การสรุปหลักกาลามสูตรว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณาก่อนจึงค่อยเชื่อ" นั้นไม่ถูกต้องเพราะหลักกาลามสูตรก็บอกอยู่แล้วว่า
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ได้ยินได้ฟังมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า กำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการบันทึกไว้ในตำรา
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า คาดเดาตามสามัญสำนึก
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการคาดคะเนตามเหตุแวดล้อม (นัยยะ)
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการตรึกตรองตามหลักเหตุผล (ตรรกะ)
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ชอบใจที่ตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้พูดนั้นดูภายนอกมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้พูดนี้คือครูอาจารย์ที่เรานับถือ
การพิจารณานั้นคืออไร? การพิจารณาก็คือการไตร่ตรองโดยอาจใช้เหตุผล หรือใช้การดูจากสิ่งที่อ้างอิง เช่นตำรา หรือตัวบุคคล หรือดูจากคำล่ำลือ หรือดูจากการที่มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น มาตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่ใช้พิจารณานั้นก็อยู่ในหลักที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเชื่อทั้ง ๑๐ นี้ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่บอกว่า "ให้พิจารณาก่อนจึงค่อยเชื่อ" นั้นจึงไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ถูกต้องก็คือ เมื่อเราได้เรียนรู้หลักคำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย (ซึ่งนี่ยังเป็นแค่การพิจารณา) แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าลองปฏิบัติเต็มมาตรฐานแล้ว ความทุกข์ไม่ดับลงหรือลดลง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วบังเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริง จึงค่อยปลงใจเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า หลักกาลามสูตรจะสอนว่า "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง แต่ให้เชื่อความจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น" ซึ่งการไตร่ตรองยังไม่สามารถทำให้เรารู้ว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่ถูกต้องได้ เพราะยังไม่ได้มีการลงมือปฏิบัติจริงๆ จะต้องมีการปฏิบัติจนเห็นผลจริงก่อน เราจึงจะรู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่ถูกต้อง (คือดับทุกข์ได้) และคำสอนใดเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง (คือดับทุกข์ไม่ได้) ตามหลักกาลามสูตร
การสรุปหลักกาลามสูตรว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณาก่อนจึงค่อยเชื่อ" นั้นไม่ถูกต้อง
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ได้ยินได้ฟังมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า กำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการบันทึกไว้ในตำรา
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า คาดเดาตามสามัญสำนึก
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการคาดคะเนตามเหตุแวดล้อม (นัยยะ)
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการตรึกตรองตามหลักเหตุผล (ตรรกะ)
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ชอบใจที่ตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้พูดนั้นดูภายนอกมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้พูดนี้คือครูอาจารย์ที่เรานับถือ
การพิจารณานั้นคืออไร? การพิจารณาก็คือการไตร่ตรองโดยอาจใช้เหตุผล หรือใช้การดูจากสิ่งที่อ้างอิง เช่นตำรา หรือตัวบุคคล หรือดูจากคำล่ำลือ หรือดูจากการที่มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว เป็นต้น มาตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่ใช้พิจารณานั้นก็อยู่ในหลักที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเชื่อทั้ง ๑๐ นี้ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่บอกว่า "ให้พิจารณาก่อนจึงค่อยเชื่อ" นั้นจึงไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ถูกต้องก็คือ เมื่อเราได้เรียนรู้หลักคำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย (ซึ่งนี่ยังเป็นแค่การพิจารณา) แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าลองปฏิบัติเต็มมาตรฐานแล้ว ความทุกข์ไม่ดับลงหรือลดลง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วบังเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริง จึงค่อยปลงใจเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า หลักกาลามสูตรจะสอนว่า "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง แต่ให้เชื่อความจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น" ซึ่งการไตร่ตรองยังไม่สามารถทำให้เรารู้ว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่ถูกต้องได้ เพราะยังไม่ได้มีการลงมือปฏิบัติจริงๆ จะต้องมีการปฏิบัติจนเห็นผลจริงก่อน เราจึงจะรู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่ถูกต้อง (คือดับทุกข์ได้) และคำสอนใดเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง (คือดับทุกข์ไม่ได้) ตามหลักกาลามสูตร