สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าไม่เคยตั้งกระทู้ในพันทิปมาก่อนเลย (แต่ตามอ่านแบบแฟนพันธุ์แท้ค่ะ) และด้วยความรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้พาลูกไปทำมาน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่คนอื่นๆด้วยเลยคิดว่าต้องแชร์ให้โลกรู้ค่ะ55555
เมขอเล่าแบคกราวด์ของตัวเองก่อนเลยนะคะ เมอายุ32ค่ะ เป็นแม่ของลูกชายวัยกำลังวุ่นวายสองคน 4ขวบครึ่งกับ 3ขวบค่ะ มีพ่อช่วยเลี้ยงช่วยทำมาหากินส่งเสียพวกเราอยู่ค่ะ อิอิ
ทีนี้ทำไมต้องพาลูกไปสแกนนิ้วด้วย? แล้วการสแกนนิ้วนี่มันเป็นยังไง? เอาค่ะจะเหลาเลยละกัน คือเรื่องการสแกนลายนิ้วมือเพื่อดูพรสวรรค์หรือศักยภาพที่อยู่ในตัวของมนุษย์เนี่ยเมเคยได้ยินมาพอสมควรค่ะ อย่าว่าแต่ได้ยินเลยเมื่ออดีตเคยหาข้อมูลมาแล้วด้วยจ้า เริ่มแรกเลยนะคะ ตอนลูกคนโตเข้าอนุบาลใหม่ๆก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ปกครองท่านนึงค่ะมาเล่าให้ฟังในไลน์กลุ่ม ก็สนใจประมาณนึงเหมือนกันนะคะตอนนั้นแบบว่า เฮ้ย.....มันคืออารายยยยย เกิดมาไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็เริ่มหาข้อมูลในอินเตอร์เนต พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ปล่อยผ่านไม่ได้สานต่อ
วันเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้เจ้าลูกคนโตเมก็อยู่อนุบาล2แล้วค่ะ ช่วงปิดเทอมเมไม่อยากให้เค้าว่าง เพราะมีประสบการณ์จากการปิดเทอมใหญ่มาแล้ว ขนาดให้เรียนซัมเมอร์นะคะว่างแค่สองสามอาทิตย์เองมั้ง ไม่ทำไรหรอกค่ะดูแต่การ์ตูน ชวนเล่นชวนทำไรก็ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม จะบังคับให้ไม่ดูก็ไม่รู้จะทำไรกันนักหนาค่ะแม่เองก็ไม่ค่อยมีมุกเท่าไหร่ พอปิดเทอมตุลานี้แม่เลยวางแผนว่าต้องหากิจกรรมให้ทำแบบเป็นเรื่องราวดีกว่า ความจริงที่โรงเรียนก็มีค่ายช่วงปิดเทอมค่ะ แต่เมคิดว่าอยากให้ลูกไปเจอสังคมใหม่ๆบ้างที่ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือครูที่โรงเรียนเท่านั้น เมก็จัดตารางให้ลูกตั้งแต่ก่อนปิดเทอมเลยค่ะ วางแผนไปสมัครเลย ประกอบไปด้วย ดนตรี-เปียโน, กีฬา-เทควันโด้, ศิลปะ(วาดภาพระบายสี ปะติด ปั้นแป้ง) ลูกไปเรียนก็แฮปปี้ดีค่ะ แต่เมเองที่กลับมาคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เราให้ลูกเรียนเนี่ยมันจะเหมาะกับลูกมากน้อยแค่ไหน คิดแค่จะหากิจกรรมให้ลูกทำโดยไม่ได้คิดเลยว่าถ้าเรียนแล้วมันก็ควรจะต่อเนื่องไม่ใช่หยุดเทอมมาเรียนที แต่พอเปิดเทอมจะให้มาอัดเรียนอีกเมก็ว่ามันเยอะไปค่ะสำหรับเด็กอนุบาล อันนี้ต้องบอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของเมกับแฟนล้วนๆนะคะ เมก็เลยมานั่งคิดนอนคิดค่ะว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะให้ลูกเรียนในสิ่งที่เค้าชอบและถนัด