มีเรื่องมาเล่าค่า เมื่อเดือนก่อน ได้รับเชิญจากจาก บ. Minor ให้พาเดอะแก๊งลูกวัว ไปสแกนลายนิ้วมือค่ะ
(เจ้าของเดียวกับ เดอะพิซซ่า คอมปานี และนำเข้าแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องสำอาง จาก ตปท. ที่เราคุ้นหูกันอย่าง bossini /Gap/Red Earth และอื่นๆ อีกมากมาย) โดย บ. Minor เป็นหนึ่งในผู้นำเข้าเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือ โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศฮ่องกง
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดจะไปสแกนนะ เพราะเลี้ยงลูกเอง และเห็นว่า ไม่จำเป็นก็ได้มั้ง พอได้รับเชิญไปทำ ลองหาข้อมูลก่อนไป ก็พบว่า มีค่อนข้างน้อยค่ะ วันนี้ เลยถือโอกาส เอาข้อมูลและแนวคิดมาแบ่งปันให้อ่านกัน
จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ข้อมูลความรู้ใหม่ว่า การสแกนลายนิ้วมือนี้ ถูกนำไปใช้ทั้งในเชิงพัฒนาเด็ก ใช้ในด้านการศึกษา และ ในองค์กร เพื่อที่จะรับพนักงานจัดหาตำแหน่งหน้าที่การงานที่เหมาะสม เพื่อจะรับเด็กเข้าเรียน ในประเทศไทย มีหลาย บ.ที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้ (เกือบ 10 บริษัท) โดยแหล่งที่มาของข้อมูล Data base เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ผลเทคโนโลยีเครื่องสแกนล้วนแตกต่างกัน
แก๊งลูกวัวเลยชวนกันไปลองสแกนดู เพราะ เจ้าเด็ก 3 คนนี้ โตมาพร้อมๆ กันตั้งแต่เด็ก และนิสัยแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ซึ่งเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าใครเป็นยังไง 55555 ผลจะออกมา ตรงไหมอย่างไร อยากรู้
เผลอแป๊บเดียว เด็กๆ โตกันหมดแร้ว 7 ขวบแล้วค่ะ
คนนึงเรียนนานาชาติ คนนึงเรียน รร.ทางเลือก คนนึงเรียนสาธิต
ช่วยกันทำการบ้าน -__-''
สำหรับดีเทลของแต่ละบริษัท ที่รับทำสแกนจะแตกต่างกันในรายละเอียด เช่น
สถานที่ที่รับทำของไมเนอร์ มีออกบูธ ไปต่างจังหวัด และ ทำที่ออฟฟิส ของบางเจ้าอาจจะต้องไปทำที่บริษัทอย่างเดียวเท่านั้น
การจัดส่งผลสแกน ส่วนมากจะให้รับด้วยตนเอง บางที่(เช่นไมเนอร์) รับเองได้ จัดส่งได้ ฟังผลทางโทรศัพท์ได้
บริการให้คำปรึกษาต่อเนื่อง บางที 1 ครั้ง บางที 1 ปี
ยังมีเรื่องของ การใช้ผู้เชี่ยวชาญหรือ นักจิตวิทยาเฉพาะ ในการอ่านค่า (ผู้เชี่ยวชาญอาจจะไม่ใช่นักจิตวิทยา)
รีพอร์ท ส่วนมากจะเลือกได้ 2 ภาษา ไทย อังกฤษ บางที่ มีจีนด้วย(เช่นของ NST)
ส่วนค่าใช้จ่าย ก็ไม่หนีกันมากนัก อยู่ในระดับราคา 7500 +/- 1000 บาท พร้อมกับโปรโมชั่นที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา หรือคนที่ติดต่อ
ถามว่า จริงหรือไม่จริง บางคนบอกไม่จำเป็น บางคนบอก หลอกเอาตังค์ ยังไม่มีการศึกษาใดๆ ยืนยันเรื่องของลายนิ้วมือ และสมอง เอริ่มมม..อันนี้ ก็ สุดแท้แต่ละไปหาข้อมูลมาประกอบความเชื่อ และไม่เชื่อของแต่ละคนนะคะ ข้อมูลมันเยอะมากไม่มีเวลาอ่านสรุปมาให้อ๊ะ เทคโนโลยีมันมีมานานสักพักใหญ่ๆ แล้ว เดี๋ยวจะเล่าต่อไปในแง่ของประสบการณ์การพาลูกสแกนและอ่านผล แต่ขอไม่ลงรายละเอียดพวกข้อมูลวิทยาศาสตร์ต่างๆๆ นะคะ ถ้าสนใจจะอ่าน ลองเซริชดูจ้า มีเป็นภาษาต่างประเทศอยู่เยอะพอควร
