สวัสดีครับชาวพันทิพย์ทุกท่าน สิ่งที่ทุกๆท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ อาจจะยาวหน่อยนะครับ เพราะมันคือ1ปีแห่งความพยายามอย่างยิ่งยวดของผู้ชายคนนึง ที่เป็นคนที่ทำอะไรก็แทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่มันก็เป็น1ปีที่ทำให้คนคนนึง เปลี่ยนไปชนิดว่าหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ^^
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแหล่งความรู้จากเว็บนี้และหลายๆท่านที่คอยแนะนำวิธีการที่ถูกต้องให้กับผมครับ หวังว่าสิ่งที่ผมได้มาแบ่งปันนี้ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆสำหรับผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่มากก็น้อยครับ
ผมชื่อปู อายุ 26 ปี วัยทำงานครับ ชีวิตประจำวันก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรมากครับ ตื่นเช้า เชคร้านขายของในเกมส์ ลงมาหาข้าวกิน ขึ้นไปเล่นเกมส์ต่อ 7โมงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เลิกงานก็รีบกลับมาเฝ้าเกมส์ บางครั้งก็เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงบ้าง ไปเที่ยวกับแฟนบ้าง ไปตกปลาบ้าง ตามประสาหนุ่มออฟฟิศทั่วไป
ผมใช้ชีวิตเน่าๆแบบนั้นมาประมาณสิบกว่าปีครับ สถติน้ำหนักสูงสุดคือ 130 KG ตามรูปเลยครับ ณวันที่ 18เดือนสิงหาคม 2556
อาจเป็นเพราะผมเรียน คณะคหกรรมด้วย จึงมีโอกาสได้ กิน แทบตลอดเวลาที่เรียน ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เป็นอะไรที่เพิ่มน้ำหนักได้ดีมากครับ ใครอยากเพิ่มน้ำหนัก ลองเรียนคณะคหกรรม เอกอาหารดูนะครับ รับรองว่าได้กินทั้งวันแน่ๆ
แต่1ปีหลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนไปครับ
สิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป คือมรสุมชีวิต ช่วงอายุ 25ปี ที่จริงผมไม่มีความเชื่อเรื่องเบญจเพศอะไรนะครับ แม้กระทั่งตอนนี้ผมคิดว่ามันก็แค่ช่วงที่ปัญหาหลายๆอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันเท่านั้นเอง
ปัญหาที่อึ้งมากๆเลยคือ ผมไปสมัครงานครับ ไม่ขอบอกนะครับ บริษัทไหน ทุกอย่างราบรื่นดี คะแนนความสามารถผ่าน คะแนนสอบสัมภาษณ์ผ่าน แต่ ผมไมได้งานทำ เพราะ..... คนสัมภาษณ์เค้าบอกว่า ผมน้ำหนักเกินครับ.... ผมก็งงสิครับ ตำแหน่งที่ผมไปสมัครนั้น ไม่ใช่แอร์โฮสเตส ไม่ใช่ฝ่ายเซอร์วิส ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องเจรจาพูดคุยกับลูกค้าเลย เค้าบอกว่าเค้าต้องการพนักงานที่มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องตัวสูง และสุขภาพดี ผมเลยเดินคอตกออกจากบริษัทนั้นครับ ระหว่างทางก็คิดอยู่ในใจว่า กรุอ้วนนี่มันผิดมากเลยหรอ บลาๆๆ
ยังครับ ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น
