ความรู้ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว (อนัตตา) เท่านั้น" นี้มาจากเหตุผลและความจริง ไม่ใช่มาจากการคิดหลอกตัวเองอย่างที่บางคนเข้าใจ ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อที่ว่ามีตัวเราไปเกิดใหม่ได้ (เชื่อว่าตัวเราเป็นอัตตา) และความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย และความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น ที่ไม่มีทั้งเหตุผลมาอธิบาย และไม่มีความจริงมายืนยัน มีแต่ความเชื่อตามตำราหรือตามคนอื่นเขาบอกมาเท่านั้น ซ้ำความเชื่อนี้ยังนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดัยทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันก็ไม่ได้
เหตุผลที่ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว" นี้มีมากมาย เช่น จากกฏสูสุดของธรรมชาตที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาย่อมเกิดมาจากเหตุ เมื่อเหตุของมันดับหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที ดังนั้นทั้งร่างกายและจิตใจของเราก็ต้องเกิดมาจากเหตุ คือร่างกายก็ต้องมีพ่อและแม่เป็นเหตุให้เกิดขึ้น และมีอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศ มาเป็นปัจจัย (ปัจจัยก็คือเหตุย่อยๆ) ให้ตั้งอยู่ได้ เมื่อขาดอาหาร หรือน้ำ หรือความร้อน หรืออากาศ ร่างกายก็จะแตกหรือตายไปทันที ไม่มีทางที่ร่างกายเก่าจะไปเกิดขึ้นมาได้ใหม่ เพระามันไม่มีตัวตนที่แท้จริงที่จะไปเกิดใหม่ได้
ส่วนจิตใจที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้ก็ไม่ต่างกับร่างกาย คือจิตใจก็ต้องมีการรับรู้ (วิญญาณ) ที่เกิดขึ้นตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่มาเป็นเหตุ และมีความทรงจำจากสมองมาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตใจขึ้น ถ้าร่างกายตายจิตใจก็จะไม่มี หรือถ้าสมองเสียหายก็จะไม่มีความทรงจำ จิตก็จะไม่สมบูรณ์ คือคิดนึกไม่ได้ เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ที่ยังไม่มีความรู้สึกว่ามีตนเองอย่างสมบูรณ์ เป็นต้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครจะค้านได้
ส่วนความจริงที่พิสูจน์ได้ก็คือ เมื่อเวลาเราหลับสนิทและไม่ฝันหรือเวลาที่เราสงบ ก็จะไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา เมื่อจิตตื่นขึ้นมาจึงจะเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเรา ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้มันถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น (จึงได้เรียกว่าเป็นตัวเราชั่วคราวหรืออนัตตาที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตา) หาได้มีอยู่ตลอดเวลาไม่ ถ้าจิตมันจะมีอยู่ตลอดเวลา (คือถ้ามันเป็นอัตตา) มันจะต้องมีความรู้สึกนึดคิดอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น ซึ่งนี่คือความจริงที่ไม่มีใครจะค้านได้
สรุปได้ว่าเหตุผลและความจริงที่ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว" นี้เป็นความรู้หรือปัญญา (สัมมาทิฎฐิ) ที่จะนำมาใช้คู่กับสมาธิโดยมีศีลเป็นพื้นฐาน ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ส่วนความเชื่อว่ามีตัวเราที่จะเกิดขึ้นมาอีกได้ใหม่ในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไปนั้น เป็นแค่ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว ซึ่งความเชื่อนี้นำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเป็นความเชื่อระดับศีลธรรมที่จะช่วยได้ก็เพียงทำให้เราอุ่นใจได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ความรู้ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว" นี้มาจากเหตุผลและความจริง
เหตุผลที่ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว" นี้มีมากมาย เช่น จากกฏสูสุดของธรรมชาตที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาย่อมเกิดมาจากเหตุ เมื่อเหตุของมันดับหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที ดังนั้นทั้งร่างกายและจิตใจของเราก็ต้องเกิดมาจากเหตุ คือร่างกายก็ต้องมีพ่อและแม่เป็นเหตุให้เกิดขึ้น และมีอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศ มาเป็นปัจจัย (ปัจจัยก็คือเหตุย่อยๆ) ให้ตั้งอยู่ได้ เมื่อขาดอาหาร หรือน้ำ หรือความร้อน หรืออากาศ ร่างกายก็จะแตกหรือตายไปทันที ไม่มีทางที่ร่างกายเก่าจะไปเกิดขึ้นมาได้ใหม่ เพระามันไม่มีตัวตนที่แท้จริงที่จะไปเกิดใหม่ได้
ส่วนจิตใจที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้ก็ไม่ต่างกับร่างกาย คือจิตใจก็ต้องมีการรับรู้ (วิญญาณ) ที่เกิดขึ้นตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่มาเป็นเหตุ และมีความทรงจำจากสมองมาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตใจขึ้น ถ้าร่างกายตายจิตใจก็จะไม่มี หรือถ้าสมองเสียหายก็จะไม่มีความทรงจำ จิตก็จะไม่สมบูรณ์ คือคิดนึกไม่ได้ เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ที่ยังไม่มีความรู้สึกว่ามีตนเองอย่างสมบูรณ์ เป็นต้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครจะค้านได้
ส่วนความจริงที่พิสูจน์ได้ก็คือ เมื่อเวลาเราหลับสนิทและไม่ฝันหรือเวลาที่เราสงบ ก็จะไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา เมื่อจิตตื่นขึ้นมาจึงจะเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเรา ซึ่งนี่แสดงถึงว่า จิตที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้มันถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น (จึงได้เรียกว่าเป็นตัวเราชั่วคราวหรืออนัตตาที่แปลว่า ไม่ใช่อัตตา) หาได้มีอยู่ตลอดเวลาไม่ ถ้าจิตมันจะมีอยู่ตลอดเวลา (คือถ้ามันเป็นอัตตา) มันจะต้องมีความรู้สึกนึดคิดอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น ซึ่งนี่คือความจริงที่ไม่มีใครจะค้านได้
สรุปได้ว่าเหตุผลและความจริงที่ว่า "ไม่มีตัวเราอยู่จริง มีแต่ตัวเราชั่วคราว" นี้เป็นความรู้หรือปัญญา (สัมมาทิฎฐิ) ที่จะนำมาใช้คู่กับสมาธิโดยมีศีลเป็นพื้นฐาน ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ส่วนความเชื่อว่ามีตัวเราที่จะเกิดขึ้นมาอีกได้ใหม่ในร่างกายใหม่ได้เรื่อยไปนั้น เป็นแค่ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยที่ชาวพุทธไม่รู้ตัว ซึ่งความเชื่อนี้นำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเป็นความเชื่อระดับศีลธรรมที่จะช่วยได้ก็เพียงทำให้เราอุ่นใจได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น