ก่อนจะเข้าเรื่องเราต้องจำแนกก่อนว่าการนั่งสมาธิตามแนวทางของศาสนาพุทธ และนอกศาสนาพุทธเป็นอย่างไร เพราะใครๆก็สามารถนั่งสมาธิได้
เราน่าจะรู้จักพวกฤาษีกันมาบ้าง พวกฤาษีมักอยู่ในกลุ่มของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือบางตนก็ไม่ได้นับถือศาสนาใดชัดเจน
พวกฤาษีเขาสามารถนั่งสมาธิ เข้าฌาน หรืออะไรก็แล้วแต่สุดที่เค้าจะไปถึง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกฤาษีไม่สามารถทำได้นั่นก็คือการบรรลุธรรม
ทำไมพวกฤาษีถึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้? นั่นก็เพราะเขาไม่รู้ธรรมของพระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้เกิดปัญญาในการบรรลุธรรม
ละไว้แค่นี้ก่อน!
ต่อมาเรามาเข้าเรื่องการทำสมาธิแบบชาวพุทธกันบ้าง แต่ละคนมีประสบการณ์ในการนั่งสมาธิที่แตกต่างกันแต่สำหรับผู้ที่เริ่มหัดนั่งสมาธิผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครที่ไม่เคยเห็นภาพหลอน ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง ถามว่าทำไมเราจึงเห็นภาพหลอน นั่นก็เพราะจิตของเราไม่นิ่งและควบคุมได้ยาก เราต้องเข้าใจก่อนว่าการทำสมาธิในแบบของพระอรหันต์ในอดีตเขานั่งสมาธิเพื่อการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดสูงขึ้น มิใช่การมัวมาทำให้จิตนิ่ง เพราะการควบคุมจิตต้องใช้สติกำกับ แล้วเราก็ไม่สามารถควบคุมจิตได้ตลอดเวลา ผ่านไปสักพักจิตก็วิ่งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกไม่หยุด การคอยไล่ตามจิตและควบคุมมันเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้องและเสียเวลาอีกทั้งไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้บรรลุธรรมได้
ให้คุณคิดว่าสมาธิที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนห้องๆหนึ่งที่เงียบสงบ คุณกำลังคิดแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ สุดท้ายคุณก็คิดออก
การคิดแก้ปัญหาในห้องที่เงียบสงบคือการพิจารณาธรรม เมื่อปัญญาเกิดคุณก็สามารถแก้ปัญหาได้
เราจะเห็นได้ว่าการนั่งสมาธิเพื่อทรงสมาธิไว้นานๆ ไม่ทำให้เกิดปัญญาตราบใดที่คุณไม่พิจารณาธรรม คุณอาจหยิบยกธรรมในเรื่องใดมาคิดก็ได้
ฝึกในขั้นพื้นฐาน โดยการเริ่มจากธรรมที่ง่าย ไปหายาก เมื่อฝึกไปเรื่อยๆคุณจะเข้าสู่สภาวะ ฌาน โดยอัตโนมัติ คุณอาจรู้หรือไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในสภาวะ ฌาน ซึ่งไม่ต้องไปใส่ใจกับมันมาก เพราะฌานก็เหมือนจิตมีขึ้นมีลง ผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูงจะควบคุมจิตและฌานได้ยาก
ไล่ลำดับจาก [พระโสดาบัน---->สกทาคามี---->อนาคามี---->อรหันต์] ธรรมแต่ละระดับแตกต่างกันตรงที่มีกิเลสมากน้อย นั่นคือการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส ซึ่งไม่ได้เน้นไปที่ความสามารถในการควบคุมจิตให้นิ่ง ถ้าเราเริ่มต้นทำสมาธิด้วยการควบคุมจิตก็จงรู้ไว้เลยว่ามาผิดทาง
คำว่า "จดจ่อ" อยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ได้แต่สงสัยต่อๆกันมาว่าจดจ่อเพื่ออะไร จดจ่อเพื่อให้มีสมาธิ ให้เราจดจ่ออยู่ที่การพิจารณาธรรมวนไปเรื่อยๆไม่หยุด สมาธิก็จะเกิดเอง ไม่ต้องไปบังคับให้จิตนิ่งเพื่อให้สมาธิเกิด มันเป็นการฝืนธรรมชาติ พูดง่ายๆขอแค่ให้คุณบรรลุธรรมขั้นสูงได้ ไม่ว่าจะเรื่องสมาธิ ควบคุมจิต ทรงฌาน ทุกอย่างจะเป็นของง่ายหมดโดยที่คุณไม่ต้องไปควบคุมหรือวิ่งไล่ตามมัน
ถ้าคุณยังไม่บรรลุธรรม จิตจะเป็นนายของคุณ เพราะจิตใจของคุณยังเต็มไปด้วยกิเลส
ถ้าคุณบรรลุธรรม ลดละกิเลสลงไปเรื่อยๆ คุณจะเริ่มเป็นนายของจิต เพราะจิตของคุณถูกขัดเกลาเอากิเลสออก(จิตเชื่อง)
สรุป ผู้ที่ไม่เอาพระไตรปิฎก ไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีทางบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็จะเป็นพวกนอกศาสนาพุทธเหมือนฤาษี
ปล.ทิ้งท้าย ศาสนาพุทธยังมีเรื่องอื่นให้ศึกษาค้นคว้าติดตามได้อีก ไม่ใช่จะมีแต่เรื่องการบรรลุธรรมอย่างเดียว อย่าเครียด อย่าซีเรียสครับ
เทคนิคการทำสมาธิ(นั่งสมาธิ)
เราน่าจะรู้จักพวกฤาษีกันมาบ้าง พวกฤาษีมักอยู่ในกลุ่มของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือบางตนก็ไม่ได้นับถือศาสนาใดชัดเจน
พวกฤาษีเขาสามารถนั่งสมาธิ เข้าฌาน หรืออะไรก็แล้วแต่สุดที่เค้าจะไปถึง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกฤาษีไม่สามารถทำได้นั่นก็คือการบรรลุธรรม
ทำไมพวกฤาษีถึงไม่สามารถบรรลุธรรมได้? นั่นก็เพราะเขาไม่รู้ธรรมของพระพุทธเจ้าหรือศาสนาพุทธซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้เกิดปัญญาในการบรรลุธรรม
ละไว้แค่นี้ก่อน!
