สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 43
แปลกทำไมเราอ่านมาไม่เห็นเหมือนกัน
คดีถูกยกฟ้องเพราะล่ามแปลผิด อิทเซย์บอกว่า สมัยเด็กๆเค้าเป็นพังผืดกระเพาะอักเสบ
แต่ล่ามในศาลแปลว่า สมัยเด็กๆ อิทเซย์เป็นโรคพังผืดสมองอักเสบ
ศาลจึงเข้าใจผิดว่า อิทเซย์มีความผิดปกติทางสมองจึงวิกลจริต
และยกฟ้อง เลิกสอบสวน ส่งตัวกลับญี่ปุ่น
โดยไม่ได้รักษาอะไร เพราะเข้าใจว่าเป็นโรคที่เป็นติดตัวมาแต่เกิด
มาถึงญี่ปุ่น หมอญี่ปุ่นตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร แค่คนคนนี้ เป็นคนวิกลจริต
สามารถเอาผิดตามกม.ได้ ญี่ปุ่นก้อเดือดร้อน อยากจับนะ จะส่งตัวคืนให้ฝรั่งเศสดำเนินคดี
แต่ฝรั่งเศสบอกยกฟ้องไปแล้ว เรียกคดีคืนมาไม่ได้
ทางญี่ปุ่นอยากลงโทษมัน แต่ก้อทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะโจทก์และหลักฐานอยู่ต่างแดน
มันเลยจบที่ เอาผิดคนคนนี้ไม่ได้เลย
ส่วนเรื่องพ่อเค้าช่วยมั๊ย
พ่อเค้าเคยช่วย ตอนคดีกัดหัวฝรั่งสาว ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อฝรั่งเศส
แต่พอเกิดคดีกินศพนี่ ก้อไม่ได้ช่วย ลาออกจากงาน
อิทเซย์บอกเองว่า ขโมยเงินพ่อใช้ และเคยขโมยเชลโล่น้องชายไปขายเพื่อหาเงินเลี้ยงตัว
เรื่องเป็นเซเลปก้อไม่จริง เจ้าตัวบอกเองว่า หางานทำไม่ได้เลย ร่อนใบสมัครงานเป็นร้อยที่ๆม่มีใครเอา
จู่ๆ มีรายการข่าวเสนอให้ไปวิเคราะห์ข่าวคดีฆ่าเด็กต่อเนื่องมิยาซากิ สึโตมุ
เลยรีบคว้างานไว้ และจากนั้นก้อมีงานอื่นๆมาอีกเรื่อยๆ แต่จะเป็นงานแนวล้อเลียนเค้า
ว่าไอแห้งนี่นะ เคยกินคน คือ ให้ไมนุษย์กินคนคนนี้ ไปออกกำลังกาย จับแก้ผ้าโชว์
ดูเองเถอะ เราว่าเหมือน โดนโชว์แฝดสยาม แค่ของแปลก แล้วเอามาโชว์ เชิงทารุณ
เจ้าตัวบอกเองนะ ว่า รายการพวกนี้ล้อเลียน เสียดสีชีวิตเค้ามาก
จากนั้นมีสนพ.มาขอให้เขียนหนังสือ เค้ามีหนังสือหลายเล่มไม่ใช่แค่เล่มเดียวนะคะ
แถมพวกสนพ.ปุ่นตลกร้ายมาก มาขอให้เค้าแปลหนังสือรูปคดีของเค้าเอง (ที่ชาวฝรั่งเศสเขียน)
(คาดว่า สนพ.ตั้งใจจะเอาแค่ บทความคนแปล แค่นั้นแหละ จะได้เป็นจุดขายอีก เจ้าของคดีแปลเอง)
เพราะเกิดคดีนี้ จากลูกคุณหนู ลูกชายคนโตเจ้าของโรงงาน เลยกลายเป็นฆาตกรยาจกไปเลยนะคะ
เพราะเคยไปยืมเงินนอกระบบ (ยากุซ่า) เป็นหนี้ท่วมหัว ต้องไปอยู่แฟลชหลวง และเคยขอเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ของหลวงด้วย
พ่อแม่ตายก้อไม่ได้ไปงานศพนะ เพราะญาติไม่ให้เข้า
สัมภาษณ์ล่าสุดที่เราดู เราว่าเค้าสำนึกผิดเยอะแล้วนะ
ยังอยากกอนคนมั๊ย ไม่รู้ แต่เราว่า ถึงไม่อยากกิน ก้อต้องบอกว่า อยากกิน
เพราะนี่คือต้นทุนสุดท้ายของเค้าที่จะใช้ทำมาหากิน พอจะให้มีคนมาสนใจ
ให้เงิน เพื่อสัมภาษณ์ได้บ้าง...
