ปุกกุสาติ มหาพรหมผู้อนาคามีชั้นสุทธาวาส

ที่จริงแล้ว ในช่วงนี้ ผมไม่ค่อยมีเวลามากนัก จึงไม่ได้ตั้งกระทู้เลยในสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่า กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง เข้ามาสอบถามเข้ามาด้วยความสงสัย ต่อข้อสรุปของผม ที่กล่าวว่า
การเกิดในพรหมโลก เฉพาะแก่ผู้ได้ฌานสมาบัติเท่านั้น โดยเทียบกับ กรณี ปุกุกสาติ สรุปความได้ว่า

(๑) ท่านปุกกุสาติ เป็นผู้ทรงฌานหรือไม่ เพราะปรากฏว่าท่านได้ไปเกิดในพรหมโลกในตอนท้ายพระสูตร ?
(๒) ท่านปุกกุสาติ บรรลุอนาคามี ตอนไหน ?

ขออนุญาต อธิบายความโดยสังเขป ดังนี้ว่า

ประเด็นที่ ๑

ปุกกุสาติ ได้ฌานสมาบัติ มาก่อนที่จะออกบวช และมาพบพระพุทธเจ้าแล้วครับ โดยความข้อนี้
ปรากฏอยู่โดยพิสดารในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา แต่แท้ที่จริง เราก็ไม่จำเป็นต้องอ้างคัมภีร์ขั้นอรรถกถา ก็ได้
เพราะแม้ข้อความในพระสูตร จะมิได้ระบุตรงๆว่า ปุกกุสาติ เป็นผู้ทรงฌาน แต่ถ้าหากพิจารณาให้ดี
ก็จะพบว่า ข้อความจากพระสูตร ได้แสดงสภาวะแห่งฌานสมาบัติของเขาเอาไว้แล้วอย่างชัดแจ้ง ดังนี้ว่า

(๑) พระพุทธเจ้า ประทับนั่งคู่บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่นเฉพาะหน้า ....... ประทับนั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมาก
(๒) แม้ท่าน ปุกกุสาติ ก็นั่งล่วงเลยราตรีไปเป็นอันมากเหมือนกัน



ขอให้ท่านทั้งหลาย สังเกตว่า แม้ข้อความจากพระสูตร จะไม่ได้ระบุอย่างตรงๆ ว่า ฌาน
แต่ข้อความที่กล่าวพรรณนาความว่า "นั่งคู่บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติมั่นเฉพาะหน้า"
นี้เป็นการแสดงสภาวะของฌานสมาบัติ อีกทั้งการกล่าวถึง ปุกกุสาติว่า ก็นั่ง ..... เหมือนกัน
ย่อมบ่งชี้ว่า ในขณะนั้น ทั้งพระพุทธเจ้า และ ปุกกุสาติ ต่างก็เข้าฌานสมาบัติเหมือนๆ กัน

ดังนั้น ประเด็นที่ว่า ปุกกุสาติ เป็นผู้มีฌานสมาบัติ หรือไม่ จึงสมควรนับว่า ชัดแจ้งอย่างยิ่ง
ไม่มีข้อที่น่าสงสัยเคลือบแคลงแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทั้งนี้ ในชั้นอรรถกถา ถึงกับระบุรายละเอียดว่า
ฌานสมาบัติของ ปุกกุสาตินั้น เกิดจาก อานาปานสติกัมมัฏฐาน



ประเด็นที่ ๒

เราสามารถทราบได้ว่า ปุกกุสาติ บรรลุอนาคามี ตอนไหน ได้จากข้อความจากพระสูตร ซึ่งระบุเหตการณ์
เมื่อหลังจากเทศนาธรรมจบ แล้ว ปุกกุสาติ ได้ทราบอย่างแน่นอนในใจตนแล้วว่า ผู้แสดงธรรมนั้นคือ พระพุทธเจ้า



ช่วงเวลานี้เอง ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า ปุกกุสาติบรรลุธรรม แต่ข้อที่ว่าบรรลุธรรมขั้นใดนั้น
เราในฐานะผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา สามารถทราบได้จากข้อความท้ายพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า



ประเด็นที่ ๓

ประเด็นที่ท่านผู้เป็น กัลยาณมิตร ของผม(จ้าวนครเมฆขาว) อาจเกิดความสงสัย ก็คือ
คำว่า อุปัตติเทพ จากพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย ว่ามีที่มาที่ไป อย่างไร ?     

