สวัสดีครับ หลังจากที่แวะเวียนมาหาข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก ลดหุ่นในนี้อยู่นาน ก็ถึงเวลาที่จะมารีวิวแบ่งปันประสบการณ์ในการลดน้ำหนักเปลี่ยนแปลงรูปร่าง วันนี้ผมเลยถือโอกาสสมัครสมาชิกและตั้งกระทู้รีวิวอันแรกของผมกับ เวปpantip แห่งนี้ หากมีข้อผิดพลาดอันใดก็ต้องกราบของอภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และหวังว่า กระทู้นี้คงจะสร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้น ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
แนะนำตัว ชื่อ โอ อายุ 25 ปี
ส่วนสูง 170 ซม.
น้ำหนักตอนเริ่มอยู่ที่ 82-83 กิโล ปัจจุบันน้ำหนักอยู่ที่ 77.2 กิโล
FB : เคนจิโร่ โอกาดะ
IG : backpack555
ถ้าพูดถึงในเรื่องของวามฝันแล้วนั้น ผมคิดว่าทุกคนคงมีความฝันเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น บางคนอาจจะมีแค่ 1 ความฝัน บางคนอาจจะมีมากกว่านั้น แต่สำหรับผมแล้วนั้น 1 ในความฝันที่ผมมีนั่นก็คือการมีรูปร่างที่ดี มีซิกแพคที่หน้าท้อง มีกล้าม ความฝันแบบนี้ผมเริ่มต้นเมื่อตอนสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จากการไปดูหนังเรื่อง แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่มี "เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์" รับบทเป็น Jacob Black มนุษย์หมาป่า ถ้าท่านใดเคยดูก็จะทราบดีว่า เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ ที่รับบทเป็น มนุษย์หมาป่าผู้นี้ มีรูปร่างที่ดูดีมากๆ นั้นคือแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มเข้าฟิตเนต
***รูปถ่ายสมัยตอนเรียนมหาลัย ก่อนที่จะเริ่มเล่นฟิตเนต***
หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มเข้าฟิตเนตมาตลอด เรียกว่าเสพติดการฟิตเนตกันไปเลยที่เดียว วันไหนถ้าไม่ได้เล่นหรือเหงื่อไม่ออกจากรู้สึกแปลกๆไม่สบายตัวกันเลยทีเดียว โดยมีคู่หูเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ช่วงแรกก็เล่นกันไปตามอัตภาพ เล่นผิดบ้าง ถูกบ้าง หลังก็ได้พี่ๆในยิมที่มหาลัยคอยช่วยสอนและเทรนให้ทำให้เริ่มรู้จัก ท่าทางการยกดัมเบล การบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ตลอดจนการจัดโปรแกรมการเล่น ก็เล่นไปได้จนเพื่อนๆทักว่าหุ่นเฟิร์มขึ้น
ช่วงนั้นถึงแม้ว่าจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ตาม แต่ในแง่ของอาหารการกินและการพักผ่อนยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก็ตามประสวัยรุ่นล่ะครับ เที่ยวผับ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นอนดึก ตื่นเช้าเพื่อมาเรียน วันไหนไม่มีเรียนเช้าก็สบายหน่อย สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้การออกกำลังกายโดยเฉพาะการเล่นเวทไม่ได้ผลเท่าที่ควร
***รูปหลังจากการเริ่มออกกำลังการด้วยการเล่นเวทน้ำหนักตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 60กิโล ปลายๆ - 70กิโล ต้นๆ***
ในช่วงท้ายๆของการเรียนในระดับ ป.ตรี ด้วยความที่มีงานมีกิจกรรมที่ต้องทำมากขึ้นจึงทำให้เวลาในการไปออกกำลังกายค่อยๆน้อยลง จนกระทั้งเลิกออกไปโดยปริยาย จนเรียนจบและก้าวเข้าสู่วัยทำงานก็ไม่ได้กลับไปออกกำลังกายอีกเลย เวลาทำงานเหนื่อยๆเครียดๆก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน เหล้า เบียร์ ไม่ต้องพูดถึง มาเต็ม!!!! จนน้ำหนักค่อยๆ ทะยานขึ้น ทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จาก 60 กว่า เป็น 70 จาก 70 เป็น 80 กิโล แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปถึงแม้ว่าจะมีคนรอบข้างทักก็ตามว่า อ้วนขึ้น อ้วนขึ้น พุงยื่น บ้าง โน้นนี่นั่น แต่ก็ไม่เคยสนใจ ยังคงสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วคิดว่าตัวเองยังไหวอยู่ ยังไม่อ้วนหรอก นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่อ้วนและน้ำหนักเยอะกว่าอยู่อีกมากมาย
