สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
2. นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543 หรือ พ.ศ. 2016 - 2086)
ชาวโปแลนด์ผู้ได้สมญานามว่าเป็นผู้วางรากฐานดาราศาสตร์ เป็นผู้มีความสามารถในหลายสาขา
ทั้งกฎหมาย แพทย์ ปรัชญา ศาสนา ภาษาละตินและดาราศาสตร์ (บอกแล้วคนแต่ก่อนเก่งหลากหลายจริงๆ)
โคเปอร์นิคัสเป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล (เพียงแต่ไม่ได้เผยแพร่)
และโลกกลม (ก่อนนั้นเชื่อกันว่าโลกแบน) โดยต่อยอดมาจากแนวคิดของพีธาโกรัส
นอกจากนี้เขายังได้ตั้งทฤษฎีเพื่ออธิบายเกี่ยวกับฤดูกาล กลางวันและกลางคืนได้อย่างถูกต้อง
ภาพแสดงโคเปอร์นิคัสเฝ้าสังเกตการเดินทางของโลก
ตลอดชีวิตโคเปอร์นิคัสได้ทำงานอย่างหนัก เขายังทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย
โดยมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้โปแลนด์รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทางการเงินมาได้
โคเปอร์นิคัสทำการศึกษาและเชื่อในทฤษฎีว่า “ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล โลกและดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์”
แต่เขาไม่ได้เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ออกไป เพราะเกรงกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
เนื่องจากไปขัดแย้งกับทฤษฎีของอาริสโตเติล นักปราชญ์เอกที่ว่า “โลกเป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล”
ซึ่งตรงกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ในยุคนั้น
แต่ผลงานและทฤษฎีต่างๆ ของเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นทฤษฎีที่ถูกต้องและบุกเบิกแนวทางให้กับนักดาราศาสตร์รุ่นต่อมาอย่างกาลิเลโอ
*********
ด้วยความเชื่ออย่างเคร่งครัดในสมัยนั้น ทำให้โคเปอร์นิคัสไม่กล้าเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้องที่เขาค้นพบ
แต่แนวคิดเขาก็เป็นพื้นฐานให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไปอย่างกาลิเลโอได้มาต่อยอดจนสำเร็จ
บางครั้งความจริง ความถูกต้องบางอย่าง ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันทีในยุคนั้นๆ แต่มันจะไม่เสียเปล่า
เพราะวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ค้นพบและสานต่อจนสำเร็จอยู่ดี
ชาวโปแลนด์ผู้ได้สมญานามว่าเป็นผู้วางรากฐานดาราศาสตร์ เป็นผู้มีความสามารถในหลายสาขา
ทั้งกฎหมาย แพทย์ ปรัชญา ศาสนา ภาษาละตินและดาราศาสตร์ (บอกแล้วคนแต่ก่อนเก่งหลากหลายจริงๆ)
โคเปอร์นิคัสเป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล (เพียงแต่ไม่ได้เผยแพร่)
และโลกกลม (ก่อนนั้นเชื่อกันว่าโลกแบน) โดยต่อยอดมาจากแนวคิดของพีธาโกรัส
นอกจากนี้เขายังได้ตั้งทฤษฎีเพื่ออธิบายเกี่ยวกับฤดูกาล กลางวันและกลางคืนได้อย่างถูกต้อง
ภาพแสดงโคเปอร์นิคัสเฝ้าสังเกตการเดินทางของโลก
ตลอดชีวิตโคเปอร์นิคัสได้ทำงานอย่างหนัก เขายังทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจด้วย
โดยมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้โปแลนด์รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทางการเงินมาได้
โคเปอร์นิคัสทำการศึกษาและเชื่อในทฤษฎีว่า “ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล โลกและดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์”
แต่เขาไม่ได้เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ออกไป เพราะเกรงกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
เนื่องจากไปขัดแย้งกับทฤษฎีของอาริสโตเติล นักปราชญ์เอกที่ว่า “โลกเป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล”
ซึ่งตรงกับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ในยุคนั้น
แต่ผลงานและทฤษฎีต่างๆ ของเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นทฤษฎีที่ถูกต้องและบุกเบิกแนวทางให้กับนักดาราศาสตร์รุ่นต่อมาอย่างกาลิเลโอ