คนคนนี้จบปริญญาเอก ที่ฝรั่งเศส สมองและภาษา ไม่ธรรมดานะคะ
ปล. ที่อยากจะเรียนคือ
1. พ่อไม่ได้ภูมิใจในตัวเค้า หลังคดี พ่อต้องลาออกจากงาน และแม่เป็นบ้าค่ะ
2. คนญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเค้าเป็นคนดัง เซเลปอะไร ได้ออกทีวีจริงๆ แค่ช่วงปี 1989-2001 แค่นั้นเอง
3. เค้าไม่ได้เข้ารับการบำบัดรักษาอะไรที่ไหนเลย หลังคดีถูกยกฟ้อง เค้าก้ออยู่ของเค้าไปเรื่อย
ไม่ได้จะอวยญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นไม่ได้บ้าอย่างที่คุณๆคิด
เรื่องการเอาเค้ามาวิเคราะห์ข่าว มันสืบเนื่องมาจาก นั่นเป็นยุคสมัย บับเบิ้ลของญี่ปุ่น
อิสระของสื่อเยอะมาก หยาบคาย โป๊ เห็นก้น เห็นนม เปลือยบน โชว์ทีแบ็ค ออกทีวี กลางวันแสกๆเรื่องปกติ
คนแบบนี้จะออกมาให้เห็นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
โปรดไปอ่าน วัฒนธรรมชาวญี่ปุ่นในยุคบับเบิ้ลกันเองนะคะ จะได้เห็นภาพ เข้าใจอะไรๆมากขึ้น
คดีถูกยกฟ้องเพราะล่ามแปลผิด อิทเซย์บอกว่า สมัยเด็กๆเค้าเป็นพังผืดกระเพาะอักเสบ
แต่ล่ามในศาลแปลว่า สมัยเด็กๆ อิทเซย์เป็นโรคพังผืดสมองอักเสบ
ศาลจึงเข้าใจผิดว่า อิทเซย์มีความผิดปกติทางสมองจึงวิกลจริต
และยกฟ้อง เลิกสอบสวน ส่งตัวกลับญี่ปุ่น
โดยไม่ได้รักษาอะไร เพราะเข้าใจว่าเป็นโรคที่เป็นติดตัวมาแต่เกิด
มาถึงญี่ปุ่น หมอญี่ปุ่นตรวจไม่พบความผิดปกติอะไร แค่คนคนนี้ เป็นคนวิกลจริต
สามารถเอาผิดตามกม.ได้ ญี่ปุ่นก้อเดือดร้อน อยากจับนะ จะส่งตัวคืนให้ฝรั่งเศสดำเนินคดี
แต่ฝรั่งเศสบอกยกฟ้องไปแล้ว เรียกคดีคืนมาไม่ได้
ทางญี่ปุ่นอยากลงโทษมัน แต่ก้อทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะโจทก์และหลักฐานอยู่ต่างแดน
มันเลยจบที่ เอาผิดคนคนนี้ไม่ได้เลย
ส่วนเรื่องพ่อเค้าช่วยมั๊ย
พ่อเค้าเคยช่วย ตอนคดีกัดหัวฝรั่งสาว ก่อนจะเดินทางไปเรียนต่อฝรั่งเศส
แต่พอเกิดคดีกินศพนี่ ก้อไม่ได้ช่วย ลาออกจากงาน
อิทเซย์บอกเองว่า ขโมยเงินพ่อใช้ และเคยขโมยเชลโล่น้องชายไปขายเพื่อหาเงินเลี้ยงตัว
เรื่องเป็นเซเลปก้อไม่จริง เจ้าตัวบอกเองว่า หางานทำไม่ได้เลย ร่อนใบสมัครงานเป็นร้อยที่ๆม่มีใครเอา
จู่ๆ มีรายการข่าวเสนอให้ไปวิเคราะห์ข่าวคดีฆ่าเด็กต่อเนื่องมิยาซากิ สึโตมุ
เลยรีบคว้างานไว้ และจากนั้นก้อมีงานอื่นๆมาอีกเรื่อยๆ แต่จะเป็นงานแนวล้อเลียนเค้า
ว่าไอแห้งนี่นะ เคยกินคน คือ ให้ไมนุษย์กินคนคนนี้ ไปออกกำลังกาย จับแก้ผ้าโชว์
ดูเองเถอะ เราว่าเหมือน โดนโชว์แฝดสยาม แค่ของแปลก แล้วเอามาโชว์ เชิงทารุณ
เจ้าตัวบอกเองนะ ว่า รายการพวกนี้ล้อเลียน เสียดสีชีวิตเค้ามาก
จากนั้นมีสนพ.มาขอให้เขียนหนังสือ เค้ามีหนังสือหลายเล่มไม่ใช่แค่เล่มเดียวนะคะ
แถมพวกสนพ.ปุ่นตลกร้ายมาก มาขอให้เค้าแปลหนังสือรูปคดีของเค้าเอง (ที่ชาวฝรั่งเศสเขียน)