***ช่วง 3-4 ปี หลังจากเรียนจบ***
จนเมื่อเดือนเมษายน 57 ที่ผ่านมีผมมีโอกาศพาเพื่อนไปออกทริปเที่ยวที่ประเทศจีน ด้วยเมืองที่ผมไปนั้น เป็นพื้นที่ราบสูง มีระดับความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 1500-4500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้คนพื้นที่ราบอย่างเราๆเกิดอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก อันเนื่องมาจากอาการแพ้ความสูง ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีที่แล้วผมเคยมาที่นี่แล้วรอบหนึ่งตอนนั้นผมมีอาการแพ้ความสูงเพียงเล็กน้อยแค่นั้น แต่มาครั้งนี้ผมกลับเป็นหนักกว่าเดิม มีอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก หน้ามืด ความดันขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดมาจากสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของตัวผมประกอบกับอากาศที่เบาบางจึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ ณ.ตอนนั้นผมคิดไว้ว่าเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยผมต้องเริ่มกลับมาออกกำลังกายแล้ว ก่อนที่ร่างกายเราจะแย่ไปกว่านี้ ประกอบกับการกลับมานั่งดูรูปตัวเองที่เพื่อนถ่ายให้ตอนไปออกทริปที่ผ่านมา มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมา ลดน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างจริงจัง
***รูปที่ถ่ายตอนไปออกทริปกับเพื่อนเมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมา***
หลังจากกลับมาจากการไปออกทริปผมก็ยังไม่ได้เริ่มออกกำลังกายสักที ยังคงปล่อยเวลาให้ผ่านไป พร้อมกับความขี้เกลียดที่มากขึ้นทุกวันๆ จนมีอยู่วันหนึ่งผมอัฟรูปตัวเองลง facebook หลังจากอัฟได้ไม่นานก็มีเพื่อนๆมาคอมเม้นต์ ซึ่งแต่ละคอมเมนต์ที่เพื่อนๆพิมพ์มานั้น ล้วนแต่แทงใจดำทั้งสิ้น มันคือแรงเสียดทานอย่างหนึ่ง ผมก็ได้แต่เก็บแรงเสียดทานเหล่านั้นไว้ใจและเปลี่ยนให้มันเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันแทน
***รูปและตัวอย่างคอมเมนต์ในfacebook***
จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ผมจะเริ่มกลับมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง 1 กค 57 วันแรกของการเริ่มต้นภาระกิจ ผมตั้งชื่อภาระกิจนี้ว่า "ภาระกิจพิชิตพุง" ผมเริ่มต้นวันแรกด้วยการวิ่งบนลู่วิ่ง วันแรกวิ่งได้ไม่ถึง 10 นาทีก็เหนื่อยแล้ว
***วันแรกของการเริ่มต้นภาระกิจ***
พอเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สองผมเริ่มวิ่งได้นานขึ้นจาก 10 นาที เพิ่มมาเป็น 20 , 30 , 40 นาที ตามลำดับ ร่างกายเริ่มดีขึ้นเริ่มอึดขึ้น นอกจากการวิ่งบนลู่วิ่งแล้วผมยังเพิ่มการเล่นเวทเพื่อให้ร่างกายกระชับมากขึ้น
***หลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์***
นอกจากการออกกำลังกายแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือการควบคุมชนิดและปริมาณของอาหารที่เราทานไปในแต่ละวัน ซึ่งในช่วงนี้ผมยังอยู่ในช่วงการลดน้ำหนัก ผมเลยลดการทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง งดของหวานทุกชนิด น้ำอัดลม ของมัน ของทอด แต่ก็มีแอบหลุดบ้างในบ้างครั้ง ทาน 3 มื้อปกติ มื้อเช้าจะเป็นพวก โจ๊ก ข้าวราดแกง ข้าวเหนียวหมูย่าง หรือไม่ก็ ไข่ลวก กับ นมจืด สลับกันไป มื้อกลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็น สุกี้น้ำ เกาเหลา เป็นต้น ส่วนมื้อ เย็นจะเป็น พวกสลัด แบบนี้เป็นต้น