เพื่อที่ว่าถ้าเปิดเทอมไปหากต้องเรียนเพิ่มลูกจะได้รู้สึกว่าสนุกอยากมาเรียนมันก็จะแฮปปี้ไม่เหนื่อยไม่ล้าในความรู้สึกของเด็กจนเกินไป แล้วอะไรล่ะที่เค้าจะชอบและถนัด?? อย่างนี้เราไม่ต้องพาลูกเรียนแบบหว่านแหไปเรื่อยๆหรือกว่าจะเจอสิ่งที่ลูกโอเค ก็คิดๆๆๆๆแหละค่ะว่าจะทำยังไงตัวเราถึงจะมีคำตอบที่เป็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ แล้วจู่ๆเรื่องสแกนนิ้วมันก็แว้บเข้ามาในหัวค่ะ
อย่างที่เล่าไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเมเคยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการสแกนลายนิ้วมือมาแล้วค่อยข้างเอนเอียงไปทางสนใจใคร่ทำอยู่แล้วติดที่ว่าราคาสูงนั่นแหละค่ะพูดกันตรงๆ ทีนี้เมื่อชีวิตมีปัญหาต้องการตัวช่วยทำให้เรามองราคาเป็นเรื่องรองลงไปและมองถึงประโยชน์และสิ่งที่จะได้รับกลับมามากกว่า เมเริ่มหาข้อมูลเรื่องการสแกนลายนิ้วมือเพื่อดูศักยภาพในตนเองอีกครั้งค่ะ อากู๋เช่นเคย เสิร์ชมาก็เจอมากมายหลายสิ่งหลายเจ้า เมก็เริ่มเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆค่ะ แต่ละเจ้าก็ค่อนข้างคล้ายๆกันนะคะในส่วนของเนื้อหาและค่าใช้จ่าย แต่ที่ที่เมพาลูกไปทำคือที่ mydna ค่ะ เพราะเค้าตอบโจทย์เมตรงที่ทุกขั้นตอนสามารถจบได้ภายในวันเดียว เมลูกสองคนค่ะอยากได้อะไรที่มันไม่เยิ่นเย้อ ถ้าพาไปสแกนนิ้วแล้วต้องรอผล 3วัน 7วัน แล้วต้องไปฟังผลอีกเมไม่สะดวกค่ะ ครั้นจะให้โทรมาอธิบายผลหรือพูดคุยกันภายหลังเมว่าคงไม่สู้เจอหน้าแล้วคุยกันหรอกจริงมั้ยคะ ที่ mydna ตอบโจทย์เมตรงนี้คือทุกขั้นตอนจบภายในวันนั้น รอพิมพ์ผลแค่ 20 นาทีเองค่ะ จะนานหน่อยตรงคุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญนี่แหละ อ้อ...และอีกอย่างที่เมเลือกที่นี่ก็เพราะไม่ไกลบ้าน mydna มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ตึกเลครัชดา ชั้น 19 แถวศูนย์ประชุมสิริกิติ์ บ้านเมอยู่อ่อนนุชขับรถทะลุพระราม 4 ปรู๊ดเดียวถึงค่ะ สบายๆ
ขั้นตอนนะคะ อย่างแรกเลยหลังจากที่เมตัดสินใจแล้วว่าเอาที่นี่แน่ๆ เมก็โทรไปคุยรายละเอียดกับเค้าอีกทีค่ะ(เคยโทรไปถามข้อมูลมาแล้วครั้งนึง) เจ้าหน้าที่ก็จะสอบถามว่าเราจะเลือกเป็นแพคเกจไหน คือมันจะมีสองแบบค่ะ ราคา 7,800บาท กับ 9,800บาท แพคเกจ 7,800บาท เราจะได้คำแนะนำพูดคุยซักถามได้ทุกสิ่งอย่างจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง ส่วนราคา 9,800บาท จะเป็นนักจิตวิทยามาพูดคุยกับเราแทนค่ะนอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าเด็กเล็กๆอย่างลูกของเมเนี่ยควรจะได้เจอกับนักจิตวิทยานะเพราะเค้าจะสามารถแนะนำเราเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กได้ด้วย แต่เมได้ตรองดูแล้วค่ะ ลูกสองคูณสอง ขอเจอผู้เชี่ยวชาญก็พอละค่ะ