จากน้ำหนักที่มากถึง130กิโล ปัญหาสุขภาพเริ่มถามหา เหนื่อยง่ายมาก เดินขึ้นไปส่งงานชั้น2นี่ ต้องเอามือเกาะราวบันไดเลยครับ แต่ที่หนักที่สุดคือ ผมหน้ามืดครับ วูบไปเฉยๆเลย ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าผมมีความดันสูงและไขมันเลือดก็สูงด้วย มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนั่นโรคนี้ บลาๆๆๆ ตอนนั้นบอกได้เลยครับ มันอึดอัดมาก เดินไปร้านค้าข้างๆออฟฟิศผมยังไม่อยากไปเลยครับ มันเหนื่อยมาก ไปไหนก็เหมือนสังคมรังเกียจ กลิ่นตัวแรง คอเป็นพังพืดดำๆ ขึ้นรถเมล์ รถBTS นี่ผมไม่นั่งเลย ยืนประจำ เพราะเวลาไปนั่งตรงไหน บางครั้ง คนที่นั่งก่อนหน้าจะลุกไปยืนเลย ผมเข้าใจนะครับ คือตอนผมอ้วนมากๆ เหงื่อนี่จะออกแทบตลอดเวลา เวลาไปนั่งข้างๆใคร กลิ่นด้วย บางครั้งเหงื่อไปโดนเค้าอีก เบาะก็นั่งแล้วล้นไปกินที่คนอื่น บางคนเอามือมาปิดจมูก มันเลยทำให้เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าไปที่สาธารณะ
แต่ยังครับ ผมยังคิดว่าผมไหว ไม่เป็นไรหรอกน่า ปลอบใจตัวเองต่อไปว่า คนอ้วน มันก็คนนะเว้ย คนอ้วนกว่าเรามีเยอะแยะ เค้ายังมีชีวิตอยู่ดี แล้วทำไม่จะต้องไปลด(ข้ออ้างท้างน้าน)
และแล้ววันนั้นก็มาถึงครับ วันที่มันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
วันที่ 18สิงหา หลังจากที่เจอปัญหาหนักๆติดกันมาหลายวันผมก็ได้แต่เครียด ครุ่นคิดคิดอยู่จนเกือบเช้า ก็หลับไป ผมตื่นมาอีกที ก็ช่วงสายๆ หลังจากที่ผมตื่นมา ผมมีอาการชาที่ปลายมือปลายเท้าครับพอลุกมานั่งก็มีอาการปวดหัวครับ แน่นหน้าอกด้วย หายใจไม่ค่อยออก คือตอนนั้นผมรู้เลย ว่าความตายมันใกล้นิดเดียว มันทรมานมาก กว่าจะลงมาจากเตียงได้จนผมลงมานั่งกองอยู่กับพื้น น้องที่อยู่บ้านเดียวกันได้ยินเสียงผมตกจากเตียงก็วิ่งขึ้นมาดูแล้วพาผมไปหาหมอ
ตอนนั้นผมคิดได้แล้วว่า ผมต้องเปลี่ยนตัวเองแล้ว ผมอยากเกิดใหม่ ผมอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว แฟนก็ทิ้ง งานก็ไม่รุ่ง และทันใดนั้นเอง ผมก็นึงถึงเพื่อนผมคนนี้ครับ
พี่บิ๊กเป็นคนที่ผอมมากกกกกกกกมาก่อน สูง180กว่า หนักไม่ถึง60 แต่4ปีหลัง มันไปเล่นเวทครับ เข้าฟิตเนส 4ปีผ่านไป สภาพมันก็เป็นแบบนี้ครับ
มันมาเป็นมัด!
เอาล่ะหลังจากที่ได้ครูแล้ว ก็ต้องมีสถานที่ที่จะทำการลดน้ำหนักครับ
ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่บ้านผมอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาลท่าโขลง ซึ่งตรงนี้แหละ เค้ามีโครงการ ที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี โดยสามารถไปทำบัตรสุขภาพดี เพื่อเข้าใช้บริการ ฟิตเนสของมหาวิทยาลัยได้ฟรี รวมทั้งสระว่ายน้ำก็ ฟรี!!!
ยังครับ ยังไม่พอ พี่บิ๊กเอง เป็นสมาชิกฟิตเนสเฟิร์สมา4ปีแล้วทุกวันเสาร์-อาทิตย์สามารถพาเกสต์เข้าฟรีได้1คน!!!
