งแต่การตัดต้นไม้ ทำฟาร์มในป่าฝน การปลูกหญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์ กระทั่งการขับถ่ายของสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วัวที่ปล่อยก๊าซที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศของโลก
ความคิดและการกระทำของนักการเมืองท้องถิ่นและชาวเมืองเคนท์เช่นนี้ มีประโยชน์ต่อพลเมืองและต่อโลก
ผมว่าดีกว่าความคิดและงานเขียนของนักวิชาการในประเทศไทยบางคน ที่แสดงความเห็นกระแนะกระแหนคนชั้นกลาง
ซึ่งผมว่ามันไม่มีประโยชน์ทั้งต่อตัวเขาเองและต่อประเทศชาติแต่อย่างใด
ด้วยความเคารพ...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่า นักการเมือง(ท้องถิ่น) มีดีกว่านักวิชาการครับ
บทความสุขภาพ By kodhit.com
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ t-fff โดย ภาณุ มณีวัฒนกุล
http://www.kodhit.mobi/กินเพื่อตัวเองและโลก