และวันนัดหมายก็มาถึง เลครัชดาชั้น 19 ท่องไว้ค่ะ พอไปถึงสำนักงานใหญ่เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้พบหน้าก็ต้อนรับเมกับลูกลิงๆของเมดีมากค่ะ ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ทักทายเด็กๆ รู้สึกดีบอกไม่ถูกค่ะ ในส่วนของสำนักงานก็ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าไหนจะของเล่นเด็กอีกเพียบ เดี๋ยวเมจะเล่าต่อค่ะว่าทำไมถึงต้องมีของเล่นอยู่ทุกซอกทุกมุม
ตอนนี้ให้ดูรูปประกอบก่อนนะคะ
บอกแล้วค่ะว่าให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าจริงๆ
ทีนี้ก็ได้เวลาพาลิงไปสแกนนิ้วแล้วค่ะ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาประกบเลย ใจดี น่ารัก ลูกลิงปลื้ม ว่านอนสอนง่ายให้ทำอะไรก็ทำขึ้นมาทันที
สแกนกันทุกนิ้วเลยค่ะ กว่าจะครบทั้งสิบนิ้วก็จะใช้เวลานิดนึง เพราะต้องหมุนนิ้วไปมาเพื่อให้ลายนิ้วมือปรากฏได้ครบถ้วน แต่ก็ไม่ได้นานอะไรมากมายหรอกค่ะ เจ้าหน้าที่เค้าก็ชวนเด็กๆคุยไปด้วยเรื่อยๆเพลินๆ ก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ ทีนี้ก็รอพิมพ์ผลประมาณ 20นาทีค่ะ เด็กๆก็เล่นของเล่นวนไป
ความจริงของเล่นเด็กมีเยอะกว่านี้อีกมากค่ะ มีอยู่ทุกมุมจริงๆแต่เมถ่ายได้ไม่หมดก็พิมพ์ผลออกมาเสร็จเลยต้องเข้าไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญก่อนค่ะ
รูปเล่มหน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ ได้มาแล้วเก็บรักษาไว้ให้ดีนะคะ เพราะถ้าหายแล้วอยากได้ใหม่จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 550 บาท ดังนั้นเก็บไว้ดีๆดีกว่าเนาะ
ถ้าผู้เชี่ยวชาญไม่มาอธิบายให้ฟังเราจะไม่มีวันเข้าใจค่ะ 5555555 แต่ที่นี่ก็น่ารักนะคะ ขณะที่พูดคุยกันจะอัดเสียงหรือจดบันทึกอะไรได้หมดเลยค่ะ ที่สำคัญสงสัยตรงไหนถามเข้าไปค่ะ ถามจนกว่าจะหายเง็ง ของเมลูกสองคนคุยอยู่ 2ชั่วโมงได้ เมพูดซักถามประมาณ 15เปอร์เซ็น นอกนั้นนั่งฟังค่ะ ผู้เชี่ยวชาญอธิบายดีมากๆ ถ้าเอาตามทฤษฎีเลยนะคะ ลายนิ้วมือถูกพัฒนามาพร้อมกับเซลส์สมองตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา รวมไปถึงลักษณะนิสัยที่ดูผลจากลายนิ้วมือ ค่อนข้างตรงมากค่ะหมอดูแม่นๆหลบไปเลย และก็พูดถึงแนวทางความน่าจะเป็นถึงศักยภาพในตัวของลูกเม อย่างเช่นอันไหนน่าส่งเสริม อันนี้เข็นขึ้นนะถ้าส่งเสริมก็จะดีแบบทะลุทะลวงเลยหรืออันนี้ก็จะเข็นกันยากหน่อยเพราะดูแล้วไม่ใช่ตัวเค้า อ่ะขอยกตัวอย่างแบบเข้าใจง่ายๆนะคะ ลูกเมสองคนหลังจากสแกนลายนิ้วมือแล้วทำให้พบว่าศักยภาพด้านกีฬาต่ำมาก ทีนี้มันก็ทำให้เมพอคิดได้ละว่าเราก็ให้ลูกเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ให้รู้จักรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยก็พอ คงไม่สามารถจะไปส่งเสริมต่อยอดอะไรด้านนี้ได้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นพวกคิดวิเคราะห์ชอบทดลองเรียนรู้ในข้อนี้เด็กสองคนอยู่ในเกณฑ์ดี ก็จะเหมาะกับสายวิทยาศาสตร์หรืออะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วก็ยังมีคำแนะนำอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างประมาณนี้นะคะ แล้วในเล่มก็จะมีทักษะความสามารถและอาชีพที่เหมาะกับลูกเราด้วยค่ะ