(คาดว่า สนพ.ตั้งใจจะเอาแค่ บทความคนแปล แค่นั้นแหละ จะได้เป็นจุดขายอีก เจ้าของคดีแปลเอง)
เพราะเกิดคดีนี้ จากลูกคุณหนู ลูกชายคนโตเจ้าของโรงงาน เลยกลายเป็นฆาตกรยาจกไปเลยนะคะ
เพราะเคยไปยืมเงินนอกระบบ (ยากุซ่า) เป็นหนี้ท่วมหัว ต้องไปอยู่แฟลชหลวง และเคยขอเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ของหลวงด้วย
พ่อแม่ตายก้อไม่ได้ไปงานศพนะ เพราะญาติไม่ให้เข้า
สัมภาษณ์ล่าสุดที่เราดู เราว่าเค้าสำนึกผิดเยอะแล้วนะ
ยังอยากกอนคนมั๊ย ไม่รู้ แต่เราว่า ถึงไม่อยากกิน ก้อต้องบอกว่า อยากกิน
เพราะนี่คือต้นทุนสุดท้ายของเค้าที่จะใช้ทำมาหากิน พอจะให้มีคนมาสนใจ
ให้เงิน เพื่อสัมภาษณ์ได้บ้าง...
คนคนนี้จบปริญญาเอก ที่ฝรั่งเศส สมองและภาษา ไม่ธรรมดานะคะ
ปล. ที่อยากจะเรียนคือ
1. พ่อไม่ได้ภูมิใจในตัวเค้า หลังคดี พ่อต้องลาออกจากงาน และแม่เป็นบ้าค่ะ
2. คนญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าเค้าเป็นคนดัง เซเลปอะไร ได้ออกทีวีจริงๆ แค่ช่วงปี 1989-2001 แค่นั้นเอง
3. เค้าไม่ได้เข้ารับการบำบัดรักษาอะไรที่ไหนเลย หลังคดีถูกยกฟ้อง เค้าก้ออยู่ของเค้าไปเรื่อย
ไม่ได้จะอวยญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นไม่ได้บ้าอย่างที่คุณๆคิด
เรื่องการเอาเค้ามาวิเคราะห์ข่าว มันสืบเนื่องมาจาก นั่นเป็นยุคสมัย บับเบิ้ลของญี่ปุ่น
อิสระของสื่อเยอะมาก หยาบคาย โป๊ เห็นก้น เห็นนม เปลือยบน โชว์ทีแบ็ค ออกทีวี กลางวันแสกๆเรื่องปกติ
คนแบบนี้จะออกมาให้เห็นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
โปรดไปอ่าน วัฒนธรรมชาวญี่ปุ่นในยุคบับเบิ้ลกันเองนะคะ จะได้เห็นภาพ เข้าใจอะไรๆมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
เรื่องน่าทึ่ง!! คนญี่ปุ่นที่เป็นฆาตรกินเนื้อคน พอกลับญี่ปุ่นได้กลายเป็น "เซเลบ"
http://www.dek-d.com/board/view/1483251/
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=blacksunday&month=22-03-2009&group=3&gblog=5
หนังสือฆ่ากินศพ โดย ส.องครักษ์ สำนักพิมพ์เครือเถา
ความสุขของอิสเซ
ทุกวันนี้อิสเซ วากาวะ มีความสุขกับการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการตกเป็นเป้าสนใจของสื่อต่างๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นดารา ส่วนสาธารณะชนแทนที่จะประฌานกับยกย่องและตั้งฉายาให้เขาว่า "บิดาแห่งการกินคน" รู้สึกอิสเซจะพอใจฉายานี้มากถึงกับหลุดปากว่า "ยอดว่ะ"
นอกจากนี้อิสเซยังออกรายการทอร์ค โชว์เพื่อพูดประสบการณ์กินคน และได้แสดงภาพยนตร์ลามกที่ผลิตในประเทศอีกหลายเรื่อง(อิจฉาจัง) เมื่อมีเวลาว่างก็เขียนนวนิยายรวม ๔ เล่มด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับฆ่ากินศพของเรนีหนังสือเล่มนั้นชื่อว่า"IN THE FOG" ซึ่งขายดีระดับ BEST SELLING สามารถขายได้กว่า ๒๐๐,๐๐๐ เล่มจนพ่อของอิสเซต้องภูมิใจ