ทุกอย่างฟรีแทบทั้งหมด แล้วผมทำอะไรอยู่ เหลือแค่ใส่ความยพายามเข้าไปเท่านั้นเอง!
ไม่รอช้า ว่าแล้วก็ไปคุยกับพี่บิ๊กเรื่องนี้ ผมตั้งเป้าว่า ใน1ปี ผมอยากเห็นน้ำหนักผมอยู่ที่เลข 7!และอยากมีซิคแพค นั่นหมายถึงผมตองลดให้ได้มากกว่า50กิโลใน1ปีเลยทีเดียว พี่บิ๊กตอบด้วยความง่ายดายว่า
"ได้เลย! แล้วเมิงอย่าถอดใจนะ..." พี่บิ๊กก็ให้ผมถ่ายรูปแบบถอดเสื้อและชั่งน้ำหนักไว้ เพื่อเปรียบเทียบผลแบบเดือนต่อเดือนครับ
และแล้ววันแรกก็มาถึง วันแรกที่ไปฟิตเนสเฟิร์สกับพี่บิ๊ก พี่บิ๊กจัดเต็ม!!! เล่นเอาผมหมุนพวงมาลัยรถแทบไม่ได้ เรียกว่า ขับรถกลับบ้านแทบไมได้เลย
กระบอกน้ำฟรุ้งฟริ้งมาก!
จะไหวมั้ยเนี่ย!
วันแรกก็แทบจะท้อซะแล้ว พี่บิ๊กเห็นท่าไม่ดี จึงแนะนำวิธีหลักๆให้ครับ
โดยแนะวิธีคือให้กินอาหารคลีน คาร์ดิโอ้ให้หนัก เวทยังไม่ต้องอัดหนักมาก ให้ร่างกายปรับสภาพได้ก่อน แล้วค่อยเล่น...
อาหารคลีนมื้อแรกๆครับ
คาร์ดิโอครั้งแรกของผม เป็นการวิ่ง ตั้งเป้าไว้ว่า ไปกลับปากซอย 2กิโล ตอนเด็กวิ่งประจำ น่าจะไหว...
วิ่งไปได้300เมตร เหงื่อท่วมตัว น้ำลายเหนียว จุกเสียดที่กระบังลม จนผมล้มลง ล้มลงทั้งน้ำตา ว่าเราจะเป็นผู้แพ้แบบนี้ตลอดชีวิตเลยหรอ?
นั่งอยู่สิบกว่านาที พอลุกขึ้นมาอาการดีขึ้น เอาวะ วิ่งไม่ไหว เดินเอาก็ยังดี แต่เชื่อมั้ยครับ ว่าแค่เดินกิโลแรก ผมต้องนั่งพักเป็นสิบนาที กว่าจะเดินกลับจากปากซอยได้ ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่บิ๊ก พี่บิ๊กบอกว่า ใครให้เมิงไปวิ่ง!
อ้าว คาดิโอไม่ใช่วิ่งหรอ? สรุปคือ คาดิโอคือการออกกำลังกายให้หัวใจเต้นในระดับที่สูงระดับนึงต่อเนื่องกันเป็นระยะวเลา30นาทีเป็นต้นไปครับ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรืออะไรก็แล้วแต่ครับ สรุปคือ พรุ่งนี้เปลี่ยน เป็น...ว่ายน้ำครับเพื่อรักษาเข่ากับข้อเท้าด้วย
โอ้ย เรื่องว่ายน้ำ เรื่องจิ๊บๆ สมัยเด็กผมนี่ว่ายไปเกาะทุ่นกลางทะเลมาแล้ว 1กิโล+ แค่นี้สบาย...