การดูลายนิ้วมือ เป็นการเก็บข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ความสัมพันธ์เชิงสถิติ ที่มนุษย์พยายามเก็บพยายามแปลความหมาย
เหมือนกับการอ่านการเคลื่อนที่ของดวงดาว
เหมือนกับการอ่านลายมือ
เหมือนกับหมอดู
บางคนบอกว่าจำเป็น บางคนบอกว่าไม่จำเป็น สุดแท้แต่ว่า จะใช้คำพยากรณ์ ให้เป็นประโยชน์กับเราในการดำเนินชีวิตมากน้อยแค่ไหน
ใช้เพื่อประกอบสติ ให้มองเห็น คนที่ลูกเราเป็นตรงหน้า อนุญาตให้ลูกเราเป็น เป็นในแบบที่เขาเป็น
เราจะเอาตา เอาใจไปมอง ในแบบที่เขาเป็นหรือเปล่า (ซึ่งส่วนมาก ลูกก็จะเป็นคล้ายๆ เราน่ะแหละเพราะเราเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิดที่สุดของลูกชะมะ) บางทีก็เส้นผมบังภูเขา ต้องมีคนมาช่วยบอก ช่วยชี้แนะ เช่น หมอดู หรือนักจิตวิทยา
ทักษะของพ่อแม่ที่สำคัญ คือการมองลูกตามความเป็นจริง การใช้ภาษาและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดประสบการณ์ ที่ทำให้ลูกรู้ศักยภาพของตัวอง หรือก้าวข้ามขีดจำกัดบางอย่างนอกเหนือจากการใช้ คำสั่ง บังคับ ควบคุม ต้องการจะเปลี่ยนแปลง (ให้เขาเป็นในคนที่แม้แต่เรา ก็ไม่ได้เป็น) พ่อแม่มี "หน้าที่" จัดหาประสบกาณ์ให้ลูก แต่ เจ้าของประสบการณ์ คือตัวเขาเอง เราช่วยให้ลูกเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ชี้แนะในฐานะที่อาจจะมีประสบการณ์มากกว่า แต่ คนที่บอกได้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร คือ ตัวเด็กเองนั่นเอง ทำอย่างไร เขาจึงจะมีความสุขในคนที่เขาเป็น ในทักษะความสามารถที่เขามี หรือเขาไม่ได้มี และจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร
Dermatoglyphics เกิดมาจากการตั้งสมมติฐานและพิสูจน์(แบบไหนก็ไม่รู้) ว่า มนุษย์ทุกคน มีบุคลิคภาพที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลย และในความแตกต่าง มีสิ่งนึงที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวบุคคลนั่นคือ ลายนิ้วมือ เขาจึงเริ่มทำการศึกษา วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ ระหว่าง ลายนิ้วมือ และ สมอง
1892 - นักมนุษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ตีพิมพ์หนังสือ Fingerprint เพื่อบอกให้ชาวโลกรู้ว่า แต่ละคนมีลายนิ้วมือเป็นของตัวเอง และ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
1926 - มีการค้นพบว่า ลายนิ้วมือจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่อายุ 13 สัปดาห์ในครรภ์ และจะสมบูรณ์ตอนอายุ 24 สัปดาห์
1950 - ศาสตราจารย์ชาวแคนนาดา เขียนบทความชื่อ The Cerebral Cortex of Men แสดงให้เห็นว่าลายนิ้วมือกับสมองนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกัน
1974 - มีการวิจัยพบว่าบุคลิกภาพทางจิตวิทยา กับ รูปแบบลายนิ้วมือ ก็มีส่วนสัมพันธ์กัน