***เข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 3***
เข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ผมเริ่มเล่นเวทมากขึ้นสลับกับการเบริ์นด้วยการวิ่ง โดยใน 1 สัปดาห์ผมจะเล่นเวท 3 วัน และ เบริ์นอีก 3 วัน สลับกัน เช่น จัน พุธ ศุกร์ เล่นเวท ส่วน อังคาร พฤหัส เสาร์ จะเบริ์น วิธีการเบริ์นก็ยังคงใช้วิธีเดิมก็คือการวิ่งบนลู่วิ่ง วิ่งครั้งละ 40-45 นาที ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันพัก ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยจนผ่านไป 1 เดือน ลองมาชั่งน้ำหนักดู น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 78.8 กิโลกรัม จากวันแรกที่เริ่มอยู่ที่ราวๆ 82 กิโลกรัม เท่ากับว่า 1 เดือนผ่านไปผมสามารถลดน้ำหนักไปได้ ประมาณ 3.2 กิโลกรัม ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง
*** 1 เดือนผ่านไป เริ่มมั่นใจมากขึ้น เริ่มกล้าถอดเสื้อถ่ายรูป***
เข้าสู่ช่วงเดือนที่ 2 โปรแกรมยังคงเหมือนเดิมคือการเล่นเวทสลับกับการเบริ์น แต่ในการยกเวทผมเพิ่มน้ำหนักในการยกในแต่ละเซตมากขึ้น เริ่มแบ่งและจัดตารางในการบริหารเฉพาะส่วน เช่น วันจันทร์เล่น อก กับ หลัง แขน วันพุธ เล่น หัวไหล่ กับ หน้าแขน วันศุกร์ เล่นขากับหลัง ส่วนการซิกอัฟ ผมซิกอัฟทุกวัน
***สัปดาห์ที่2ของเดือนที่2 ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ***
และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง 25 สิงหาคม 57 (วันที่ 56 ของภาระกิจ) หลังจากที่ผมทุ่มเทมาอย่างหนักจนในที่สุดหน้าท้องก็ปรากฎร่องรอยของsix pack ถึงแม้ว่าจะไม่ครบ 6 แพค ก็ตาม แต่มาถึงวันนี้ได้ผมก็ดีใจสุดๆแล้วครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็น six pack ของตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่เล็กโตผมไม่เคยมีsix packกับเค้าเลย
***56 วันของการเดินทางกับรูปถ่าย six pack ของตัวเอง***
รูปเปรียบเทียบระหว่างช่วงต้นเดือนสิงหา กับ ช่วง ปลายเดือน สิงหา
มาถึง ณ.จุดนี้ผมบอกได้เลยว่าผมมาไกลว่าที่คิดไว้ตอนแรกเยอะมาก ไม่คิดว่าจะลดได้เร็วขนาดนี้ ผมตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆและสัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นการลดน้ำหนักครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้ผมจะไม่มีวันกลับมาอ้วยอีกเป็นแน่ สำหรับเป้าหมายต่อไปก็คงเป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อทุกส่วนให้ดูชัดขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะมารีวิวให้ดูภายหลัง สุดท้ายนี้ผมของเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังลดน้ำหนักหรือคนที่คิดที่จะเริ่มลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย การเริ่มต้นเป็นอะไรที่ยากเสมอ แต่ถ้าไม่เริ่มทำมัน ก็จะไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายผมของชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ ส่วนใครที่คิดว่าจะเริ่ม ของให้เลิกคิดซะแล้วมาลงมื้อทำอย่างจริงจัง ผมเป็นกำลังใจให้เช่นกัน ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอน สู้ๆๆๆๆ เป็นกำลังใจให้
[CR] รีวิวลดน้ำหนัก "กับ 56 วัน เปลี่ยนพุงให้กลายเป็น six pack"
สวัสดีครับ หลังจากที่แวะเวียนมาหาข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก ลดหุ่นในนี้อยู่นาน ก็ถึงเวลาที่จะมารีวิวแบ่งปันประสบการณ์ในการลดน้ำหนักเปลี่ยนแปลงรูปร่าง วันนี้ผมเลยถือโอกาสสมัครสมาชิกและตั้งกระทู้รีวิวอันแรกของผมกับ เวปpantip แห่งนี้ หากมีข้อผิดพลาดอันใดก็ต้องกราบของอภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และหวังว่า กระทู้นี้คงจะสร้างประโยชน์และแรงบันดาลใจให้ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่กำลังจะเริ่มต้น ลดน้ำหนักและออกกำลังกาย
แนะนำตัว ชื่อ โอ อายุ 25 ปี
ส่วนสูง 170 ซม.
