แก้ไขเพิ่มโน้ตนี้ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

เพื่อให้ เข้าใจตรงกัน นะครับ

ว่ากระทู้นี้เป็น การแชร์ประสพการณ์ส่วนตัว ในการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน

ให้เห็นว่าการลดน้ำหนัก อย่างจริงจัง และ รวดเร็วอย่างที่ผมทำ นั่นทำได้ และยกตัวอย่างให้ดูไปแล้ว

แต่ การลดหรือควบคุมน้ำหนักที่ดี

คนที่จะลด ควรจะเลือกสัดส่วน การควบคุม อาหาร และการออกกำลังกาย ที่เหมาะสมกับแต่ล่ะคน และ ถ้ามีเวลา ค่อยๆ ลดลงช้าๆ ให้ร่างกายปรับตัวได้ ดี  จะดีที่สุด

ในเรื่องการลดมากน้อย แค่ไหน การกำหนดเป็นกก. อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก คนอ้วน เช่น สูง 170 กก. หนัก 100 กก. ย่อมลดได้ไว ได้ง่ายกว่า คนสูงเท่ากัน แต่หนัก 75 กก.

ดังนั้น คนที่น้ำหนักเกินเยอะ จะลดได้ง่าย ได้ไว และอันตรายน้อยกว่าคนที่อ้วนน้อยกว่า

และถ้ายิ่งคนนั้น ไม่ได้อ้วน หรือ ผอมอยู่แล้ว แต่ยังฝืนลดน้ำหนัก เหมือนสาวๆ บางคนที่ไม่ได้อ้วน แต่คิดว่าตัวเองอ้วน แล้วไปฝืนลด อันนั้น แหละที่จะอันตราย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในความเห็นที่ผมสรุป  ความเห็น ที่ 47 ข้างล่างได้ ครับ

=================================================
พอดีตั้งกระทู้แชร์เรื่องการลดน้ำหนัก กับเพื่อนๆแพทย์ ในห้องพักแพทย์ ThaiClinic

เลยคิดว่า อาจจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ น้องพันทิป เลย เอามาแชร์กันครับ
================================================
ผมเองปกติเล่นกีฬา ค่อนข้างเยอะ ทั้งวิ่ง ปีนเขา ดำน้ำ และปั่นจักรยาน

เล่นกีฬา นี่เล่นแบบค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะวิ่ง สมัยก่อน ตอนชอบๆ วิ่ง นี่ลงสนามแข่งประจำเกือบทุกสัปดาห์

ปกติเป็นคนไม่สูงมาก คือสูงแค่ 170  ซม. น้ำหนักตัวสมัยเล่นกีฬาฟิตๆ น้ำหนักตัว แค่ 59-60 กก. เอง


แต่ช่วงหลังหยุดวิ่ง ไปเล่นอย่างอื่นที่ใช้ พลังงานน้อยกว่า  และออกเที่ยวนอกบ้าน ชิมอาหาร อร่อยๆทุกสุดสัปดาห์ เลยเริ่มสะสมไขมัน มากขึ้น  เรื่อยๆ น้ำหนักตัวพุ่งไป ถึง 77.5 กก.

ครั้งล่าสุดเพื่อนๆ ชวนไปร่วมงานวิ่งพิทักษ์กระบี่ อนุรักกษ์พะยูน ที่ สะพานพระราม 8

วิ่งด้วยน้ำหนักตัว 77 กก.กว่าๆ นี่อ้วน จนรู้สึกอึดอัดวิ่งไม่ออกจนน้องชมรมวิ่งทักกันเลย  




วิ่งๆไปนี่ ยังกะปลาพะยูนติดขาขึ้นมาวิ่ง

พอดีช่วงต้น สิงหา มีโปรแกรม ที่จะไปปีนเขาขี้นยอด Elbrus  ยอดสูงสุดของ ทวีปยุโรป กับก๊วนปีนเขา  ถ้าน้ำหนักตัวเยอะ ไม่ฟิต ไปแบกอุปกรณ์ และชุด และรองเท้าลุยหิมะหนัก คงไปไม่รอดแน่

เลยจัดการ รีดน้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างจริงจังเร่งด่วน ภายในเดือนเดียว ก่อนเดินทาง