1981 - ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่น พบว่า ลายนิ้วมือซ้าย สัมพันธ์ต่อสมองซีกขวา ส่วนลายนิ้วมือขวาสัมพันธ์ต่อสมองซีกซ้าย
1983 - แนวคิดพหุปัญญา 8 ด้าน ที่ดังกระฉ่อนโลกเกิด
1987-1993 - มีการตีพิมพ์วาระสารกว่า 300 ฉบับ เกี่ยวกับการ สแกนลายนิ้วมือ แล้วสะท้อนถึงบุคคลิกภาพ
(ที่มาข้อมูลจากเว็บไซท์ littlegym)
ซึ่ง ก็ไม่รู้ว่า ลายนิ้วมือ มันสัมพันธ์กันกับสมองส่วนโน้นนี่ได้ ยังไง ในเชิงสถิติ หรือ เส้นสายปลายประสาท เอาเป็นว่า ขอย้ำอีกทีว่าถ้าใครสนใจให้ไปหาอ่านกันในรายละเอียดเอง เพื่อตัดสินใจอีกทีนะคะ ขออนุญาตออกความเห็น จากการได้ไปลองสแกนมา และเอาผลสแกนมาเล่าให้ฟังแล้วกันค่า
ตำแหน่งของสมอง และการเชื่อมโยงกับระบบต่างๆ ในร่างกาย ทั้งความคิดเชิงบริหาร ตรรกะ จินตนาการ กล้ามเนื้อ ความจำ และอื่นๆ
หลักๆ คือ เขาเก็บลายนิ้วมือ ดูความถี่ ความลึก มิติของเส้น ถี่ ห่าง ระยะจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง แล้วคงมีการเก็บข้อมูลกลุ่มประชากรที่หลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่า ตัวเลขทางสถิติ มันก็ขึ้นอยู่กับ จำนวนประชากร กลุ่มตัวอย่าง มีค่าความเบี่ยงเบน และอื่นๆ ประกอบ ด้วย ดังนั้น ตัวเราเอง จึงจะเป็นผู้บอกได้ว่าตรง หรือไม่ อย่างไร
ขั้นตอนสแกนนิ้วมือ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ต่อคน เพื่อเก็บลายนิ้วมือ ส่งไปที่ประเทศฮ่องกง ใช้เวลาในการประมวลผลและส่งกลับมาประมาณ 10 วัน ก่อนจะตามให้ไปฟังผล โดยนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านผลสแกน
ของมิวมิว พิเศษหน่อย มาทำให้ที่ออฟฟิสค่ะ พร้อมกะพราว
[SR] แชร์ประสบการณ์ พาลูกไปสแกนลายนิ้วมือค้นหาศักยภาพมาค่ะ
(เจ้าของเดียวกับ เดอะพิซซ่า คอมปานี และนำเข้าแบรนด์เสื้อผ้า เครื่องสำอาง จาก ตปท. ที่เราคุ้นหูกันอย่าง bossini /Gap/Red Earth และอื่นๆ อีกมากมาย) โดย บ. Minor เป็นหนึ่งในผู้นำเข้าเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือ โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศฮ่องกง
ก่อนหน้านี้ ไม่เคยคิดจะไปสแกนนะ เพราะเลี้ยงลูกเอง และเห็นว่า ไม่จำเป็นก็ได้มั้ง พอได้รับเชิญไปทำ ลองหาข้อมูลก่อนไป ก็พบว่า มีค่อนข้างน้อยค่ะ วันนี้ เลยถือโอกาส เอาข้อมูลและแนวคิดมาแบ่งปันให้อ่านกัน
จากการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ข้อมูลความรู้ใหม่ว่า การสแกนลายนิ้วมือนี้ ถูกนำไปใช้ทั้งในเชิงพัฒนาเด็ก ใช้ในด้านการศึกษา และ ในองค์กร เพื่อที่จะรับพนักงานจัดหาตำแหน่งหน้าที่การงานที่เหมาะสม เพื่อจะรับเด็กเข้าเรียน ในประเทศไทย มีหลาย บ.ที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาใช้ (เกือบ 10 บริษัท) โดยแหล่งที่มาของข้อมูล Data base เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ผลเทคโนโลยีเครื่องสแกนล้วนแตกต่างกัน
แก๊งลูกวัวเลยชวนกันไปลองสแกนดู เพราะ เจ้าเด็ก 3 คนนี้ โตมาพร้อมๆ กันตั้งแต่เด็ก และนิสัยแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ซึ่งเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าใครเป็นยังไง 55555 ผลจะออกมา ตรงไหมอย่างไร อยากรู้