น้ำหนักตอนเริ่มอยู่ที่ 82-83 กิโล ปัจจุบันน้ำหนักอยู่ที่ 77.2 กิโล
FB : เคนจิโร่ โอกาดะ
IG : backpack555
ถ้าพูดถึงในเรื่องของวามฝันแล้วนั้น ผมคิดว่าทุกคนคงมีความฝันเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น บางคนอาจจะมีแค่ 1 ความฝัน บางคนอาจจะมีมากกว่านั้น แต่สำหรับผมแล้วนั้น 1 ในความฝันที่ผมมีนั่นก็คือการมีรูปร่างที่ดี มีซิกแพคที่หน้าท้อง มีกล้าม ความฝันแบบนี้ผมเริ่มต้นเมื่อตอนสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย จากการไปดูหนังเรื่อง แวมไพร์ ทไวไลท์ ที่มี "เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์" รับบทเป็น Jacob Black มนุษย์หมาป่า ถ้าท่านใดเคยดูก็จะทราบดีว่า เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ ที่รับบทเป็น มนุษย์หมาป่าผู้นี้ มีรูปร่างที่ดูดีมากๆ นั้นคือแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มเข้าฟิตเนต
หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เริ่มเข้าฟิตเนตมาตลอด เรียกว่าเสพติดการฟิตเนตกันไปเลยที่เดียว วันไหนถ้าไม่ได้เล่นหรือเหงื่อไม่ออกจากรู้สึกแปลกๆไม่สบายตัวกันเลยทีเดียว โดยมีคู่หูเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ช่วงแรกก็เล่นกันไปตามอัตภาพ เล่นผิดบ้าง ถูกบ้าง หลังก็ได้พี่ๆในยิมที่มหาลัยคอยช่วยสอนและเทรนให้ทำให้เริ่มรู้จัก ท่าทางการยกดัมเบล การบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ตลอดจนการจัดโปรแกรมการเล่น ก็เล่นไปได้จนเพื่อนๆทักว่าหุ่นเฟิร์มขึ้น
ช่วงนั้นถึงแม้ว่าจะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ตาม แต่ในแง่ของอาหารการกินและการพักผ่อนยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ก็ตามประสวัยรุ่นล่ะครับ เที่ยวผับ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นอนดึก ตื่นเช้าเพื่อมาเรียน วันไหนไม่มีเรียนเช้าก็สบายหน่อย สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้การออกกำลังกายโดยเฉพาะการเล่นเวทไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ในช่วงท้ายๆของการเรียนในระดับ ป.ตรี ด้วยความที่มีงานมีกิจกรรมที่ต้องทำมากขึ้นจึงทำให้เวลาในการไปออกกำลังกายค่อยๆน้อยลง จนกระทั้งเลิกออกไปโดยปริยาย จนเรียนจบและก้าวเข้าสู่วัยทำงานก็ไม่ได้กลับไปออกกำลังกายอีกเลย เวลาทำงานเหนื่อยๆเครียดๆก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งอ้วน เหล้า เบียร์ ไม่ต้องพูดถึง มาเต็ม!!!! จนน้ำหนักค่อยๆ ทะยานขึ้น ทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ จาก 60 กว่า เป็น 70 จาก 70 เป็น 80 กิโล แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปถึงแม้ว่าจะมีคนรอบข้างทักก็ตามว่า อ้วนขึ้น อ้วนขึ้น พุงยื่น บ้าง โน้นนี่นั่น แต่ก็ไม่เคยสนใจ ยังคงสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วคิดว่าตัวเองยังไหวอยู่ ยังไม่อ้วนหรอก นอกจากนี้ยังมีคนอื่นที่อ้วนและน้ำหนักเยอะกว่าอยู่อีกมากมาย
