ท้าวความกันก่อน ..
-- เผื่อใครไม่รู้จักเจ้า “โอโม่” …
-- โอโม่ เป็น HONDA CR-V G3 2.0S (2WD) ปี 2011 (รุ่นหนีน้ำท่วม) รถคันนี้ถูกเปลี่ยนผ้าเบรคทั้งชุด เป็น EBC Yellow Stuff สูตรสำหรับ SUV พร้อมน้ำมันเบรค ATE Super Blue Racing ตั้งแต่ออกมาได้ไม่ถึงเดือน กับ เลขไมล์แค่ 500 กม.ครับ
-- เหตุผลที่เปลี่ยน ในตอนนั้น ก็เพราะที่บ้านมีรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน อีกคัน ซึ่งผมเป็นคนไปออกมาเอง แล้วก็ถูกสั่งให้รันอินรถคันนั้นเป็นระยะเวลา 1 เดือนครับ ซึ่งก็รู้นิสัยใจคอมันพอสมควรครับ โดยเฉพาะเรื่องระบบเบรค ที่ HONDA ในยุคนั้นไม่เคยให้ความมั่นใจผมได้เลย (Jazz GE, Civic FD, CR-V G3)
-- ส่วน EBC Yellow Stuff นั้น กับราคาหมื่นต้นๆในตอนนั้น ต้องบอกว่า พอใจในระดับสูงนะครับ เพราะมันให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ผ้าเบรคเดิมติดรถแบบเทียบไม่ได้เลย จับนุ่มๆ แป้นลึกกว่าเดิมนิด แต่พอเริ่มจับแล้ว แรงดูดมหาศาล ชนิดที่ว่ามาเร็วยังไง ขอแค่กดเบรคให้ทัน “ยังไงก็เอาอยู่ครับ”
EBC ชุดนี้ ผมใช้งานมา 50,000 กม. ครับ มาเริ่มลื่นๆ ตอนแตะ 40,000 กว่ากม. แต่ต้องบอกก่อนว่า ตั้งแต่เปลี่ยนผ้าเบรคมา ผมไม่เคยแตะต้องอะไรกับมันเลย แม้แต่ครั้งเดียวนะครับ (เข้าศูนย์ก็สั่งห้ามถอดล้อ) และมาออกอาการชัด ตอนทริปวันเข้าพรรษา ที่ผมไปเที่ยวภูทับเบิก พอขาลงมา ที่ผมว่า ผมย่องลงแล้ว ดันเจออาการเบรคหยุ่น คือ ไม่ได้ไหม้นะ แต่มันหยุ่นเท้าผิดปกติ ต้องออกแรงกดเยอะขึ้น ซึ่งตามประสบการณ์ก็คือ ผ้าเบรคมันร้อน (แต่ก็ไม่ได้จอดนะ ก็แค่เชนจ์เกียร์มากขึ้น จากเดิมลงแค่ 2 ก็ขยันสับลง 1 บ่อยหน่อย ใช้เบรคให้น้อยลงไปอีกครับ)
-- แต่มันก็ทำให้คิดต่อว่า เอ … ก่อนหน้านั้น ลงอินทนนท์ (จากจุดสูงสุด มา พระธาตุ) ชันกว่าตั้งเยอะ แถมนั่ง 4 คน + สัมภาระ ไม่เห็นมันเป็นไรนี่หว่า แปลว่า รอบนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง ... พอกลับกทม. ก็เลยแวะไปหาพี่เสวสักหน่อย แล้วก็เจอว่า ผ้าเบรคหลังเหลือแค่ 2 ม.ม. ในขณะที่ล้อหน้า ยังเหลือราวๆ 40% ครับ ... เห็นแล้วก็ขนลุกขึ้นมาในบัดดล ก็เลยเปลี่ยนผ้าเบรค Si-tech ที่ล้อหลังไปก่อนครับ พร้อมกับเปลี่ยนน้ำมันเบรคใหม่ (ของเดิมจะครบ 3 ปีละ) เป็น ATE SL.6 (ร้านไม่มี Super Blue ขาย)