ก็ขออนุญาตกล่าวอธิบายเสียตรงนี้ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันก็มิได้มีอะไรที่เกินไปกว่าความคาดหมาย
เนื่องจากเมื่อไปตรวจสอบที่พระบาลีของเดิม ก็ปรากฏว่า แท้ที่จริงก็มีแต่เพียงคำว่า "โอปปาติโก" ตามปกตินั่นแหละ
แต่ผู้แปล ท่านอาจมีความหวังดีมากเกินไป ท่านก็เลยแปลพระบาลี "โอปปาติโก" ว่า อุปัตติเทพ ไปตามความเข้าใจของท่าน
อันเนื่องมาจากคำอธิบายของอรรถกถาจารย์อีกที ........

.
.
.

ปณฺฑิโต   ภิกฺขเว   ปุกฺกุสาติ  กุลปุตฺโต  ปจฺจปาทิ  
ธมฺมสฺสานุธมฺมํ    น    จ    มํ    ธมฺมาธิกรณํ   วิเหเฐสิ   ปุกฺกุสาติ  
ภิกฺขเว   กุลปุตฺโต   ปญฺจนฺนํ   โอรมฺภาคิยานํ   สญฺโญชนานํ   ปริกฺขยา(ความสิ้นไป)  
โอปปาติโก ตตฺถ(ในที่นั้น) ปรินิพฺพายี(ดับรอบ) อนาวตฺติธมฺโม(ไม่หวนกลับมาอีกเป็นธรรมดา)
ตสฺมา(เพราะเหตุนั้น) โลกาติ(โลกนี้=กามภพ) ฯ  
อิทมโวจ    ภควา    อตฺตมนา   เต   ภิกฺขู   ภควโต   ภาสิตํ    อภินนฺทุนฺติ ฯ  

.
.
.

ขอให้ท่านทั้งหลาย สังเกตให้ดีๆ ด้วยว่า ถ้อยคำจากพระบาลีแท้ๆ ไม่มี อุปัตติเทพ
ไม่มีเทวโลก ไม่มีพรหมโลก ใดๆ ทั้งสิ้น พระพุทธดำรัส ตรัสอย่างตรงไปตรงมาเพียงว่า .......

เพราะความสิ้นไป(ปริกฺขยา)แห่งโอรัมภาคิสังโยชน์ จึงเป็น โอปปาติก(หมายถึง อนาคามีบุคคล)
ดับรอบ(ปรินิพฺพายี) ในที่นั้น(ตตฺถ) ไม่หวนกลับ(อนาวตฺติ) มาสู่โลกนี้ คือ กามภพ(โลกาติ) อีกเป็นธรรมดา

จะเห็นได้ว่า นี่เป็นการกล่าวถึงสภาวะทางใจของ อนาคามีบุคคล ตามปกติธรรมดา
ซึ่งพระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างนี้ทุกครั้ง เมื่อกล่าวถึง อนาคามี โดยไม่มีคำๆ ใด เกี่ยวกับ พรหมโลก เลยสักคำ
แต่เป็นอรรถกถาจารย์ และ ชาวพุทธ "เลยเถิด" บางพวกต่างหาก ที่นำเอา พรหมโลก ไปยัดใส่พระโอษฐ์ กันเสียดื้อๆ

หรือมิใช่ ?

**************************************************************************

เรื่องของ ปุกกุสาติ ยังมีต่อ นะครับ และน่าสนุกมากพอสมควรเสียด้วย กล่าวคือ
ประเด็นปัญหาที่ว่า เหตุใด บาตรและจีวร อันเป็นทิพย์ จึงไม่เกิดแก่ท่านปุกกุสาติ อรรถกถา ได้ไขความเอาไว้ว่า

(๑) บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จักเกิดเฉพาะแต่สาวกผู้มีภพสุดท้ายเท่านั้น ส่วนปุกกุสาติยังมีปฏิสนธิอีก
(๒) เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ประทานให้ ก็เพราะไม่ทรงมีโอกาส เนื่องจาก ปุกกุสาติจักหมดอายุไข ในไม่ช้านี้

แต่คำอธิบายของอรรถกถาในลำดับถัดมา กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่
กล่าวคือ อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความ ต่อมาอีกว่า ........

"มหาพรหมผู้อนาคามีชั้นสุทธาวาส ก็เป็นราวกะมาสู่ศาลาช่างหม้อแล้วนั่งอยู่"



ความข้อนี้ หมายความว่าอย่างไร ?