แต่แล้ว ไม่น่าเชื่อครับ จากการที่หนัก 130 กิโลนั้น ทำให้ผมว่ายไม่ถึงอีกฝั่งของสระว่ายน้ำ ว่ายได้ครึ่งสระ ต้องต๋อมแต๋มๆท่าลูกหมาตกน้ำเข้าฝั่ง ตอนนั้นก็โมโหตัวเองนะ ไอ้นั้นก็ไม่ไหว ไอ้นี่ก็ไมได้ จะทำสำเร็จมั้ยเนี่ย
วันต่อมา เปลี่ยนเป็นปั่นจักรยานครับ เออ ใช้ได้ หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานวันละ 30นาที ค่อยๆเพิ่มจนมาเป็น 1ชั่วโมง ทำอยู่ประมาณเดือนกว่า เฮ้ย น้ำหนักลง 5โล!!! เหลือ125 กำลังใจมาเพียบเลย
อาหารยังกินคลีนอยู่ตลอดครับ
อาหารคลีนๆที่กินครับ
พอถึงเดือนที่สอง พี่บิ๊กบอกว่า ร่างกายน่าจะโอเคแล้ว ก็มีสอนเล่นเวท ช่วงนี้ฟูลบอดี้เวทครับ เล่นทุกส่วนใน1วัน แต่ไม่หนักเป้าหมายเพื่อเตรียมกล้ามเนื้อสำหรับที่จะจัดหนัก!
พอมาเดือนที่สองนี่ ผมว่ายน้ำได้แล้วครับ สลับกับปั่นจักรยานไปด้วย ช่วงนี้ ผมว่ายน้ำวันละ 20รอบครับ ประมาณ 1000เมตร เหนื่อยก็พักครับ อาหารเน้นโปรตีนมากขึ้น คลีนมากขึ้น เพราะลิ้นชินแล้วกับอาหารรสจืด
ช่วงเดือนที่สองนี้ ตอนเช้า ผมเดินวันละ1-2กิโล ตกเย็นก็เล่นเวท เล่นเวทเสร็จถ้าไม่ว่ายน้ำก็ปั่นจักรยาน อาทิตย์ละ6วันไปเลย
จบเดือนที่สอง
ลงมา10กิโล!!! เฮ้ย เหลือ115 แล้ว
หลังจากสองเดือนผ่านพ้นไป ร่างกายผมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อยๆเพิ่มระยะทางในการวิ่ง เพิ่มความหนักในการคาร์ดิโอ และการเล่นเวทไปเรื่อยๆ จนครบ 6 เดือน ก็ได้ตามนี้ครับ
จากเดือนที่8-12 เป็นช่วงที่ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็มีแต่ความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นเยอะ มีการคาร์ดิโอที่หลากหลายมากขึ้น ช่วงหลังๆมานี่ ผมเริ่มเปิดกิจการร้านขายอาหารด้วย ทำงานประจำด้วย เล่นเวทด้วย จึงไม่ค่อยมีวเลาวิ่งมากนัก เลยอาศัยการโดดเชือกเข้าช่วยครับ เช้า 3000 เย็น3000 มีการวิ่งลากยางรถยนต์ด้วย แต่ตารางเวทยังคงเดิม น้ำหนักก็ลงมาเรื่อยๆจนแตะอยู่ที่ 83 พร้อมกับเปอร์เซ็นต์ไขมันที่ลดลง ทำให้เริ่มเห็นซิคแพคแล้วครับ ตอนนี้หากวันไหนติดธุระไมได้ไปเล่นเวท ผมก็จะวิดพื้น 400-600แทน ประมาณ 6ท่า ต่อด้วยโดดเชือกอีก3000ครับ กิจกรรมทั้งหมดนี้ สามารถทำได้ในพื้นที่ประมาณ 2-2ตารางเมตรครับ
สำหรับตารางอาหาร และตารางเวท ผมลงให้แล้วนะครับ อันนี้เอาของเก่าๆมาลง มีหลายอันหน่อย เพราะผมจะปรับตารางให้ตรงกับเวลาที่ไม่แน่นอนของผมในแต่ล่ะเดือนครับ
รีวิว Before & After จาก 130สู่83 KG เปลี่ยนBig pack เป็น Six Pack ใน1ปี!