ระหว่างนั้น ก็หาตัวเลือกครับ
1. สั่งผ้าเบรค EBC Yellow Stuff เฉพาะล้อหลังมา … แต่ติดต่อคนขายแล้ว เค้าบอกว่า ตอนนั้นรถผมเค้าสั่งจาก usa แต่ปัจจุบันสั่งจาก uk อย่างเดียว ซึ่งทาง uk มีแค่สีเขียว ซึ่งเป็นเกรดรองลงมาครับ 3 พันกว่าบาท
เอาไงดีล่ะ ? … เพราะถ้าเทียบตอนใช้ Civic FD ที่ใส่หน้าเหลือง หลังเขียว กับ CR-V ที่ใส่เหลืองทั้งชุด เบรคของ CR-V มั่นใจกว่าเยอะมากนะครับ ถ้าสั่งเขียวไป แล้วรถออกอาการแบบ FD อืมมม ได้เสียเงินเปลี่ยนทิ้งแน่ๆ
2. สั่งเองครับ หา web ได้ละ เพราะผมมีเบอร์ผ้าเบรคอยู่ สั่งจาก usa เอง จริงๆผ้าเบรคราคาไม่กี่พันเลย แต่เจอค่าขนส่ง + ค่าภาษี ก็ 5 พันกว่าบาทครับ !!!
3. ตอนนั้นกะจะสั่งเองแล้ว … แต่พอดีไปเห็นโฆษณาของ Dixcel ใน webboard แห่งหนึ่งเข้า ก็เลยค้นข้อมูลต่อ มีแต่คนชมแฮะ แต่ดูราคาใน web ญี่ปุ่นแล้ว โหดร้ายจัง
-- ว่าแล้วก็ Line หาบริษัทที่ขายดีกว่า … ถามไปยาวเหยียด แต่พี่เค้าก็เต็มใจตอบ อธิบายซะละเอียดยิบเลย บอกตรงๆว่า อันนี้ก็เหตุผลหนึ่งที่สั่งซื้อ แล้วก็เรียบร้อยจัดไป ….
1. ผ้าเบรคหน้า Dixcel Type X 0 - 700 C
2. ผ้าเบรคหลัง Dixcel Type X 0 - 700 C
2 ชุดแรก ราคา 16,900 บาท
3. จานเบรคหน้า Type SD (เซาะร่องระบายความร้อน) ราคา 12,500 บาท
ทำไมต้องเปลี่ยนจานเบรค ?
-- จานเดิมเป็นรอยหนักมากครับ แต่ไม่คด ไม่สะท้านมือตอนเบรคนะ ซึ่งตอนเช็คเบรค พี่เสวก็แจ้งว่า ไม่น่าจะเกิด EBC หมด ก็คงเรียบร้อย หมดไซส์แหละ (ผมไม่ซีเรียส เรื่องจานเป็นรอย หรือ เรื่องผ้าเบรคกินจาน นะครับ ขอแค่ให้มันเบรคดี เบรคอยู่ ขอแค่นั้นล่ะครับ)
-- ทีแรก กะว่า จะเบิกจานเบรคศูนย์ทั้งชุดมาเปลี่ยนครับ แต่หาข้อมูลมา ก็ได้มาว่า จานเบรค Dixcel มันต่างตรง friction มีผลต่อประสิทธิภาพการเบรคด้วย … เอาวะ ลองจานหน้าก่อนละกัน จานหลังใช้ของเดิมไปก่อน ถ้ามันดีค่อยเปลี่ยนจานหลังตาม
ทำไมถึงเลือกผ้าเบรค Dixcel Type X ?