จนเมื่อเดือนเมษายน 57 ที่ผ่านมีผมมีโอกาศพาเพื่อนไปออกทริปเที่ยวที่ประเทศจีน ด้วยเมืองที่ผมไปนั้น เป็นพื้นที่ราบสูง มีระดับความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 1500-4500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทำให้คนพื้นที่ราบอย่างเราๆเกิดอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก อันเนื่องมาจากอาการแพ้ความสูง ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีที่แล้วผมเคยมาที่นี่แล้วรอบหนึ่งตอนนั้นผมมีอาการแพ้ความสูงเพียงเล็กน้อยแค่นั้น แต่มาครั้งนี้ผมกลับเป็นหนักกว่าเดิม มีอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก หน้ามืด ความดันขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดมาจากสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงของตัวผมประกอบกับอากาศที่เบาบางจึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ ณ.ตอนนั้นผมคิดไว้ว่าเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยผมต้องเริ่มกลับมาออกกำลังกายแล้ว ก่อนที่ร่างกายเราจะแย่ไปกว่านี้ ประกอบกับการกลับมานั่งดูรูปตัวเองที่เพื่อนถ่ายให้ตอนไปออกทริปที่ผ่านมา มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมา ลดน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างจริงจัง
หลังจากกลับมาจากการไปออกทริปผมก็ยังไม่ได้เริ่มออกกำลังกายสักที ยังคงปล่อยเวลาให้ผ่านไป พร้อมกับความขี้เกลียดที่มากขึ้นทุกวันๆ จนมีอยู่วันหนึ่งผมอัฟรูปตัวเองลง facebook หลังจากอัฟได้ไม่นานก็มีเพื่อนๆมาคอมเม้นต์ ซึ่งแต่ละคอมเมนต์ที่เพื่อนๆพิมพ์มานั้น ล้วนแต่แทงใจดำทั้งสิ้น มันคือแรงเสียดทานอย่างหนึ่ง ผมก็ได้แต่เก็บแรงเสียดทานเหล่านั้นไว้ใจและเปลี่ยนให้มันเป็นกำลังใจ เป็นแรงผลักดันแทน
จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ผมจะเริ่มกลับมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง 1 กค 57 วันแรกของการเริ่มต้นภาระกิจ ผมตั้งชื่อภาระกิจนี้ว่า "ภาระกิจพิชิตพุง" ผมเริ่มต้นวันแรกด้วยการวิ่งบนลู่วิ่ง วันแรกวิ่งได้ไม่ถึง 10 นาทีก็เหนื่อยแล้ว
พอเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สองผมเริ่มวิ่งได้นานขึ้นจาก 10 นาที เพิ่มมาเป็น 20 , 30 , 40 นาที ตามลำดับ ร่างกายเริ่มดีขึ้นเริ่มอึดขึ้น นอกจากการวิ่งบนลู่วิ่งแล้วผมยังเพิ่มการเล่นเวทเพื่อให้ร่างกายกระชับมากขึ้น
นอกจากการออกกำลังกายแล้ว สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญก็คือการควบคุมชนิดและปริมาณของอาหารที่เราทานไปในแต่ละวัน ซึ่งในช่วงนี้ผมยังอยู่ในช่วงการลดน้ำหนัก ผมเลยลดการทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง งดของหวานทุกชนิด น้ำอัดลม ของมัน ของทอด แต่ก็มีแอบหลุดบ้างในบ้างครั้ง ทาน 3 มื้อปกติ มื้อเช้าจะเป็นพวก โจ๊ก ข้าวราดแกง ข้าวเหนียวหมูย่าง หรือไม่ก็ ไข่ลวก กับ นมจืด สลับกันไป มื้อกลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็น สุกี้น้ำ เกาเหลา เป็นต้น ส่วนมื้อ เย็นจะเป็น พวกสลัด แบบนี้เป็นต้น