บริการหลังการขายก็ดีงามนะคะ ถ้าเรากลับไปบ้านแล้วเกิดเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้สามารถโทรมาสอบถามได้ตลอดค่ะ
ส่วนตัวเมแล้วหลังจากการเข้ารับบริการจากที่ mydna นอกจากจะช่วยให้เมได้แนวทางในการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของลูกให้ไปในทางที่ควรจะเป็นแบบไม่ต้องมานั่งทดลองแบบหว่านแหแล้ว สิ่งที่เมได้มากกว่านั้นคือความประทับใจค่ะ ไม่มีอะไรให้เมติเลย ลูกเมซนมากแต่ทุกคนที่นั่นก็มาช่วยดูช่วยเล่นกับลูกลิงสองตัว เด็กๆต้องรอสองสามชั่วโมงนะคะ นี่ล่ะค่ะทำไมถึงต้องมีของเล่นเอาไว้หลอกล่อเด็กๆมากมายขนาดนั้น เมนึกว่าจะแย่แล้วแต่ป่าวเลยเล่นสนุกจนไม่อยากกลับ บอกตรงๆว่าเกรงใจทุกคนที่นั่นในความซนของลูกเลยค่ะ เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าบางบ้านสแกนกันทั้งบ้านค่ะผู้ใหญ่ก็มาทำกันเยอะ บางครอบครัวคุยกัน 4 ชั่วโมงก็มี ยังไงเมก็ขอฝากรีวิวการสแกนลายนิ้วมือเพื่อค้นหาศักยภาพที่อยู่ภายในตัวเราเอาไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนไม่มากก็น้อย คิดเห็นอย่างไรแชร์กันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
[CR] พาลูกไปสแกนนิ้วเพื่อค้นหาศักยภาพกันค่ะ
เมขอเล่าแบคกราวด์ของตัวเองก่อนเลยนะคะ เมอายุ32ค่ะ เป็นแม่ของลูกชายวัยกำลังวุ่นวายสองคน 4ขวบครึ่งกับ 3ขวบค่ะ มีพ่อช่วยเลี้ยงช่วยทำมาหากินส่งเสียพวกเราอยู่ค่ะ อิอิ
ทีนี้ทำไมต้องพาลูกไปสแกนนิ้วด้วย? แล้วการสแกนนิ้วนี่มันเป็นยังไง? เอาค่ะจะเหลาเลยละกัน คือเรื่องการสแกนลายนิ้วมือเพื่อดูพรสวรรค์หรือศักยภาพที่อยู่ในตัวของมนุษย์เนี่ยเมเคยได้ยินมาพอสมควรค่ะ อย่าว่าแต่ได้ยินเลยเมื่ออดีตเคยหาข้อมูลมาแล้วด้วยจ้า เริ่มแรกเลยนะคะ ตอนลูกคนโตเข้าอนุบาลใหม่ๆก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ปกครองท่านนึงค่ะมาเล่าให้ฟังในไลน์กลุ่ม ก็สนใจประมาณนึงเหมือนกันนะคะตอนนั้นแบบว่า เฮ้ย.....มันคืออารายยยยย เกิดมาไม่เคยรู้จักมาก่อน ก็เริ่มหาข้อมูลในอินเตอร์เนต พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ปล่อยผ่านไม่ได้สานต่อ
วันเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้เจ้าลูกคนโตเมก็อยู่อนุบาล2แล้วค่ะ ช่วงปิดเทอมเมไม่อยากให้เค้าว่าง เพราะมีประสบการณ์จากการปิดเทอมใหญ่มาแล้ว ขนาดให้เรียนซัมเมอร์นะคะว่างแค่สองสามอาทิตย์เองมั้ง ไม่ทำไรหรอกค่ะดูแต่การ์ตูน ชวนเล่นชวนทำไรก็ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม จะบังคับให้ไม่ดูก็ไม่รู้จะทำไรกันนักหนาค่ะแม่เองก็ไม่ค่อยมีมุกเท่าไหร่ พอปิดเทอมตุลานี้แม่เลยวางแผนว่าต้องหากิจกรรมให้ทำแบบเป็นเรื่องราวดีกว่า ความจริงที่โรงเรียนก็มีค่ายช่วงปิดเทอมค่ะ แต่เมคิดว่าอยากให้ลูกไปเจอสังคมใหม่ๆบ้างที่ไม่ใช่แค่เพื่อนหรือครูที่โรงเรียนเท่านั้น เมก็จัดตารางให้ลูกตั้งแต่ก่อนปิดเทอมเลยค่ะ วางแผนไปสมัครเลย ประกอบไปด้วย ดนตรี-เปียโน, กีฬา-เทควันโด้, ศิลปะ(วาดภาพระบายสี ปะติด ปั้นแป้ง) ลูกไปเรียนก็แฮปปี้ดีค่ะ แต่เมเองที่กลับมาคิดทบทวนดูว่าสิ่งที่เราให้ลูกเรียนเนี่ยมันจะเหมาะกับลูกมากน้อยแค่ไหน คิดแค่จะหากิจกรรมให้ลูกทำโดยไม่ได้คิดเลยว่าถ้าเรียนแล้วมันก็ควรจะต่อเนื่องไม่ใช่หยุดเทอมมาเรียนที แต่พอเปิดเทอมจะให้มาอัดเรียนอีกเมก็ว่ามันเยอะไปค่ะสำหรับเด็กอนุบาล อันนี้ต้องบอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของเมกับแฟนล้วนๆนะคะ เมก็เลยมานั่งคิดนอนคิดค่ะว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะให้ลูกเรียนในสิ่งที่เค้าชอบและถนัด เพื่อที่ว่าถ้าเปิดเทอมไปหากต้องเรียนเพิ่มลูกจะได้รู้สึกว่าสนุกอยากมาเรียนมันก็จะแฮปปี้ไม่เหนื่อยไม่ล้าในความรู้สึกของเด็กจนเกินไป แล้วอะไรล่ะที่เค้าจะชอบและถนัด?? อย่างนี้เราไม่ต้องพาลูกเรียนแบบหว่านแหไปเรื่อยๆหรือกว่าจะเจอสิ่งที่ลูกโอเค ก็คิดๆๆๆๆแหละค่ะว่าจะทำยังไงตัวเราถึงจะมีคำตอบที่เป็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ แล้วจู่ๆเรื่องสแกนนิ้วมันก็แว้บเข้ามาในหัวค่ะ
อย่างที่เล่าไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเมเคยรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการสแกนลายนิ้วมือมาแล้วค่อยข้างเอนเอียงไปทางสนใจใคร่ทำอยู่แล้วติดที่ว่าราคาสูงนั่นแหละค่ะพูดกันตรงๆ ทีนี้เมื่อชีวิตมีปัญหาต้องการตัวช่วยทำให้เรามองราคาเป็นเรื่องรองลงไปและมองถึงประโยชน์และสิ่งที่จะได้รับกลับมามากกว่า เมเริ่มหาข้อมูลเรื่องการสแกนลายนิ้วมือเพื่อดูศักยภาพในตนเองอีกครั้งค่ะ อากู๋เช่นเคย เสิร์ชมาก็เจอมากมายหลายสิ่งหลายเจ้า เมก็เริ่มเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆค่ะ แต่ละเจ้าก็ค่อนข้างคล้ายๆกันนะคะในส่วนของเนื้อหาและค่าใช้จ่าย แต่ที่ที่เมพาลูกไปทำคือที่ mydna ค่ะ เพราะเค้าตอบโจทย์เมตรงที่ทุกขั้นตอนสามารถจบได้ภายในวันเดียว เมลูกสองคนค่ะอยากได้อะไรที่มันไม่เยิ่นเย้อ ถ้าพาไปสแกนนิ้วแล้วต้องรอผล 3วัน 7วัน แล้วต้องไปฟังผลอีกเมไม่สะดวกค่ะ ครั้นจะให้โทรมาอธิบายผลหรือพูดคุยกันภายหลังเมว่าคงไม่สู้เจอหน้าแล้วคุยกันหรอกจริงมั้ยคะ ที่ mydna ตอบโจทย์เมตรงนี้คือทุกขั้นตอนจบภายในวันนั้น รอพิมพ์ผลแค่ 20 นาทีเองค่ะ จะนานหน่อยตรงคุยปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญนี่แหละ อ้อ...และอีกอย่างที่เมเลือกที่นี่ก็เพราะไม่ไกลบ้าน mydna มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ตึกเลครัชดา ชั้น 19 แถวศูนย์ประชุมสิริกิติ์ บ้านเมอยู่อ่อนนุชขับรถทะลุพระราม 4 ปรู๊ดเดียวถึงค่ะ สบายๆ