-- จำได้ว่า ใน website ของ Dixcel เอง มีเกรดแค่ตัวต่ำสุด, Type X แล้วก็ Type Z ครับ … ตัวต่ำสุด ผมมองผ่านอยู่แล้วล่ะ เพราะมันเหมือนเป็นเกรด OEM Replacement ซะมากกว่า ซึ่งคงรองรับเท้าผมไม่ไหวแน่ๆ
-- ทีแรก จะเอา Type Z ซึ่งเป็นเกรด Racing แต่พี่เค้าก็บอกว่า ไม่จำเป็นหรอก เอาแค่ Type X ก็พอละ … อ่ะ ลองดูครับ
จัดการโอนเงินมัดจำไป 2,000 บาท เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็พอดีรอบสั่งของเค้าพอดี เลยโชคดีว่า ได้ของภายใน 1 สัปดาห์ครับ แต่ก็นั่นแหละ เงินยังไม่ออก บ่จี้ ครับ ก็ต้องช่วงปลายเดือนอยู่ดีแหละ
โม้ซะเยอะ มาดูฟิลลิ่งกันดีกว่า
-- เปลี่ยนเสร็จ (ใช้น้ำมันเบรคเดิม เพราะเพิ่งเปลี่ยนมา) ทางร้านก็เอาไปขับวนซะรอบนึง จากนั้นก็ส่งรถให้ผม พร้อมแจ้งว่า ในช่วง 500 กม.แรก ให้ระวังเรื่องการเบรคกระทันหัน เบรคอย่างรุนแรง ด้วย
-- ขับออกมา รถยังออกอาการลื่นๆอยู่ครับ ซึ่งก็เป็นปกติของผ้าเบรคใหม่ จานใหม่ล่ะครับ ... ช่วงพระราม 2 ก็พยามใช้เบรคบ่อย แต่ไม่แรง ครับ จากนั้นพอขึ้นทางด่วนได้ ก็เริ่มลงน้ำหนักเท้ามั่ง ...
แป้นเบรค ... ตื้นขึ้นครับ สมมติว่า ถ้าติดพื้นคือ 100%
เจ้า EBC Yellow Stuff เกรดรถซิ่ง ติด Civic FD จะต้องกดราวๆ 50 % เบรคจึงจะเริ่มจับ
เจ้า EBC Yellow Stuff เกรด SUV ติด CR-V จะกดราวๆ 30% (เท่าๆกับผ้าเบรคศูนย์)
เจ้า Dixcel จะกดราวๆ 20% ครับ เอาว่า แป้นตื้นกว่าเบรคโรงงานด้วยซ้ำ ฟิลลิ่งแข็งกว่า EBC อยู่สักหน่อย
-- แต่แป้นตื้นไม่ได้หมายความว่า มันจะจับไว แบบเบรค Toyota Vios 2011 นะ มันจับอย่างนุ่มนวล อาการหัวทิ่ม แทบไม่มีให้เห็นครับ ที่ประทับใจมากๆก็คือ ที่ความเร็ว 100 กม./ช.ม. แค่วางน้ำหนักเท้าลงไป แรงดูดมันเพิ่มขึ้นเองครับ รู้เลยว่า ผ้าเบรคมันทำงานทั้ประสานทั้ง 4 ล้อ กดความเร็วลงมาเหลือ 40 ในชั่วพริบตาครับ ลงมาแบบเนียน ไม่ออกอาการใดๆทั้งสิ้นครับ
แล้วต่างจาก EBC ยังไง ?