นอกจากนี้ความดังของอิสเซจะปรากฏในรูปแบบสื่อต่างๆ มากมาย เช่น
วงโรลริ่ง สโตน ได้แต่งเพลงชื่อ "เลือดท่วม" อันเนื่องจากประทับใจการกินคนของอิสเซ
เรื่องของเขาได้ดัดแปลงเป็นการ์ตูน
ได้ถ่ายปกเปลือยให้ร้านอาหารชื่อดังในญี่ปุ่น
เปิดเว็บ ไซท์ ของตัวเอง ให้คนเยี่ยมชมว่าการกินเนื้อคนไม่ใช้เรื่องน่ารังเกียจเดียดฉันแต่อย่างใด พร้อมให้คนไปเยื่ยมชมภาพเขียนรูปก้นของสตรียุโรปให้ดูอย่างเป็นศิลปะ
อิสเซใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระอยู่อย่างสงบสุขในบ้านเกิด และเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อตราบชั่วอายุไข
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------->
ต่อไปนี้คือ ความชั่วที่น่าสยดสยองที่สุด
อิซเซ ซากาวะ (บางข่าวก็ว่าเป็น อิซซากะ ซากาวะ หรือ อิสเซ)
ซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน ๕ ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศ
ซากาวะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแต่ร่างกายค่อน ข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตนเอง แต่เขาชอบวรรณกรรมซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศหลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยวาโกอย่างสบายและที่ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึกซึ้งซึ้งจนอยากกินพวกเธอ
เรนี ฮาร์เทเวล
ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๘๑
อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน
เร นีเป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ ๒๕ ปี ผมสีบบลอนด์ พูดได้ถึง ๓ ภาษา เธอตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบ อาชีพในอนาคต
อิสเซหลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาวเนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้
ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้
อิส เซเริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้ รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน
แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดงพฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่าแม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ให้จงได้
เรนีเห็นพฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง
และ แล้ววันนั้นก็มาถึง.....................(จากคำให้การของอิสเซใน เวลาต่อมาบอกว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าโสเภณีเพื่อฆ่ากินศพหลายครั้งแล้ว แต่ตัดใจก่อนเพราะทำไม่ลง)
(ต่อด้านล่าง)