ขั้นตอนนะคะ อย่างแรกเลยหลังจากที่เมตัดสินใจแล้วว่าเอาที่นี่แน่ๆ เมก็โทรไปคุยรายละเอียดกับเค้าอีกทีค่ะ(เคยโทรไปถามข้อมูลมาแล้วครั้งนึง) เจ้าหน้าที่ก็จะสอบถามว่าเราจะเลือกเป็นแพคเกจไหน คือมันจะมีสองแบบค่ะ ราคา 7,800บาท กับ 9,800บาท แพคเกจ 7,800บาท เราจะได้คำแนะนำพูดคุยซักถามได้ทุกสิ่งอย่างจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง ส่วนราคา 9,800บาท จะเป็นนักจิตวิทยามาพูดคุยกับเราแทนค่ะนอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าเด็กเล็กๆอย่างลูกของเมเนี่ยควรจะได้เจอกับนักจิตวิทยานะเพราะเค้าจะสามารถแนะนำเราเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กได้ด้วย แต่เมได้ตรองดูแล้วค่ะ ลูกสองคูณสอง ขอเจอผู้เชี่ยวชาญก็พอละค่ะ
และวันนัดหมายก็มาถึง เลครัชดาชั้น 19 ท่องไว้ค่ะ พอไปถึงสำนักงานใหญ่เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้พบหน้าก็ต้อนรับเมกับลูกลิงๆของเมดีมากค่ะ ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ทักทายเด็กๆ รู้สึกดีบอกไม่ถูกค่ะ ในส่วนของสำนักงานก็ให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าไหนจะของเล่นเด็กอีกเพียบ เดี๋ยวเมจะเล่าต่อค่ะว่าทำไมถึงต้องมีของเล่นอยู่ทุกซอกทุกมุม
ตอนนี้ให้ดูรูปประกอบก่อนนะคะ
บอกแล้วค่ะว่าให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าจริงๆ
ทีนี้ก็ได้เวลาพาลิงไปสแกนนิ้วแล้วค่ะ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาประกบเลย ใจดี น่ารัก ลูกลิงปลื้ม ว่านอนสอนง่ายให้ทำอะไรก็ทำขึ้นมาทันที
สแกนกันทุกนิ้วเลยค่ะ กว่าจะครบทั้งสิบนิ้วก็จะใช้เวลานิดนึง เพราะต้องหมุนนิ้วไปมาเพื่อให้ลายนิ้วมือปรากฏได้ครบถ้วน แต่ก็ไม่ได้นานอะไรมากมายหรอกค่ะ เจ้าหน้าที่เค้าก็ชวนเด็กๆคุยไปด้วยเรื่อยๆเพลินๆ ก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ ทีนี้ก็รอพิมพ์ผลประมาณ 20นาทีค่ะ เด็กๆก็เล่นของเล่นวนไป
ความจริงของเล่นเด็กมีเยอะกว่านี้อีกมากค่ะ มีอยู่ทุกมุมจริงๆแต่เมถ่ายได้ไม่หมดก็พิมพ์ผลออกมาเสร็จเลยต้องเข้าไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญก่อนค่ะ
รูปเล่มหน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ ได้มาแล้วเก็บรักษาไว้ให้ดีนะคะ เพราะถ้าหายแล้วอยากได้ใหม่จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 550 บาท ดังนั้นเก็บไว้ดีๆดีกว่าเนาะ