-- แป้น EBC นุ่มเท้ากว่า กดลึกกว่า จับช้ากว่าครับ แต่ถ้าน้ำหนักเท้าแรงถึงระดับหนึ่ง แรงดูดจะเพิ่มทวีคูณครับ หยุดได้แบบงงๆว่า มันหยุดได้ไงฟะ (นึกว่า ชน)
-- แป้น Dixcel ตื้นกว่า แข็งกว่า แต่จับตัวไวกว่า ไม่ต้องออกแรงเยอะก็จับ อาการดูด ณ ตอนนี้ ที่ยังไม่พ้นรันอิน ถือว่า ดูดไม่แพ้กัน ออกจะมากกว่าด้วยซ้ำครับ (ถ้าเทียบแรงกดเท่าๆกัน)
-- จาน Dixcel ก็สมราคาคุยเค้า เงียบกริบ ไม่มีเสียงฟืดฟาด ยามเบรคที่ความเร็วสูงครับ (ตอน EBC USR ใน FD ยังมีเสียง ที่ความเร็วสูง)
-- เรื่องเสียง Dixcel เงียบกริบครับ ไม่มีสักแอะ ไม่ว่า จะเลีย จะขับช้า ขับเร็ว ลองเปิดกระจกเงี่ยหูฟังละ เงียบเชียบดีมากๆครับ (EBC จะส่งเสียงจี๊ดดดด แหลมๆ เวลาเลียครับ ถ้าเปิดกระจกจะได้ยิน แต่ถ้าปิดกระจกก็ไม่รู้เรื่องแหละ)
สรุป
-- ก็พอใจนะครับ ขนาดยังไม่พ้นรันอิน ยังได้ขนาดนี้ … ถ้าพ้นแล้ว คงแจ่มน่าดู สงสัยปลายปี ต้องหาทริปทางเขา ไปลองเบรคอีกแล้วววว
-- มีคนชอบถามผมบ่อยๆว่า “เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ขับเร็ว ทำไมต้องใช้ผ้าเบรคราคาระดับนี้?” … คำตอบของผมก็คือ มันไม่เกี่ยวกับการขับเร็ว หรือ ไม่เร็ว หรอก แต่มันเกี่ยวกับนิสัยการขับของผม บางทีแม้จะขับช้า ก็ขับไม่ค่อยระวัง รวมถึงชอบเที่ยวทางเขา ก็เลยอยากได้อะไรที่มันมั่นใจสักหน่อย ยิ่งคนที่เคยขับรถที่ใส่ผ้าเบรค High Performance มาก่อน น้อยคนนักที่จะกลับมาใช้ผ้าเบรคเดิมติดรถล่ะครับ
-- สุดท้าย ผมชอบคิดปลอบใจตัวเองไว้ว่า … ผ้าเบรค + จาน ทั้งชุดราคา 3 หมื่นบาท ถ้ามันช่วยให้ผมรอดจากอุบัติเหตุได้แค่ครั้งเดียว ผมว่า มันก็เกินคุ้มราคาค่าตัวมันแล้วล่ะ จริงไหมครับ ?
[CR] * * * อัพเกรดเบรค เสริมความมั่นใจ อีกรอบ กับ ชุดเบรค Dixcel * * *
-- เผื่อใครไม่รู้จักเจ้า “โอโม่” …
-- โอโม่ เป็น HONDA CR-V G3 2.0S (2WD) ปี 2011 (รุ่นหนีน้ำท่วม) รถคันนี้ถูกเปลี่ยนผ้าเบรคทั้งชุด เป็น EBC Yellow Stuff สูตรสำหรับ SUV พร้อมน้ำมันเบรค ATE Super Blue Racing ตั้งแต่ออกมาได้ไม่ถึงเดือน กับ เลขไมล์แค่ 500 กม.ครับ
-- เหตุผลที่เปลี่ยน ในตอนนั้น ก็เพราะที่บ้านมีรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน อีกคัน ซึ่งผมเป็นคนไปออกมาเอง แล้วก็ถูกสั่งให้รันอินรถคันนั้นเป็นระยะเวลา 1 เดือนครับ ซึ่งก็รู้นิสัยใจคอมันพอสมควรครับ โดยเฉพาะเรื่องระบบเบรค ที่ HONDA ในยุคนั้นไม่เคยให้ความมั่นใจผมได้เลย (Jazz GE, Civic FD, CR-V G3)