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณแหล่งความรู้จากเว็บนี้และหลายๆท่านที่คอยแนะนำวิธีการที่ถูกต้องให้กับผมครับ หวังว่าสิ่งที่ผมได้มาแบ่งปันนี้ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆสำหรับผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่มากก็น้อยครับ
ผมชื่อปู อายุ 26 ปี วัยทำงานครับ ชีวิตประจำวันก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรมากครับ ตื่นเช้า เชคร้านขายของในเกมส์ ลงมาหาข้าวกิน ขึ้นไปเล่นเกมส์ต่อ 7โมงอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน เลิกงานก็รีบกลับมาเฝ้าเกมส์ บางครั้งก็เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงบ้าง ไปเที่ยวกับแฟนบ้าง ไปตกปลาบ้าง ตามประสาหนุ่มออฟฟิศทั่วไป
ผมใช้ชีวิตเน่าๆแบบนั้นมาประมาณสิบกว่าปีครับ สถติน้ำหนักสูงสุดคือ 130 KG ตามรูปเลยครับ ณวันที่ 18เดือนสิงหาคม 2556
อาจเป็นเพราะผมเรียน คณะคหกรรมด้วย จึงมีโอกาสได้ กิน แทบตลอดเวลาที่เรียน ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เป็นอะไรที่เพิ่มน้ำหนักได้ดีมากครับ ใครอยากเพิ่มน้ำหนัก ลองเรียนคณะคหกรรม เอกอาหารดูนะครับ รับรองว่าได้กินทั้งวันแน่ๆ
แต่1ปีหลังจากนั้น มันก็เปลี่ยนไปครับ
สิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป คือมรสุมชีวิต ช่วงอายุ 25ปี ที่จริงผมไม่มีความเชื่อเรื่องเบญจเพศอะไรนะครับ แม้กระทั่งตอนนี้ผมคิดว่ามันก็แค่ช่วงที่ปัญหาหลายๆอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันเท่านั้นเอง
ปัญหาที่อึ้งมากๆเลยคือ ผมไปสมัครงานครับ ไม่ขอบอกนะครับ บริษัทไหน ทุกอย่างราบรื่นดี คะแนนความสามารถผ่าน คะแนนสอบสัมภาษณ์ผ่าน แต่ ผมไมได้งานทำ เพราะ..... คนสัมภาษณ์เค้าบอกว่า ผมน้ำหนักเกินครับ.... ผมก็งงสิครับ ตำแหน่งที่ผมไปสมัครนั้น ไม่ใช่แอร์โฮสเตส ไม่ใช่ฝ่ายเซอร์วิส ไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องเจรจาพูดคุยกับลูกค้าเลย เค้าบอกว่าเค้าต้องการพนักงานที่มีความคล่องแคล่ว มีความคล่องตัวสูง และสุขภาพดี ผมเลยเดินคอตกออกจากบริษัทนั้นครับ ระหว่างทางก็คิดอยู่ในใจว่า กรุอ้วนนี่มันผิดมากเลยหรอ บลาๆๆ
ยังครับ ปัญหายังไม่หมดแค่นั้น
