"สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้"
(สมาธิสูตร)
เมื่อพิจารณาตามพระบาลีที่เป็นพระพุทธพจน์
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า
การที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเกิดปัญญา
จนรู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องมีจิตใจที่สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิให้ได้เสียก่อน
อันเป็นบาทฐานในเบื้องต้น
การรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือ การรู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง นั่นเอง
ส่วนผู้ที่มีจิตใจไม่สงบหวั่นไหว สับสนวุ่นวาย ส่งออกนั้น
เนื่องจากขาดกำลังสติสมาธิ หรือที่เรียกว่า "กรรมฐาน"
จิตใจย่อมคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
คล้อยตามอารมณ์กิเลสได้โดยง่าย
มาเริ่มต้นลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิ ในอริยมรรคมีองค์ ๘ กันเถิด
ดังที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วใน "มหาจัตตารีสกสูตร" ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ
คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย "ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง" ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ"
จากพระสูตร แสดงชัดเจนว่า "สัมมาสมาธิ" เป็นใหญ่เป็นประธาน ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
อาจมีผู้สงสัยว่า แล้วสัมมาสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังเป็นสาสวะอยู่ล่ะ
จะมีเหตุ มีองค์ประกอบเช่นกันหรือไม่?
ขอตอบว่า ย่อมต้องมีเหตุมีองค์ประกอบเช่นกัน
ต่างกันที่ความสามารถในการเข้าถึง"ธรรมอันเอก"
อันเนื่องจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา
เพื่อให้จิตมีสติสงบ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กิเลสทั้งหลาย
ผู้ที่จิตมีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กิเลสทั้งหลาย
รวมลงเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากการ "ภาวนากรรมฐาน" นั้น
ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงในอารมณ์กิเลสทั้งหลายนั้นว่า
"นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา"
เรียกว่าเกิด "สัมมาทิฐิ" รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
การรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ไม่ได้เกิดจากการ "ภาวนามยปัญญา" นั้น
ไม่อาจเรียกว่า "รู้ชัด" หรือ "รู้เห็นตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔" ได้เลย
เป็นเพียงการคาดคะเนเอาเองเท่านั้นว่า ความคิดเห็นนั้น "ใช่"
เรียกว่าคิดถูกต้องตาม "จินตมยปัญญา" ของตนเองเท่านั้น
ยังไม่จัดว่าเป็น "ความเห็นชอบ" ที่เรียกว่า "สัมมาทิฐิ" อย่างแท้จริง
เพราะยังขาดการพิสูจน์ทราบจากลงมืออย่างจริงจัง
ในการ "ภาวนามยปัญญา" จนเกิดผลให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔
ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
เครดิต >> คุณธรรมภูต
http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2123.0
ไม่มีกำลังกรรมฐาน แล้วจะรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงได้อย่างไร ที่รู้ก็เพียงคาดคะเนเอา ..
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้"
(สมาธิสูตร)
เมื่อพิจารณาตามพระบาลีที่เป็นพระพุทธพจน์
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า
การที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเกิดปัญญา
จนรู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น
ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องมีจิตใจที่สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิให้ได้เสียก่อน
อันเป็นบาทฐานในเบื้องต้น
การรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็คือ การรู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง นั่นเอง
ส่วนผู้ที่มีจิตใจไม่สงบหวั่นไหว สับสนวุ่นวาย ส่งออกนั้น
เนื่องจากขาดกำลังสติสมาธิ หรือที่เรียกว่า "กรรมฐาน"
จิตใจย่อมคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
คล้อยตามอารมณ์กิเลสได้โดยง่าย
มาเริ่มต้นลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิ ในอริยมรรคมีองค์ ๘ กันเถิด
ดังที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วใน "มหาจัตตารีสกสูตร" ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ
คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ
สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย "ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง" ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ"
จากพระสูตร แสดงชัดเจนว่า "สัมมาสมาธิ" เป็นใหญ่เป็นประธาน ในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
อาจมีผู้สงสัยว่า แล้วสัมมาสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังเป็นสาสวะอยู่ล่ะ
จะมีเหตุ มีองค์ประกอบเช่นกันหรือไม่?
ขอตอบว่า ย่อมต้องมีเหตุมีองค์ประกอบเช่นกัน
ต่างกันที่ความสามารถในการเข้าถึง"ธรรมอันเอก"
อันเนื่องจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา
เพื่อให้จิตมีสติสงบ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กิเลสทั้งหลาย
ผู้ที่จิตมีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์กิเลสทั้งหลาย
รวมลงเป็นหนึ่งเดียวที่เกิดจากการ "ภาวนากรรมฐาน" นั้น
ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงในอารมณ์กิเลสทั้งหลายนั้นว่า
"นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา"
เรียกว่าเกิด "สัมมาทิฐิ" รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
การรู้เห็นตามความเป็นจริงที่ไม่ได้เกิดจากการ "ภาวนามยปัญญา" นั้น
ไม่อาจเรียกว่า "รู้ชัด" หรือ "รู้เห็นตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔" ได้เลย
เป็นเพียงการคาดคะเนเอาเองเท่านั้นว่า ความคิดเห็นนั้น "ใช่"
เรียกว่าคิดถูกต้องตาม "จินตมยปัญญา" ของตนเองเท่านั้น
ยังไม่จัดว่าเป็น "ความเห็นชอบ" ที่เรียกว่า "สัมมาทิฐิ" อย่างแท้จริง
เพราะยังขาดการพิสูจน์ทราบจากลงมืออย่างจริงจัง
ในการ "ภาวนามยปัญญา" จนเกิดผลให้รู้เห็นตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔
ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรม
เครดิต >> คุณธรรมภูต
http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2123.0