-- ส่วน EBC Yellow Stuff นั้น กับราคาหมื่นต้นๆในตอนนั้น ต้องบอกว่า พอใจในระดับสูงนะครับ เพราะมันให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ผ้าเบรคเดิมติดรถแบบเทียบไม่ได้เลย จับนุ่มๆ แป้นลึกกว่าเดิมนิด แต่พอเริ่มจับแล้ว แรงดูดมหาศาล ชนิดที่ว่ามาเร็วยังไง ขอแค่กดเบรคให้ทัน “ยังไงก็เอาอยู่ครับ”
EBC ชุดนี้ ผมใช้งานมา 50,000 กม. ครับ มาเริ่มลื่นๆ ตอนแตะ 40,000 กว่ากม. แต่ต้องบอกก่อนว่า ตั้งแต่เปลี่ยนผ้าเบรคมา ผมไม่เคยแตะต้องอะไรกับมันเลย แม้แต่ครั้งเดียวนะครับ (เข้าศูนย์ก็สั่งห้ามถอดล้อ) และมาออกอาการชัด ตอนทริปวันเข้าพรรษา ที่ผมไปเที่ยวภูทับเบิก พอขาลงมา ที่ผมว่า ผมย่องลงแล้ว ดันเจออาการเบรคหยุ่น คือ ไม่ได้ไหม้นะ แต่มันหยุ่นเท้าผิดปกติ ต้องออกแรงกดเยอะขึ้น ซึ่งตามประสบการณ์ก็คือ ผ้าเบรคมันร้อน (แต่ก็ไม่ได้จอดนะ ก็แค่เชนจ์เกียร์มากขึ้น จากเดิมลงแค่ 2 ก็ขยันสับลง 1 บ่อยหน่อย ใช้เบรคให้น้อยลงไปอีกครับ)
-- แต่มันก็ทำให้คิดต่อว่า เอ … ก่อนหน้านั้น ลงอินทนนท์ (จากจุดสูงสุด มา พระธาตุ) ชันกว่าตั้งเยอะ แถมนั่ง 4 คน + สัมภาระ ไม่เห็นมันเป็นไรนี่หว่า แปลว่า รอบนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง ... พอกลับกทม. ก็เลยแวะไปหาพี่เสวสักหน่อย แล้วก็เจอว่า ผ้าเบรคหลังเหลือแค่ 2 ม.ม. ในขณะที่ล้อหน้า ยังเหลือราวๆ 40% ครับ ... เห็นแล้วก็ขนลุกขึ้นมาในบัดดล ก็เลยเปลี่ยนผ้าเบรค Si-tech ที่ล้อหลังไปก่อนครับ พร้อมกับเปลี่ยนน้ำมันเบรคใหม่ (ของเดิมจะครบ 3 ปีละ) เป็น ATE SL.6 (ร้านไม่มี Super Blue ขาย)
ระหว่างนั้น ก็หาตัวเลือกครับ
1. สั่งผ้าเบรค EBC Yellow Stuff เฉพาะล้อหลังมา … แต่ติดต่อคนขายแล้ว เค้าบอกว่า ตอนนั้นรถผมเค้าสั่งจาก usa แต่ปัจจุบันสั่งจาก uk อย่างเดียว ซึ่งทาง uk มีแค่สีเขียว ซึ่งเป็นเกรดรองลงมาครับ 3 พันกว่าบาท
เอาไงดีล่ะ ? … เพราะถ้าเทียบตอนใช้ Civic FD ที่ใส่หน้าเหลือง หลังเขียว กับ CR-V ที่ใส่เหลืองทั้งชุด เบรคของ CR-V มั่นใจกว่าเยอะมากนะครับ ถ้าสั่งเขียวไป แล้วรถออกอาการแบบ FD อืมมม ได้เสียเงินเปลี่ยนทิ้งแน่ๆ
2. สั่งเองครับ หา web ได้ละ เพราะผมมีเบอร์ผ้าเบรคอยู่ สั่งจาก usa เอง จริงๆผ้าเบรคราคาไม่กี่พันเลย แต่เจอค่าขนส่ง + ค่าภาษี ก็ 5 พันกว่าบาทครับ !!!
3. ตอนนั้นกะจะสั่งเองแล้ว … แต่พอดีไปเห็นโฆษณาของ Dixcel ใน webboard แห่งหนึ่งเข้า ก็เลยค้นข้อมูลต่อ มีแต่คนชมแฮะ แต่ดูราคาใน web ญี่ปุ่นแล้ว โหดร้ายจัง
-- ว่าแล้วก็ Line หาบริษัทที่ขายดีกว่า … ถามไปยาวเหยียด แต่พี่เค้าก็เต็มใจตอบ อธิบายซะละเอียดยิบเลย บอกตรงๆว่า อันนี้ก็เหตุผลหนึ่งที่สั่งซื้อ แล้วก็เรียบร้อยจัดไป ….