*********
ด้วยความเชื่ออย่างเคร่งครัดในสมัยนั้น ทำให้โคเปอร์นิคัสไม่กล้าเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้องที่เขาค้นพบ
แต่แนวคิดเขาก็เป็นพื้นฐานให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อไปอย่างกาลิเลโอได้มาต่อยอดจนสำเร็จ
บางครั้งความจริง ความถูกต้องบางอย่าง ไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันทีในยุคนั้นๆ แต่มันจะไม่เสียเปล่า
เพราะวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ค้นพบและสานต่อจนสำเร็จอยู่ดี
ความคิดเห็นที่ 3
3. กาลิเลโอ กาลิเลอี (ค.ศ. 1564-1642 หรือ พ.ศ. 2107 - 2185)
ผู้ค้นพบทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่"
"บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่"
เขาเสนอแนวคิดว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นการสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส
ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของทอเลมีและอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทำให้ขัดแย้งกับคริสตจักรจนถูกเรียกไปปรับทัศนคติ และถูกประณามว่าเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต
จนต้องโทษคุมขัง ซึ่งต่อมาโทษนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการคุมตัวอยู่แต่ในบ้านและให้งานเขียนอื่นๆ กลายเป็นงานต้องห้ามไปด้วย
ภาพเขียนจำลองกาลิเลโอถูกเรียกเข้ารับการพิจารณาคดี
เขาถูกห้ามไม่ให้สอนนักเรียนของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อีก มิฉะนั้นจะถูกจับเผาทั้งเป็น
เขาจึงได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อศึกษาเพิ่มเติมและ พิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขาเป็นความจริงในที่สุด
กาลิเลโอตาบอดอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1638 ทั้งยังต้องทุกข์ทรมานจากโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ
ต่อมาเขาจึงได้รับอนุญาตให้ไปยังฟลอเรนซ์ได้เพื่อรักษาตัว จนปี ค.ศ. 1642 เขาเสียชีวิตด้วยอาการไข้สูงและหัวใจล้มเหลว
ภายหลังเมื่อมีการพิสูจน์ว่าโลกมิได้ตรึงแน่นอยู่กับที่ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอ
โดยสร้างอนุสาวรีย์ของ เขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกัน
*********
ถือว่ากาลิเลโอเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเมือง (ในรูปศาสนจักร) อย่างจัง ทำให้ในช่วงบั้นปลายต้องลำบาก
แต่ยังโชคดีที่ว่า หากกาลิเลโอเกิดในประเทศที่มีสลิ่มเยอะๆ ถึงแม้ต่อมาจะพิสูจน์ได้ว่ากาลิเลโอคิดถูก
แต่เชื่อได้เลย จะไม่มีการออกมายอมรับอย่างเป็นทางการหรือสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นเด็ดขาด
ผู้ค้นพบทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) จนได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งดาราศาสตร์สมัยใหม่"
"บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่"
เขาเสนอแนวคิดว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นการสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส
ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของทอเลมีและอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ทำให้ขัดแย้งกับคริสตจักรจนถูกเรียกไปปรับทัศนคติ และถูกประณามว่าเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต
จนต้องโทษคุมขัง ซึ่งต่อมาโทษนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการคุมตัวอยู่แต่ในบ้านและให้งานเขียนอื่นๆ กลายเป็นงานต้องห้ามไปด้วย
ภาพเขียนจำลองกาลิเลโอถูกเรียกเข้ารับการพิจารณาคดี
เขาถูกห้ามไม่ให้สอนนักเรียนของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อีก มิฉะนั้นจะถูกจับเผาทั้งเป็น
เขาจึงได้ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อศึกษาเพิ่มเติมและ พิสูจน์ว่าทฤษฎีของเขาเป็นความจริงในที่สุด
กาลิเลโอตาบอดอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1638 ทั้งยังต้องทุกข์ทรมานจากโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ
ต่อมาเขาจึงได้รับอนุญาตให้ไปยังฟลอเรนซ์ได้เพื่อรักษาตัว จนปี ค.ศ. 1642 เขาเสียชีวิตด้วยอาการไข้สูงและหัวใจล้มเหลว
ภายหลังเมื่อมีการพิสูจน์ว่าโลกมิได้ตรึงแน่นอยู่กับที่ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอ
โดยสร้างอนุสาวรีย์ของ เขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกัน
*********
ถือว่ากาลิเลโอเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการเมือง (ในรูปศาสนจักร) อย่างจัง ทำให้ในช่วงบั้นปลายต้องลำบาก
แต่ยังโชคดีที่ว่า หากกาลิเลโอเกิดในประเทศที่มีสลิ่มเยอะๆ ถึงแม้ต่อมาจะพิสูจน์ได้ว่ากาลิเลโอคิดถูก
แต่เชื่อได้เลย จะไม่มีการออกมายอมรับอย่างเป็นทางการหรือสร้างอนุสาวรีย์ให้เป็นเด็ดขาด
แสดงความคิดเห็น
**ห้องทดลองรากหญ้า: พลิกปูมประวัตินักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกกับแง่มุมด้านการเมือง (ภาคสมบูรณ์)** by ชุนเทียน
มีคุณ Old Law Boy นิติวิพากษ์ เป็นประธานกลุ่ม "Non TaKang"
คุณ ถ้าฉันรวยฉันจะสวยให้ดู เป็นประธานกลุ่ม "กลุ่มอดีตคนเคยสวยรากหญ้าสร้างชาติรักประชาธิปไตย นอนตะแคงจนตาแข็ง"
น้องนู๋สร้างชาติผู้ก่อตั้งบ้านคนรากหญ้า (ล่าสุดไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของราชดำเนิน)
วันนี้จะขอพื้นที่แลกเปลี่ยนเรื่องนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังกับแง่มุมด้านการเมืองซึ่งเป็นภาคต่อจากกระทู้ครั้งที่แล้ว
ซึ่งมีเสียงเรียกร้องมาเป็นจำนวนมาก (1 คน คือ เจ้าของกระทู้เอง) ว่าให้หาเพิ่มเติม
แต่เพื่อความต่อเนื่องจะขอยกเนื้อหาจากกระทู้เดิมมาลงใหม่ และจะได้เรียงตามลำดับตามปี เพื่อให้เห็นภาพแต่ละช่วงเวลาเรียงกันไป
กระทู้นี้จะขอเล่าถึงประวัติย่อๆ สัก 9 ท่าน โดยจขกท. ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งประวัตินักวิทยาศาสตร์หรือการเมือง
ดังนั้นหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ติดต่อได้ที่ประธานกลุ่ม เอ่อ ไม่ใช่ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
เรามักคิดกันว่านักวิทยาศาสตร์คงจะแค่อยู่ในห้องทดลองกับสารเคมีและลูกแก้ว เอ๊ย ขวดแก้ว หรือหลอดทดลองต่างๆ
ไม่น่าจะมีส่วนข้องแวะกับการเมืองซักเท่าไร แต่ที่จริงแล้ว การเมืองเกี่ยวข้องกับคนทุกคน จะมากหรือน้อยเท่านั้น
บางครั้งการเมืองไม่ได้อยู่ในรูปการปกครองเท่านั้น แต่ยังอยู่ในรูปความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อของสังคมในยุคนั้นๆ อีกด้วย
นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังบางท่านมีบทบาทสำคัญด้านการเมือง บางท่านให้แง่คิดด้านการเมือง ส่วนบางท่านโดนหางเลขจนงอมพระราม
ไม่ว่าจะอย่างไร พวกท่านล้วนแต่สร้างประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติทั้งหลายทั้งเรื่องความรู้ แนวคิด สิ่งประดิษฐ์ ทฤษฎี อย่างมากมาย
ทุกท่านเป็นตัวอย่างที่ดีของความมุ่งมั่น หลายท่านประสบปัญหาในวัยเด็ก หลายท่านมีความบกพร่องทางร่างกายด้วยซ้ำ
แต่เพราะนิสัยที่ช่างสังเกต ช่างค้นคว้าหาข้อมูล ช่างคิด ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และมีจิตใจดีงามหวังสร้างสิ่งมีค่าให้มนุษยชาติ
ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ มีผลงานและตำนานจารึกไว้บนโลกใบนี้
เราคนรุ่นหลังขอขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างสูง
ปล. 1. กระทู้เดิม http://ppantip.com/topic/32479075 เนื้อหานำมาลงใหม่ในกระทู้นี้แล้ว แต่มีการปรับบางส่วนให้สมบูรณ์ขึ้น
ปล. 2 ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านที่ให้ความเห็นดีๆ ในกระทู้ที่แล้ว ขอเชิญร่วมแลกเปลี่ยนที่นี่ต่อได้ค่ะ
จะก๊อปความเห็นจากกระทู้นั้นมาอีกก็ยินดีค่ะ เผื่อเพื่อนที่ไม่ได้คลิกไปดู และขอขอบคุณเพื่อนทุกท่านที่เข้ามาอ่าน
จะกบ เขียด ปาด อย่างไรก็ได้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็จะยินดีและเป็นพระคุณ
ปล. 3 ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากอินเตอร์เนต