จากน้ำหนักที่มากถึง130กิโล ปัญหาสุขภาพเริ่มถามหา เหนื่อยง่ายมาก เดินขึ้นไปส่งงานชั้น2นี่ ต้องเอามือเกาะราวบันไดเลยครับ แต่ที่หนักที่สุดคือ ผมหน้ามืดครับ วูบไปเฉยๆเลย ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าผมมีความดันสูงและไขมันเลือดก็สูงด้วย มีความเสี่ยงจะเป็นโรคนั่นโรคนี้ บลาๆๆๆ ตอนนั้นบอกได้เลยครับ มันอึดอัดมาก เดินไปร้านค้าข้างๆออฟฟิศผมยังไม่อยากไปเลยครับ มันเหนื่อยมาก ไปไหนก็เหมือนสังคมรังเกียจ กลิ่นตัวแรง คอเป็นพังพืดดำๆ ขึ้นรถเมล์ รถBTS นี่ผมไม่นั่งเลย ยืนประจำ เพราะเวลาไปนั่งตรงไหน บางครั้ง คนที่นั่งก่อนหน้าจะลุกไปยืนเลย ผมเข้าใจนะครับ คือตอนผมอ้วนมากๆ เหงื่อนี่จะออกแทบตลอดเวลา เวลาไปนั่งข้างๆใคร กลิ่นด้วย บางครั้งเหงื่อไปโดนเค้าอีก เบาะก็นั่งแล้วล้นไปกินที่คนอื่น บางคนเอามือมาปิดจมูก มันเลยทำให้เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าไปที่สาธารณะ
แต่ยังครับ ผมยังคิดว่าผมไหว ไม่เป็นไรหรอกน่า ปลอบใจตัวเองต่อไปว่า คนอ้วน มันก็คนนะเว้ย คนอ้วนกว่าเรามีเยอะแยะ เค้ายังมีชีวิตอยู่ดี แล้วทำไม่จะต้องไปลด(ข้ออ้างท้างน้าน)
และแล้ววันนั้นก็มาถึงครับ วันที่มันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย
วันที่ 18สิงหา หลังจากที่เจอปัญหาหนักๆติดกันมาหลายวันผมก็ได้แต่เครียด ครุ่นคิดคิดอยู่จนเกือบเช้า ก็หลับไป ผมตื่นมาอีกที ก็ช่วงสายๆ หลังจากที่ผมตื่นมา ผมมีอาการชาที่ปลายมือปลายเท้าครับพอลุกมานั่งก็มีอาการปวดหัวครับ แน่นหน้าอกด้วย หายใจไม่ค่อยออก คือตอนนั้นผมรู้เลย ว่าความตายมันใกล้นิดเดียว มันทรมานมาก กว่าจะลงมาจากเตียงได้จนผมลงมานั่งกองอยู่กับพื้น น้องที่อยู่บ้านเดียวกันได้ยินเสียงผมตกจากเตียงก็วิ่งขึ้นมาดูแล้วพาผมไปหาหมอ
ตอนนั้นผมคิดได้แล้วว่า ผมต้องเปลี่ยนตัวเองแล้ว ผมอยากเกิดใหม่ ผมอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว แฟนก็ทิ้ง งานก็ไม่รุ่ง และทันใดนั้นเอง ผมก็นึงถึงเพื่อนผมคนนี้ครับ
พี่บิ๊กเป็นคนที่ผอมมากกกกกกกกมาก่อน สูง180กว่า หนักไม่ถึง60 แต่4ปีหลัง มันไปเล่นเวทครับ เข้าฟิตเนส 4ปีผ่านไป สภาพมันก็เป็นแบบนี้ครับ
มันมาเป็นมัด!
เอาล่ะหลังจากที่ได้ครูแล้ว ก็ต้องมีสถานที่ที่จะทำการลดน้ำหนักครับ
ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่บ้านผมอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาลท่าโขลง ซึ่งตรงนี้แหละ เค้ามีโครงการ ที่ต้องการให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี โดยสามารถไปทำบัตรสุขภาพดี เพื่อเข้าใช้บริการ ฟิตเนสของมหาวิทยาลัยได้ฟรี รวมทั้งสระว่ายน้ำก็ ฟรี!!!
ยังครับ ยังไม่พอ พี่บิ๊กเอง เป็นสมาชิกฟิตเนสเฟิร์สมา4ปีแล้วทุกวันเสาร์-อาทิตย์สามารถพาเกสต์เข้าฟรีได้1คน!!!