1. ผ้าเบรคหน้า Dixcel Type X 0 - 700 C
2. ผ้าเบรคหลัง Dixcel Type X 0 - 700 C
2 ชุดแรก ราคา 16,900 บาท
3. จานเบรคหน้า Type SD (เซาะร่องระบายความร้อน) ราคา 12,500 บาท
ทำไมต้องเปลี่ยนจานเบรค ?
-- จานเดิมเป็นรอยหนักมากครับ แต่ไม่คด ไม่สะท้านมือตอนเบรคนะ ซึ่งตอนเช็คเบรค พี่เสวก็แจ้งว่า ไม่น่าจะเกิด EBC หมด ก็คงเรียบร้อย หมดไซส์แหละ (ผมไม่ซีเรียส เรื่องจานเป็นรอย หรือ เรื่องผ้าเบรคกินจาน นะครับ ขอแค่ให้มันเบรคดี เบรคอยู่ ขอแค่นั้นล่ะครับ)
-- ทีแรก กะว่า จะเบิกจานเบรคศูนย์ทั้งชุดมาเปลี่ยนครับ แต่หาข้อมูลมา ก็ได้มาว่า จานเบรค Dixcel มันต่างตรง friction มีผลต่อประสิทธิภาพการเบรคด้วย … เอาวะ ลองจานหน้าก่อนละกัน จานหลังใช้ของเดิมไปก่อน ถ้ามันดีค่อยเปลี่ยนจานหลังตาม
ทำไมถึงเลือกผ้าเบรค Dixcel Type X ?
-- จำได้ว่า ใน website ของ Dixcel เอง มีเกรดแค่ตัวต่ำสุด, Type X แล้วก็ Type Z ครับ … ตัวต่ำสุด ผมมองผ่านอยู่แล้วล่ะ เพราะมันเหมือนเป็นเกรด OEM Replacement ซะมากกว่า ซึ่งคงรองรับเท้าผมไม่ไหวแน่ๆ
-- ทีแรก จะเอา Type Z ซึ่งเป็นเกรด Racing แต่พี่เค้าก็บอกว่า ไม่จำเป็นหรอก เอาแค่ Type X ก็พอละ … อ่ะ ลองดูครับ
จัดการโอนเงินมัดจำไป 2,000 บาท เมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งก็พอดีรอบสั่งของเค้าพอดี เลยโชคดีว่า ได้ของภายใน 1 สัปดาห์ครับ แต่ก็นั่นแหละ เงินยังไม่ออก บ่จี้ ครับ ก็ต้องช่วงปลายเดือนอยู่ดีแหละ
โม้ซะเยอะ มาดูฟิลลิ่งกันดีกว่า
-- เปลี่ยนเสร็จ (ใช้น้ำมันเบรคเดิม เพราะเพิ่งเปลี่ยนมา) ทางร้านก็เอาไปขับวนซะรอบนึง จากนั้นก็ส่งรถให้ผม พร้อมแจ้งว่า ในช่วง 500 กม.แรก ให้ระวังเรื่องการเบรคกระทันหัน เบรคอย่างรุนแรง ด้วย
-- ขับออกมา รถยังออกอาการลื่นๆอยู่ครับ ซึ่งก็เป็นปกติของผ้าเบรคใหม่ จานใหม่ล่ะครับ ... ช่วงพระราม 2 ก็พยามใช้เบรคบ่อย แต่ไม่แรง ครับ จากนั้นพอขึ้นทางด่วนได้ ก็เริ่มลงน้ำหนักเท้ามั่ง ...