เข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ผมเริ่มเล่นเวทมากขึ้นสลับกับการเบริ์นด้วยการวิ่ง โดยใน 1 สัปดาห์ผมจะเล่นเวท 3 วัน และ เบริ์นอีก 3 วัน สลับกัน เช่น จัน พุธ ศุกร์ เล่นเวท ส่วน อังคาร พฤหัส เสาร์ จะเบริ์น วิธีการเบริ์นก็ยังคงใช้วิธีเดิมก็คือการวิ่งบนลู่วิ่ง วิ่งครั้งละ 40-45 นาที ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันพัก ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยจนผ่านไป 1 เดือน ลองมาชั่งน้ำหนักดู น้ำหนักลดลงมาอยู่ที่ 78.8 กิโลกรัม จากวันแรกที่เริ่มอยู่ที่ราวๆ 82 กิโลกรัม เท่ากับว่า 1 เดือนผ่านไปผมสามารถลดน้ำหนักไปได้ ประมาณ 3.2 กิโลกรัม ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง
เข้าสู่ช่วงเดือนที่ 2 โปรแกรมยังคงเหมือนเดิมคือการเล่นเวทสลับกับการเบริ์น แต่ในการยกเวทผมเพิ่มน้ำหนักในการยกในแต่ละเซตมากขึ้น เริ่มแบ่งและจัดตารางในการบริหารเฉพาะส่วน เช่น วันจันทร์เล่น อก กับ หลัง แขน วันพุธ เล่น หัวไหล่ กับ หน้าแขน วันศุกร์ เล่นขากับหลัง ส่วนการซิกอัฟ ผมซิกอัฟทุกวัน
และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง 25 สิงหาคม 57 (วันที่ 56 ของภาระกิจ) หลังจากที่ผมทุ่มเทมาอย่างหนักจนในที่สุดหน้าท้องก็ปรากฎร่องรอยของsix pack ถึงแม้ว่าจะไม่ครบ 6 แพค ก็ตาม แต่มาถึงวันนี้ได้ผมก็ดีใจสุดๆแล้วครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็น six pack ของตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่เล็กโตผมไม่เคยมีsix packกับเค้าเลย
รูปเปรียบเทียบระหว่างช่วงต้นเดือนสิงหา กับ ช่วง ปลายเดือน สิงหา
มาถึง ณ.จุดนี้ผมบอกได้เลยว่าผมมาไกลว่าที่คิดไว้ตอนแรกเยอะมาก ไม่คิดว่าจะลดได้เร็วขนาดนี้ ผมตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆและสัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นการลดน้ำหนักครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้ผมจะไม่มีวันกลับมาอ้วยอีกเป็นแน่ สำหรับเป้าหมายต่อไปก็คงเป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อทุกส่วนให้ดูชัดขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะมารีวิวให้ดูภายหลัง สุดท้ายนี้ผมของเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังลดน้ำหนักหรือคนที่คิดที่จะเริ่มลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย การเริ่มต้นเป็นอะไรที่ยากเสมอ แต่ถ้าไม่เริ่มทำมัน ก็จะไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ สำหรับใครที่กำลังลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายผมของชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ ส่วนใครที่คิดว่าจะเริ่ม ของให้เลิกคิดซะแล้วมาลงมื้อทำอย่างจริงจัง ผมเป็นกำลังใจให้เช่นกัน ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอน สู้ๆๆๆๆ เป็นกำลังใจให้