ความข้อนี้ ก็หมายความว่า แท้ที่จริงแล้ว สภาวะความเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสของปุกกุสาติ ได้เกิดขึ้นแล้ว
นับแต่ท่านได้บรรลุอนาคามีผล เนื่องจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ณ ศาลาช่างปั้นหม้อ นั้นเอง
ซึ่งนี่ก็คือ การเกิดทางใจ ที่บ่งชี้ถึงระดับชั้นทางจิต(ภูมิ) ในขณะที่ภพ หรือ สภาวะความมีชีวิต ยังเป็น มนุษย์

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่พระพุทธเจ้ามักตรัสเรียก อนาคามีบุคคล ด้วยคำว่า โอปปาติก
และพระพุทธดำรัสที่ตรัสถึง โอปปติกะกำเนิด ในมนุษย์บางจำพวกนั้น ก็ทรงหมายถึง อนาคามีบุคคล นี่เอง



เรื่องราวและข้อมูลต่างๆ ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ น่าสนุกดี ไหมครับ ?

*********************************************************************************

สรุป

(๑) พรหมโลก เฉพาะสำหรับผู้ได้ฌานเท่านั้น ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ขออนุญาตกล่าวยืนยันมติอันนี้นะครับ

(๒) กรณี ปุกกุสาติ ปรากฏหลักฐาน ทั้งในชั้นพระไตรปิฎก และ อรรถกถา ว่าเป็นผู้ได้ฌานมาแล้ว ก่อนพบพระพุทธเจ้า
ดังนั้น การที่ ปุกกุสาติ ไปเกิดในพรหมโลก หลังตายกายแตก จึงไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ แต่อย่างใด

(๓) คำว่า อุปัตติเทพ จากพระไตรปิฎกฉบับแปลไทย ถือว่าเป็นการแปลเกินพระบาลี โดยอาศัยข้อมูลจากคัมภีร์ชั้นอรรถกถา
ซึ่งถ้าพิจารณาจากพระบาบีเดิมแท้จริงๆ เราจะพบว่า พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสถึง เทวดา หรือ พรหมโลก แต่อย่างใดทั้งสิ้น
แต่ตรัสถึง สภาวะทางจิตของ อนาคามีบุคคล ตามปกติ ที่ตรัสอยู่ทั่วไป ปรากกหลักฐานอยู่มากมายในพระไตรปิฎกว่า
อนาคามี เป็นผู้มีระดับชั้นทางจิต พ้นไปจาก กามาวจรแล้ว โดยเด็ดขาด ไม่มีทางหวนกลับมาสู่ โลก คือ กาม ได้อีก

(๔) การ "หักแปล" ในฉบับแปลไทย ที่ระบุในทำนองว่า โอปปาติก ต้องหมายถึง การเกิดในพรหมโลก เท่านั้น จะก่อให้เกิดปัญหามาก
ทั้งนี้ ก็เพราะ ความแปลความ ด้วยความงมงาย อันเกิดจากความเข้าใจแบบผิดๆ ให้ โอปปาติก หมายถึงการเกิด หลังจากการตายเข้าโลง
จักทำให้ พระพุทธดำรัส ที่สมบูรณ์ ดีพร้อมอยู่แล้วมาแต่เดิม กลับกลายเป็นข้อความอัพยากฤตปัญหา ขึ้นมาทั้นที ด้วยเหตุที่ว่า

การยืนยันว่า อนาคามีบุคคล ต้องตายแล้วไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น ไม่มีทางเป็นไปอย่างอื่น จึงเป็นการกล่าวผิดความจริง
เนื่องจาก ความเป็นไปได้อย่างอื่น ยังมีอยู่ กล่าวคือ อนาคามี ผู้นั้นอาจดับรอบ(นิพพาน) ได้ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่เหตุการณ์ปกติอันนี้ กลับจะทำให้ การอ้างกล่าวว่า "อนาคามีบุคคล ต้องตายแล้วไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น" กลายเป็นเท็จ

ทั้งนี้ ชาวพุทธทั้งหลายย่อมทราบดีว่า พระพุทธเจ้าย่อมตรัสแต่คำจริงเท่านั้น ไม่ว่าจะตรัสโดยสมมุติ หรือ ปรมัตถ์ ก็ตาม
นั่นจึงหมายความว่า ความเข้าใจของชาวพุทธบางพวกที่ว่า  "อนาคามีบุคคล ต้องตายแล้วไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น"
ย่อมเป็นความเข้าใจผิด อย่างแน่นอน เพราะความเข้าใจดังกล่าว ไม่ใช่ความจริง ในทุกๆ กรณี
ดังนั้น มันจึงย่อมมิใช่ ความหมายที่แท้จริงของพระพุทธดำรัส ตามที่ คนเหล่านั้น พยายามแอบอ้างกันมา

ขออนุญาต จบคำอธิบายแต่เพียงเท่านี้ นะครับ (เพราะเวลามีอยู่อย่างจำกัด)



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่