แป้นเบรค ... ตื้นขึ้นครับ สมมติว่า ถ้าติดพื้นคือ 100%
เจ้า EBC Yellow Stuff เกรดรถซิ่ง ติด Civic FD จะต้องกดราวๆ 50 % เบรคจึงจะเริ่มจับ
เจ้า EBC Yellow Stuff เกรด SUV ติด CR-V จะกดราวๆ 30% (เท่าๆกับผ้าเบรคศูนย์)
เจ้า Dixcel จะกดราวๆ 20% ครับ เอาว่า แป้นตื้นกว่าเบรคโรงงานด้วยซ้ำ ฟิลลิ่งแข็งกว่า EBC อยู่สักหน่อย
-- แต่แป้นตื้นไม่ได้หมายความว่า มันจะจับไว แบบเบรค Toyota Vios 2011 นะ มันจับอย่างนุ่มนวล อาการหัวทิ่ม แทบไม่มีให้เห็นครับ ที่ประทับใจมากๆก็คือ ที่ความเร็ว 100 กม./ช.ม. แค่วางน้ำหนักเท้าลงไป แรงดูดมันเพิ่มขึ้นเองครับ รู้เลยว่า ผ้าเบรคมันทำงานทั้ประสานทั้ง 4 ล้อ กดความเร็วลงมาเหลือ 40 ในชั่วพริบตาครับ ลงมาแบบเนียน ไม่ออกอาการใดๆทั้งสิ้นครับ
แล้วต่างจาก EBC ยังไง ?
-- แป้น EBC นุ่มเท้ากว่า กดลึกกว่า จับช้ากว่าครับ แต่ถ้าน้ำหนักเท้าแรงถึงระดับหนึ่ง แรงดูดจะเพิ่มทวีคูณครับ หยุดได้แบบงงๆว่า มันหยุดได้ไงฟะ (นึกว่า ชน)
-- แป้น Dixcel ตื้นกว่า แข็งกว่า แต่จับตัวไวกว่า ไม่ต้องออกแรงเยอะก็จับ อาการดูด ณ ตอนนี้ ที่ยังไม่พ้นรันอิน ถือว่า ดูดไม่แพ้กัน ออกจะมากกว่าด้วยซ้ำครับ (ถ้าเทียบแรงกดเท่าๆกัน)
-- จาน Dixcel ก็สมราคาคุยเค้า เงียบกริบ ไม่มีเสียงฟืดฟาด ยามเบรคที่ความเร็วสูงครับ (ตอน EBC USR ใน FD ยังมีเสียง ที่ความเร็วสูง)
-- เรื่องเสียง Dixcel เงียบกริบครับ ไม่มีสักแอะ ไม่ว่า จะเลีย จะขับช้า ขับเร็ว ลองเปิดกระจกเงี่ยหูฟังละ เงียบเชียบดีมากๆครับ (EBC จะส่งเสียงจี๊ดดดด แหลมๆ เวลาเลียครับ ถ้าเปิดกระจกจะได้ยิน แต่ถ้าปิดกระจกก็ไม่รู้เรื่องแหละ)
สรุป
-- ก็พอใจนะครับ ขนาดยังไม่พ้นรันอิน ยังได้ขนาดนี้ … ถ้าพ้นแล้ว คงแจ่มน่าดู สงสัยปลายปี ต้องหาทริปทางเขา ไปลองเบรคอีกแล้วววว
-- มีคนชอบถามผมบ่อยๆว่า “เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ขับเร็ว ทำไมต้องใช้ผ้าเบรคราคาระดับนี้?” … คำตอบของผมก็คือ มันไม่เกี่ยวกับการขับเร็ว หรือ ไม่เร็ว หรอก แต่มันเกี่ยวกับนิสัยการขับของผม บางทีแม้จะขับช้า ก็ขับไม่ค่อยระวัง รวมถึงชอบเที่ยวทางเขา ก็เลยอยากได้อะไรที่มันมั่นใจสักหน่อย ยิ่งคนที่เคยขับรถที่ใส่ผ้าเบรค High Performance มาก่อน น้อยคนนักที่จะกลับมาใช้ผ้าเบรคเดิมติดรถล่ะครับ
-- สุดท้าย ผมชอบคิดปลอบใจตัวเองไว้ว่า … ผ้าเบรค + จาน ทั้งชุดราคา 3 หมื่นบาท ถ้ามันช่วยให้ผมรอดจากอุบัติเหตุได้แค่ครั้งเดียว ผมว่า มันก็เกินคุ้มราคาค่าตัวมันแล้วล่ะ จริงไหมครับ ?