ทุกอย่างฟรีแทบทั้งหมด แล้วผมทำอะไรอยู่ เหลือแค่ใส่ความยพายามเข้าไปเท่านั้นเอง!
ไม่รอช้า ว่าแล้วก็ไปคุยกับพี่บิ๊กเรื่องนี้ ผมตั้งเป้าว่า ใน1ปี ผมอยากเห็นน้ำหนักผมอยู่ที่เลข 7!และอยากมีซิคแพค นั่นหมายถึงผมตองลดให้ได้มากกว่า50กิโลใน1ปีเลยทีเดียว พี่บิ๊กตอบด้วยความง่ายดายว่า
"ได้เลย! แล้วเมิงอย่าถอดใจนะ..." พี่บิ๊กก็ให้ผมถ่ายรูปแบบถอดเสื้อและชั่งน้ำหนักไว้ เพื่อเปรียบเทียบผลแบบเดือนต่อเดือนครับ
และแล้ววันแรกก็มาถึง วันแรกที่ไปฟิตเนสเฟิร์สกับพี่บิ๊ก พี่บิ๊กจัดเต็ม!!! เล่นเอาผมหมุนพวงมาลัยรถแทบไม่ได้ เรียกว่า ขับรถกลับบ้านแทบไมได้เลย
กระบอกน้ำฟรุ้งฟริ้งมาก!
จะไหวมั้ยเนี่ย!
วันแรกก็แทบจะท้อซะแล้ว พี่บิ๊กเห็นท่าไม่ดี จึงแนะนำวิธีหลักๆให้ครับ
โดยแนะวิธีคือให้กินอาหารคลีน คาร์ดิโอ้ให้หนัก เวทยังไม่ต้องอัดหนักมาก ให้ร่างกายปรับสภาพได้ก่อน แล้วค่อยเล่น...
อาหารคลีนมื้อแรกๆครับ
คาร์ดิโอครั้งแรกของผม เป็นการวิ่ง ตั้งเป้าไว้ว่า ไปกลับปากซอย 2กิโล ตอนเด็กวิ่งประจำ น่าจะไหว...
วิ่งไปได้300เมตร เหงื่อท่วมตัว น้ำลายเหนียว จุกเสียดที่กระบังลม จนผมล้มลง ล้มลงทั้งน้ำตา ว่าเราจะเป็นผู้แพ้แบบนี้ตลอดชีวิตเลยหรอ?
นั่งอยู่สิบกว่านาที พอลุกขึ้นมาอาการดีขึ้น เอาวะ วิ่งไม่ไหว เดินเอาก็ยังดี แต่เชื่อมั้ยครับ ว่าแค่เดินกิโลแรก ผมต้องนั่งพักเป็นสิบนาที กว่าจะเดินกลับจากปากซอยได้ ผมก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่บิ๊ก พี่บิ๊กบอกว่า ใครให้เมิงไปวิ่ง!
อ้าว คาดิโอไม่ใช่วิ่งหรอ? สรุปคือ คาดิโอคือการออกกำลังกายให้หัวใจเต้นในระดับที่สูงระดับนึงต่อเนื่องกันเป็นระยะวเลา30นาทีเป็นต้นไปครับ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรืออะไรก็แล้วแต่ครับ สรุปคือ พรุ่งนี้เปลี่ยน เป็น...ว่ายน้ำครับเพื่อรักษาเข่ากับข้อเท้าด้วย
โอ้ย เรื่องว่ายน้ำ เรื่องจิ๊บๆ สมัยเด็กผมนี่ว่ายไปเกาะทุ่นกลางทะเลมาแล้ว 1กิโล+ แค่นี้สบาย...