ต่อมาเรามาเข้าเรื่องการทำสมาธิแบบชาวพุทธกันบ้าง แต่ละคนมีประสบการณ์ในการนั่งสมาธิที่แตกต่างกันแต่สำหรับผู้ที่เริ่มหัดนั่งสมาธิผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มีใครที่ไม่เคยเห็นภาพหลอน ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง ถามว่าทำไมเราจึงเห็นภาพหลอน นั่นก็เพราะจิตของเราไม่นิ่งและควบคุมได้ยาก เราต้องเข้าใจก่อนว่าการทำสมาธิในแบบของพระอรหันต์ในอดีตเขานั่งสมาธิเพื่อการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดสูงขึ้น มิใช่การมัวมาทำให้จิตนิ่ง เพราะการควบคุมจิตต้องใช้สติกำกับ แล้วเราก็ไม่สามารถควบคุมจิตได้ตลอดเวลา ผ่านไปสักพักจิตก็วิ่งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกไม่หยุด การคอยไล่ตามจิตและควบคุมมันเป็นอะไรที่ไม่ถูกต้องและเสียเวลาอีกทั้งไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้บรรลุธรรมได้
ให้คุณคิดว่าสมาธิที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนห้องๆหนึ่งที่เงียบสงบ คุณกำลังคิดแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ สุดท้ายคุณก็คิดออก
การคิดแก้ปัญหาในห้องที่เงียบสงบคือการพิจารณาธรรม เมื่อปัญญาเกิดคุณก็สามารถแก้ปัญหาได้
เราจะเห็นได้ว่าการนั่งสมาธิเพื่อทรงสมาธิไว้นานๆ ไม่ทำให้เกิดปัญญาตราบใดที่คุณไม่พิจารณาธรรม คุณอาจหยิบยกธรรมในเรื่องใดมาคิดก็ได้
ฝึกในขั้นพื้นฐาน โดยการเริ่มจากธรรมที่ง่าย ไปหายาก เมื่อฝึกไปเรื่อยๆคุณจะเข้าสู่สภาวะ ฌาน โดยอัตโนมัติ คุณอาจรู้หรือไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในสภาวะ ฌาน ซึ่งไม่ต้องไปใส่ใจกับมันมาก เพราะฌานก็เหมือนจิตมีขึ้นมีลง ผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูงจะควบคุมจิตและฌานได้ยาก
ไล่ลำดับจาก [พระโสดาบัน---->สกทาคามี---->อนาคามี---->อรหันต์] ธรรมแต่ละระดับแตกต่างกันตรงที่มีกิเลสมากน้อย นั่นคือการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลส ซึ่งไม่ได้เน้นไปที่ความสามารถในการควบคุมจิตให้นิ่ง ถ้าเราเริ่มต้นทำสมาธิด้วยการควบคุมจิตก็จงรู้ไว้เลยว่ามาผิดทาง
คำว่า "จดจ่อ" อยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็ได้แต่สงสัยต่อๆกันมาว่าจดจ่อเพื่ออะไร จดจ่อเพื่อให้มีสมาธิ ให้เราจดจ่ออยู่ที่การพิจารณาธรรมวนไปเรื่อยๆไม่หยุด สมาธิก็จะเกิดเอง ไม่ต้องไปบังคับให้จิตนิ่งเพื่อให้สมาธิเกิด มันเป็นการฝืนธรรมชาติ พูดง่ายๆขอแค่ให้คุณบรรลุธรรมขั้นสูงได้ ไม่ว่าจะเรื่องสมาธิ ควบคุมจิต ทรงฌาน ทุกอย่างจะเป็นของง่ายหมดโดยที่คุณไม่ต้องไปควบคุมหรือวิ่งไล่ตามมัน
ถ้าคุณยังไม่บรรลุธรรม จิตจะเป็นนายของคุณ เพราะจิตใจของคุณยังเต็มไปด้วยกิเลส
ถ้าคุณบรรลุธรรม ลดละกิเลสลงไปเรื่อยๆ คุณจะเริ่มเป็นนายของจิต เพราะจิตของคุณถูกขัดเกลาเอากิเลสออก(จิตเชื่อง)
สรุป ผู้ที่ไม่เอาพระไตรปิฎก ไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีทางบรรลุธรรมได้ คนพวกนี้ก็จะเป็นพวกนอกศาสนาพุทธเหมือนฤาษี
ปล.ทิ้งท้าย ศาสนาพุทธยังมีเรื่องอื่นให้ศึกษาค้นคว้าติดตามได้อีก ไม่ใช่จะมีแต่เรื่องการบรรลุธรรมอย่างเดียว อย่าเครียด อย่าซีเรียสครับ