ถ้าผู้เชี่ยวชาญไม่มาอธิบายให้ฟังเราจะไม่มีวันเข้าใจค่ะ 5555555 แต่ที่นี่ก็น่ารักนะคะ ขณะที่พูดคุยกันจะอัดเสียงหรือจดบันทึกอะไรได้หมดเลยค่ะ ที่สำคัญสงสัยตรงไหนถามเข้าไปค่ะ ถามจนกว่าจะหายเง็ง ของเมลูกสองคนคุยอยู่ 2ชั่วโมงได้ เมพูดซักถามประมาณ 15เปอร์เซ็น นอกนั้นนั่งฟังค่ะ ผู้เชี่ยวชาญอธิบายดีมากๆ ถ้าเอาตามทฤษฎีเลยนะคะ ลายนิ้วมือถูกพัฒนามาพร้อมกับเซลส์สมองตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา รวมไปถึงลักษณะนิสัยที่ดูผลจากลายนิ้วมือ ค่อนข้างตรงมากค่ะหมอดูแม่นๆหลบไปเลย และก็พูดถึงแนวทางความน่าจะเป็นถึงศักยภาพในตัวของลูกเม อย่างเช่นอันไหนน่าส่งเสริม อันนี้เข็นขึ้นนะถ้าส่งเสริมก็จะดีแบบทะลุทะลวงเลยหรืออันนี้ก็จะเข็นกันยากหน่อยเพราะดูแล้วไม่ใช่ตัวเค้า อ่ะขอยกตัวอย่างแบบเข้าใจง่ายๆนะคะ ลูกเมสองคนหลังจากสแกนลายนิ้วมือแล้วทำให้พบว่าศักยภาพด้านกีฬาต่ำมาก ทีนี้มันก็ทำให้เมพอคิดได้ละว่าเราก็ให้ลูกเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ให้รู้จักรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยก็พอ คงไม่สามารถจะไปส่งเสริมต่อยอดอะไรด้านนี้ได้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นพวกคิดวิเคราะห์ชอบทดลองเรียนรู้ในข้อนี้เด็กสองคนอยู่ในเกณฑ์ดี ก็จะเหมาะกับสายวิทยาศาสตร์หรืออะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วก็ยังมีคำแนะนำอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างประมาณนี้นะคะ แล้วในเล่มก็จะมีทักษะความสามารถและอาชีพที่เหมาะกับลูกเราด้วยค่ะ
บริการหลังการขายก็ดีงามนะคะ ถ้าเรากลับไปบ้านแล้วเกิดเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้สามารถโทรมาสอบถามได้ตลอดค่ะ
ส่วนตัวเมแล้วหลังจากการเข้ารับบริการจากที่ mydna นอกจากจะช่วยให้เมได้แนวทางในการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของลูกให้ไปในทางที่ควรจะเป็นแบบไม่ต้องมานั่งทดลองแบบหว่านแหแล้ว สิ่งที่เมได้มากกว่านั้นคือความประทับใจค่ะ ไม่มีอะไรให้เมติเลย ลูกเมซนมากแต่ทุกคนที่นั่นก็มาช่วยดูช่วยเล่นกับลูกลิงสองตัว เด็กๆต้องรอสองสามชั่วโมงนะคะ นี่ล่ะค่ะทำไมถึงต้องมีของเล่นเอาไว้หลอกล่อเด็กๆมากมายขนาดนั้น เมนึกว่าจะแย่แล้วแต่ป่าวเลยเล่นสนุกจนไม่อยากกลับ บอกตรงๆว่าเกรงใจทุกคนที่นั่นในความซนของลูกเลยค่ะ เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าบางบ้านสแกนกันทั้งบ้านค่ะผู้ใหญ่ก็มาทำกันเยอะ บางครอบครัวคุยกัน 4 ชั่วโมงก็มี ยังไงเมก็ขอฝากรีวิวการสแกนลายนิ้วมือเพื่อค้นหาศักยภาพที่อยู่ภายในตัวเราเอาไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนไม่มากก็น้อย คิดเห็นอย่างไรแชร์กันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น