แต่แล้ว ไม่น่าเชื่อครับ จากการที่หนัก 130 กิโลนั้น ทำให้ผมว่ายไม่ถึงอีกฝั่งของสระว่ายน้ำ ว่ายได้ครึ่งสระ ต้องต๋อมแต๋มๆท่าลูกหมาตกน้ำเข้าฝั่ง ตอนนั้นก็โมโหตัวเองนะ ไอ้นั้นก็ไม่ไหว ไอ้นี่ก็ไมได้ จะทำสำเร็จมั้ยเนี่ย
วันต่อมา เปลี่ยนเป็นปั่นจักรยานครับ เออ ใช้ได้ หลังจากนั้นก็ปั่นจักรยานวันละ 30นาที ค่อยๆเพิ่มจนมาเป็น 1ชั่วโมง ทำอยู่ประมาณเดือนกว่า เฮ้ย น้ำหนักลง 5โล!!! เหลือ125 กำลังใจมาเพียบเลย
อาหารยังกินคลีนอยู่ตลอดครับ
อาหารคลีนๆที่กินครับ
พอถึงเดือนที่สอง พี่บิ๊กบอกว่า ร่างกายน่าจะโอเคแล้ว ก็มีสอนเล่นเวท ช่วงนี้ฟูลบอดี้เวทครับ เล่นทุกส่วนใน1วัน แต่ไม่หนักเป้าหมายเพื่อเตรียมกล้ามเนื้อสำหรับที่จะจัดหนัก!
พอมาเดือนที่สองนี่ ผมว่ายน้ำได้แล้วครับ สลับกับปั่นจักรยานไปด้วย ช่วงนี้ ผมว่ายน้ำวันละ 20รอบครับ ประมาณ 1000เมตร เหนื่อยก็พักครับ อาหารเน้นโปรตีนมากขึ้น คลีนมากขึ้น เพราะลิ้นชินแล้วกับอาหารรสจืด
ช่วงเดือนที่สองนี้ ตอนเช้า ผมเดินวันละ1-2กิโล ตกเย็นก็เล่นเวท เล่นเวทเสร็จถ้าไม่ว่ายน้ำก็ปั่นจักรยาน อาทิตย์ละ6วันไปเลย
จบเดือนที่สอง
ลงมา10กิโล!!! เฮ้ย เหลือ115 แล้ว
หลังจากสองเดือนผ่านพ้นไป ร่างกายผมก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อยๆเพิ่มระยะทางในการวิ่ง เพิ่มความหนักในการคาร์ดิโอ และการเล่นเวทไปเรื่อยๆ จนครบ 6 เดือน ก็ได้ตามนี้ครับ
จากเดือนที่8-12 เป็นช่วงที่ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ก็มีแต่ความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้นเยอะ มีการคาร์ดิโอที่หลากหลายมากขึ้น ช่วงหลังๆมานี่ ผมเริ่มเปิดกิจการร้านขายอาหารด้วย ทำงานประจำด้วย เล่นเวทด้วย จึงไม่ค่อยมีวเลาวิ่งมากนัก เลยอาศัยการโดดเชือกเข้าช่วยครับ เช้า 3000 เย็น3000 มีการวิ่งลากยางรถยนต์ด้วย แต่ตารางเวทยังคงเดิม น้ำหนักก็ลงมาเรื่อยๆจนแตะอยู่ที่ 83 พร้อมกับเปอร์เซ็นต์ไขมันที่ลดลง ทำให้เริ่มเห็นซิคแพคแล้วครับ ตอนนี้หากวันไหนติดธุระไมได้ไปเล่นเวท ผมก็จะวิดพื้น 400-600แทน ประมาณ 6ท่า ต่อด้วยโดดเชือกอีก3000ครับ กิจกรรมทั้งหมดนี้ สามารถทำได้ในพื้นที่ประมาณ 2-2ตารางเมตรครับ
สำหรับตารางอาหาร และตารางเวท ผมลงให้แล้วนะครับ อันนี้เอาของเก่าๆมาลง มีหลายอันหน่อย เพราะผมจะปรับตารางให้ตรงกับเวลาที่ไม่แน่นอนของผมในแต่ล่ะเดือนครับ