เผลอแป๊บเดียว เด็กๆ โตกันหมดแร้ว 7 ขวบแล้วค่ะ
คนนึงเรียนนานาชาติ คนนึงเรียน รร.ทางเลือก คนนึงเรียนสาธิต
ช่วยกันทำการบ้าน -__-''
สำหรับดีเทลของแต่ละบริษัท ที่รับทำสแกนจะแตกต่างกันในรายละเอียด เช่น
สถานที่ที่รับทำของไมเนอร์ มีออกบูธ ไปต่างจังหวัด และ ทำที่ออฟฟิส ของบางเจ้าอาจจะต้องไปทำที่บริษัทอย่างเดียวเท่านั้น
การจัดส่งผลสแกน ส่วนมากจะให้รับด้วยตนเอง บางที่(เช่นไมเนอร์) รับเองได้ จัดส่งได้ ฟังผลทางโทรศัพท์ได้
บริการให้คำปรึกษาต่อเนื่อง บางที 1 ครั้ง บางที 1 ปี
ยังมีเรื่องของ การใช้ผู้เชี่ยวชาญหรือ นักจิตวิทยาเฉพาะ ในการอ่านค่า (ผู้เชี่ยวชาญอาจจะไม่ใช่นักจิตวิทยา)
รีพอร์ท ส่วนมากจะเลือกได้ 2 ภาษา ไทย อังกฤษ บางที่ มีจีนด้วย(เช่นของ NST)
ส่วนค่าใช้จ่าย ก็ไม่หนีกันมากนัก อยู่ในระดับราคา 7500 +/- 1000 บาท พร้อมกับโปรโมชั่นที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา หรือคนที่ติดต่อ
ถามว่า จริงหรือไม่จริง บางคนบอกไม่จำเป็น บางคนบอก หลอกเอาตังค์ ยังไม่มีการศึกษาใดๆ ยืนยันเรื่องของลายนิ้วมือ และสมอง เอริ่มมม..อันนี้ ก็ สุดแท้แต่ละไปหาข้อมูลมาประกอบความเชื่อ และไม่เชื่อของแต่ละคนนะคะ ข้อมูลมันเยอะมากไม่มีเวลาอ่านสรุปมาให้อ๊ะ เทคโนโลยีมันมีมานานสักพักใหญ่ๆ แล้ว เดี๋ยวจะเล่าต่อไปในแง่ของประสบการณ์การพาลูกสแกนและอ่านผล แต่ขอไม่ลงรายละเอียดพวกข้อมูลวิทยาศาสตร์ต่างๆๆ นะคะ ถ้าสนใจจะอ่าน ลองเซริชดูจ้า มีเป็นภาษาต่างประเทศอยู่เยอะพอควร
การดูลายนิ้วมือ เป็นการเก็บข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ความสัมพันธ์เชิงสถิติ ที่มนุษย์พยายามเก็บพยายามแปลความหมาย
เหมือนกับการอ่านการเคลื่อนที่ของดวงดาว
เหมือนกับการอ่านลายมือ
เหมือนกับหมอดู
บางคนบอกว่าจำเป็น บางคนบอกว่าไม่จำเป็น สุดแท้แต่ว่า จะใช้คำพยากรณ์ ให้เป็นประโยชน์กับเราในการดำเนินชีวิตมากน้อยแค่ไหน
ใช้เพื่อประกอบสติ ให้มองเห็น คนที่ลูกเราเป็นตรงหน้า อนุญาตให้ลูกเราเป็น เป็นในแบบที่เขาเป็น
เราจะเอาตา เอาใจไปมอง ในแบบที่เขาเป็นหรือเปล่า (ซึ่งส่วนมาก ลูกก็จะเป็นคล้ายๆ เราน่ะแหละเพราะเราเป็นสิ่งแวดล้อมที่ใกล้ชิดที่สุดของลูกชะมะ) บางทีก็เส้นผมบังภูเขา ต้องมีคนมาช่วยบอก ช่วยชี้แนะ เช่น หมอดู หรือนักจิตวิทยา
ทักษะของพ่อแม่ที่สำคัญ คือการมองลูกตามความเป็นจริง การใช้ภาษาและการสื่อสารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดประสบการณ์ ที่ทำให้ลูกรู้ศักยภาพของตัวอง หรือก้าวข้ามขีดจำกัดบางอย่างนอกเหนือจากการใช้ คำสั่ง บังคับ ควบคุม ต้องการจะเปลี่ยนแปลง (ให้เขาเป็นในคนที่แม้แต่เรา ก็ไม่ได้เป็น) พ่อแม่มี "หน้าที่" จัดหาประสบกาณ์ให้ลูก แต่ เจ้าของประสบการณ์ คือตัวเขาเอง เราช่วยให้ลูกเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ชี้แนะในฐานะที่อาจจะมีประสบการณ์มากกว่า แต่ คนที่บอกได้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร คือ ตัวเด็กเองนั่นเอง ทำอย่างไร เขาจึงจะมีความสุขในคนที่เขาเป็น ในทักษะความสามารถที่เขามี หรือเขาไม่ได้มี และจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร
Dermatoglyphics เกิดมาจากการตั้งสมมติฐานและพิสูจน์(แบบไหนก็ไม่รู้) ว่า มนุษย์ทุกคน มีบุคลิคภาพที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลย และในความแตกต่าง มีสิ่งนึงที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวบุคคลนั่นคือ ลายนิ้วมือ เขาจึงเริ่มทำการศึกษา วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ ระหว่าง ลายนิ้วมือ และ สมอง
1892 - นักมนุษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ตีพิมพ์หนังสือ Fingerprint เพื่อบอกให้ชาวโลกรู้ว่า แต่ละคนมีลายนิ้วมือเป็นของตัวเอง และ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
1926 - มีการค้นพบว่า ลายนิ้วมือจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่อายุ 13 สัปดาห์ในครรภ์ และจะสมบูรณ์ตอนอายุ 24 สัปดาห์
1950 - ศาสตราจารย์ชาวแคนนาดา เขียนบทความชื่อ The Cerebral Cortex of Men แสดงให้เห็นว่าลายนิ้วมือกับสมองนั้น มีความเกี่ยวเนื่องกัน
1974 - มีการวิจัยพบว่าบุคลิกภาพทางจิตวิทยา กับ รูปแบบลายนิ้วมือ ก็มีส่วนสัมพันธ์กัน
1981 - ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่น พบว่า ลายนิ้วมือซ้าย สัมพันธ์ต่อสมองซีกขวา ส่วนลายนิ้วมือขวาสัมพันธ์ต่อสมองซีกซ้าย
1983 - แนวคิดพหุปัญญา 8 ด้าน ที่ดังกระฉ่อนโลกเกิด
1987-1993 - มีการตีพิมพ์วาระสารกว่า 300 ฉบับ เกี่ยวกับการ สแกนลายนิ้วมือ แล้วสะท้อนถึงบุคคลิกภาพ
(ที่มาข้อมูลจากเว็บไซท์ littlegym)
ซึ่ง ก็ไม่รู้ว่า ลายนิ้วมือ มันสัมพันธ์กันกับสมองส่วนโน้นนี่ได้ ยังไง ในเชิงสถิติ หรือ เส้นสายปลายประสาท เอาเป็นว่า ขอย้ำอีกทีว่าถ้าใครสนใจให้ไปหาอ่านกันในรายละเอียดเอง เพื่อตัดสินใจอีกทีนะคะ ขออนุญาตออกความเห็น จากการได้ไปลองสแกนมา และเอาผลสแกนมาเล่าให้ฟังแล้วกันค่า
ตำแหน่งของสมอง และการเชื่อมโยงกับระบบต่างๆ ในร่างกาย ทั้งความคิดเชิงบริหาร ตรรกะ จินตนาการ กล้ามเนื้อ ความจำ และอื่นๆ
หลักๆ คือ เขาเก็บลายนิ้วมือ ดูความถี่ ความลึก มิติของเส้น ถี่ ห่าง ระยะจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง แล้วคงมีการเก็บข้อมูลกลุ่มประชากรที่หลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่า ตัวเลขทางสถิติ มันก็ขึ้นอยู่กับ จำนวนประชากร กลุ่มตัวอย่าง มีค่าความเบี่ยงเบน และอื่นๆ ประกอบ ด้วย ดังนั้น ตัวเราเอง จึงจะเป็นผู้บอกได้ว่าตรง หรือไม่ อย่างไร
ขั้นตอนสแกนนิ้วมือ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ต่อคน เพื่อเก็บลายนิ้วมือ ส่งไปที่ประเทศฮ่องกง ใช้เวลาในการประมวลผลและส่งกลับมาประมาณ 10 วัน ก่อนจะตามให้ไปฟังผล โดยนักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านผลสแกน
ของมิวมิว พิเศษหน่อย มาทำให้ที่ออฟฟิสค่ะ พร้อมกะพราว