ปัจจัยหลัก ในการลด ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่

ควบคุมปริมาณอาหาร และ แคลลอรี่ที่รับทาน ในแต่ละวัน

เพิ่มการออกกำลังกายเผลาผลาญไขมันส่วนเกิน


สำหรับการควบคุมอาหาร ต้องเรียกว่า กินกันแบบ นับแคลลอรี่กินกันเลย

เช้ากาแฟดำถ้วยเดียว

กลางวัน ผลไม้แก้วมังกร หนึ่งจานใหญ่ๆ

เย็น สี่โมง ทานข้าวนิดเดียวประมาณ ครึ่งจาน หรือถ้วยเล็กๆ กับผัดผัก และเนื้อ บ้าง รวมแคลลอรี่ไม่น่าเกิน 500

แล้ว พอถึงเวลา 1 ทุ่ม เสร็จงาน ก็ออกวิ่ง ออกกำลังกาย

สำหรับการออกกำลังกาย ผมใช้ การวิ่งวันล่ะ 10-14 กม. อาทิตย์ล่ะห้าวัน ด้วย Pace ไม่เร็วนักประมาณ 6 นาที ต่อ 1 กม. ใช้เวลาราวๆ 1 -1.5 ชม.  

หลังวิ่งเสร็จ ต่อด้วยการเล่น Weight เพิ่มกล้ามเนื้อแขน และท้อง  3Set ราวๆ ครึ่งชม.

ผลของการลดอย่างเข้มข้น น้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็ว 11 กก.ภายใน ราวๆ 20 วัน มาเหลือ ประมาณ 66 กก.

ถามว่าลดเร็วๆอย่างนี้ไม่หิวไม่เพลียเหรอ
คำตอบคือ หิว ครับ แต่ทน เพลียมั้ย เพลียบ้าง แต่ทน
หงุดหงิดมั้ย หงุดหงิดบ้าง แต่ทน เพื่อเป้าหมาย

เรียกว่าต้องใจแข็ง
แล้วอดมากๆ เวลาออกกำลัง ไหวเหรอ

คำตอบคือถ้าวิ่งเร็วๆ และ ต่อเนื่อง ร่างกายเผลาผลาญน้ำตาลในเลือดจนหมด ดึงไขมัน สะสมออกมาใช้ไม่ทัน อาจจะมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ วูบหน้ามืดได้ ดังนั้น ระหว่างวิ่ง เพื่อ Burn ไขมันและ ออกกำลังกาย จะวิ่งไม่เร็วนัก และจะทานน้ำผสมเกลือแร่ ที่มีน้ำตาลผสมบ้างเล็กน้อย ให้ร่างกายได้รับพลังงานเสริมไปบ้างเล็กน้อย เข้าสู่กระแสเลือด เพื่อป้องกัน Hypoglycemia (น้ำตาลในเลือดต่ำ)  ระหว่างวิ่ง

หลังจากลดอย่างรวดเร็วระยะแรก 20 วัน แรก ที่ลดลงมา 11 กก. จนได้น้ำหนักตัวที่รับได้แล้ว  10 วันก่อนเดินทางไปปีนเขา ก็เริ่มทานอาหารเพิ่มโดยเน้นโปรตีน และ ยังคงออกกำลังกาย ต่อเนื่อง ทาน เวย์โปรตีน เช้า และเย็นเสริม กับการเล่น เวท น้ำหนักตัว ระยะนี้ค่อนข้างคงที่ จนถึงขึ้นยอด ซึ่ง ผลจากการรีดน้ำหนักตัว และออกกำลังกาย สม่ำเสมอ ทำให้คล่องตัว ผ่านยอด Elbrus มาได้ อีก 1 ยอด ใน 7 summit



แวะอ่านรีวิว และชมรูป ได้ที่กระทู้นี้ ครับ
http://ppantip.com/topic/32496305

หลังจากลดน้ำหนักเหลือ 66 กางเกงเองลดไป 2-3 นิ้วต้องเปลี่ยนไซซ์กางเกงทำงานกันใหม่ เลย

ตัวเหลือแค่ที่เห็นนี่แหละ


ล่าสุดนี่กลับมา ถึงเมืองไทยสองอาทิตย์ ช่วงอาทิตย์แรก หยุดออกกำลังกายพักฟื้นร่างกาย ตอนนี้ เริ่มออกกำล้งกายคุมอาหารพอประมาณ น้ำหนักตัว ลงมาอยู่ที่ 65 คิดว่า คงจะ คงระดับนี้ไว้ หรือถ้าจะลดลงอีกหน่อย ก็คงแค่ 2-3 โล คงพอแล้ว ลดมากกว่านี้ จะมากเกินไป

ใครจะลดน้ำหนัก ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

สู้ๆ ครับ ไม่มีสูตรสำเร็จ ที่ได้มาง่ายๆ แต่คุณทำได้ ถ้าใจแข็งพอ