รีวิวหนัง : Boyhood เวลาผ่านไป วัยเหมือนโกหก



สำหรับแฟนๆ ริชาร์ด ลิงค์เลเทอร์ ผู้กำกับมากฝีมือที่มีลายเซ็นต์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คงไม่คิดว่าเขาจะสามารถสร้างหนังที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า Before Sunrise และ Before Sunset สองหนังรักโรแมนติกที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม กระนั้นหลังจากได้ยินโปรเจกต์ภาพยนตร์เรื่อง Boyhood หลายคนอาจต้องคิดใหม่ซะแล้ว

Boyhood เป็นหนังที่น่าสนใจหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การใช้เวลาถ่ายทำนานถึง 12 ปี โดยใช้เด็กคนเดียวกันเล่นรับบทนำตั้งแต่เล็กจนโต (7ขวบ-18ปี)  ไม่เฉพาะเด็กชายที่แสดงนำ ตัวละครอื่นๆในเรื่องทุกคนก็ใช้คนๆเดียวกันแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งมีลูกสาวของ ริชาร์ด ผู้กำกับแสดงเป็นพี่สาวของเด็กชายตัวเอก ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกันปีละหน แต่ใช้ฟุตเทจเปลืองกว่าหนังทั่วไปหลายเท่า น่าทึ่งกับการตัดต่อไฟล์จำนวนมหาศาลให้กลายเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง

เนื้อหาของหนังเกี่ยวกับ เมสัน (เอลลา โคลเทรน) เด็กชายที่ อาศัยอยู่กับ ซาแมนธา (ลอเรไล ลิงค์เลเทอร์) พี่สาว และ แม่ (แพทริเซีย อาร์เควตต์) โดยมี พ่อ (อีธาน ฮอว์ค) ที่ทำงานไม่ค่อยเป็นหลักเป็นแหล่งแวะเวียนมาหาบ้าง ครอบครัวเมสัน มีปัญหาค่อนข้างบ่อย พวกเขาต้องย้ายที่อยู่หลายครั้งจากหน้าที่การงานและชีวิตสมรสของแม่ เมสัน เติบโตขึ้นท่ามกลางเรื่องราวดีและร้ายมากมายผ่านทางผู้คนที่เข้ามาในชีวิต พร้อมๆกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่สุดยอดอย่างมากในหนังคือบทอันสมบูรณ์แบบ ถ่ายถอดเรื่องราวชีวิตคนๆหนึ่งออกมาแบบครบถ้วน ร้อยเรียงระยะเวลา12ปีให้เหลือ3ชั่วโมงได้ลงตัว ตอกยํ้าวลี เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ชัดเจนมาก หนังตีแผ่สังคมอเมริกันครบถ้วนชนิดไม่เคยมีเรื่องไหนทำได้มาก่อน เหนือกว่า American beauty เข้าใจได้ง่ายกว่า The Tree of Life ดำเนินเรื่องสนุกสนาน น่าติดตาม แทบไม่มีฉากน่าเบื่อเลย นอกจากนั้นหนังยังสะท้อนความหมายของคำว่า ครอบครัว ได้แตกต่างและลึกซึ้งกว่าที่เคย



ความยากของการถ่ายทำหนังโดยใช้นักแสดงชุดเดิมคือบทต้องยืดหยุ่น พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ แน่นอนว่านักแสดงห้ามเจ็บ ห้ามตาย เข้าใจว่าหายมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นระหว่าง120เดือน ผู้กำกับคงต้องแก้บทยกใหญ่ ข่าวดีคือมันไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น Boyhood จึงกลายเป็นหนัง  Coming of age หรือ การก้าวพ้นวัย ที่ขึ้นหิ้ง และคงกลายเป็นตำนานประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ได้ไม่ยาก น่ายกย่องในความอดทน เพียรพยายามของ ผู้กำกับ ทีมงาน รวมถึงนักแสดง

สเน่ห์อีกอย่างของหนังเรื่องนี้คือการบันทึก วัฒนธรรม ดนตรี ศิลปะ สังคม ไปจนถึง การเมือง ของประเทศสหรัฐฯตลอดระยะเวลา12ปีแบบย่อมๆ โดยมีการเสียดสีการเมืองระดับประเทศผ่านตัวละคร ซึ่งก็ทำออกมาได้แบบสะใจ ตรงไปตรงมา ส่วนนี้ออกแนวตามใจผู้กำกับที่ใส่รสนิยมทางการเมืองของตัวเองเข้าไปเต็มที่ แน่นอนว่าคนที่ถูกพาดพิงคงสะดุ้งตัวลอยถ้าบังเอิญได้ดู

ในส่วนของการแสดง เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่ามันจริง จริงมากเสียจนไม่คิดว่านักแสดงในเรื่องกำลังแสดง จุดนี้ต้องชื่นชมความเป็นธรรมชาติของนักแสดง เอลลา โคลเทรน ในบท เมสัน เขาเติบโตมาเป็นหนุ่มที่มีบุคลิกน่าสนใจ เป็นความโชคดีของผู้กำกับ เช่นเดียวกับ ลอเรไล ลิงค์เลเทอร์ ที่เล่นเป็นพี่สาว เมสัน แม้จริงๆแล้วเธอจะอายุมากกว่าเขาแค่3เดือน แต่ก็ทำให้คนดูเชื่อว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกันโดยไม่ได้สนใจความแตกต่างทางกายภาพใดๆเลย

อีกคนที่โดดเด่นมากๆคือ แพทริเซีย อาร์เควตต์ ในบทแม่ เธอเป็นคนที่มีความเติบโตทางอารมณ์และมีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่อง ขณะเดียวกันเธอก็เป็นตัวละครที่น่าเห็นใจที่สุดในเรื่องเช่นกัน ด้าน อีธาน ฮอว์ค เหมาะที่สุดกับการแสดงเป็น พ่อ ถึงจะมีภาพจำจากหนังเรื่องก่อนๆของเขา แต่บุคคลิกที่ใกล้เคียงกันของตัวละครก็สร้างความลื่นไหลในการแสดง โดยเฉพาะการต่อบทสนทนา เมื่อหนังจบเราจะรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัว หรือไม่ก็เรากลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขา

Boyhood เป็นหนังที่ทรงพลัง พูดได้เต็มปากว่าคือภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี การได้เฝ้ามองชีวิตคนค่อยๆเติบโตขึ้นจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ในช่วงเวลาแค่165นาทีมันมหัศจรรย์มาก สามารถสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้ผู้ชมได้ครบครัน ทั้ง อมยิ้ม หวาดกลัว เศร้าใจ หัวเราะ สงสาร ตื้นตัน โรแมนติก เกลียดชัง เปี่ยมสุข ไปจนถึง นํ้าตาไหล ซึ่งหากการถ่ายหนังคือการโกหกให้แนบเนียน หนังเรื่องนี้ก็บอกเล่าสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ได้อย่างสมจริงที่สุด รางวัลออสการ์จึงคู่ควรมากๆกับภาพยนตร์เรื่องนี้

คะแนน 9.5/10

โดย นกไซเบอร์

ที่มา http://movie.bugaboo.tv/watch/141973/?link=4
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่