พื้นฐานข้อต่อไปที่เราจะต้องยอมรับความจริงก็คือเรื่องความเชื่อ ซึ่งความเชื่อนั้นคือความมั่นใจว่าความรู้ที่เราได้รู้มานั้นจะเป็นความจริง โดยความเชื่อกับความจริงนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน คือความเชื่อนั้นยังเป็นแค่ทฤษฎีที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นจริง ส่วนความจริงนั้นเป็นสิ่งที่เราได้พิสูจน์หรือพบเห็นหรือได้สัมผัสจนแจ้งประจักษ์แล้ว ต่อเมื่อความเชื่อใดที่เราได้พิสูจน์จนเห็นผลแจ้งประจักษ์อย่างแน่ชัดแล้ว ความเชื่อนั้นจึงจะถูกต้องหรือเป็นความจริงได้ ส่วนความเชื่อที่ยังไม่ได้พิสูจน์หรือพิสูจน์แล้วแต่ไม่เห็นผลแจ้งประจักษ์ ก็ยังคงเป็นแค่ทฤษฎีหรือความเชื่อต่อไป จะบอกว่าเป็นความจริงไม่ได้ ถึงแม้จะมีการยืนยันจากบุคลหรือตำราใดๆก็ตาม
หลักในการสร้างความเชื่อที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้นั้นก็สรุปได้ดังนี้
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการบอกต่อๆกันมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า เห็นเขาทำตามๆกันมา
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีตำราอ้างอิง
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลตรงๆรองรับ (ตรรกะ)
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลแวดล้อมรองรับ (นัยยะ)
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ (การคาดเดา)
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้สอนนี้ดูแล้วมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้สอนนี้เป็นครูของเราเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้หลักคำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้เรานำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นมีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์และไม่มีโทษก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติหรือพิสูจน์ดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติอย่างเต็มมาตรฐานแล้วไม่เห็นผลจริงก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าได้ทดลองปฏิบัติแล้วปรากฏว่าเห็นผลจริง ก็ให้ปลงใจเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า “อย่าเชื่อใครแม้แต่ตัวเอง แต่ให้พิสูจน์จนเห็นจริงก่อนจึงค่อยเชื่อ” ซึ่งนี่คือหลักสำคัญมากที่เราจะต้องนำมาใช้ในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามวิธีการของพระพุทธเจ้า คือเราจะต้องทำใจให้ว่างหรือเป็นอิสระจากความเชื่อทั้งหลายก่อน แล้วนำความรู้หรือทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มานั้นมาทดลองหรือพิสูจน์ดูก่อน เมื่อพิสูจน์แล้วได้ผลจึงค่อยปลงใจเชื่อว่าความรู้หรือทฤษฎีนั้นเป็นความจริง ซึ่งหลักความเชื่อของพระพุทธเจ้านี้ก็ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ของสมัยใหม่นี้นั่นเอง
นี่คือพื้นฐานข้อที่ ๕ ที่เราจะต้องยอมรับความจริงว่า ทฤษฎีหรือความรู้จากคนอื่น รวมทั้งจากที่ได้จากตัวเราเองนั้น เราจะเชื่อว่าเป็นความจริงไม่ได้ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดก่อนเท่านั้น จึงจะเชื่อว่าเป็นความจริงได้ เพราะการเชื่ออะไรล่วงหน้าโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงนั้น จะทำให้เรากลายเป็นคนงมงายไปโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งการเชื่ออะไรล่วงหน้านั้นก็จะทำให้เรายึดติดอยู่ในความเชื่อนั้นว่าถูกต้องหรือเป็นจริงแล้ว แล้วก็จะทำให้เราไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความเชื่อนั้น หรือแม้จะพิสูจน์แล้วถ้าบังเอิญว่าความเชื่อนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นจริง จึงไม่บังเกิดผลจริง แต่ก็ยังคงเชื่อว่าเป็นเพราะเรายังพิสูจน์ไม่จริงจังเต็มที่ จึงยังไม่เกิดผลจริง จึงทำให้เรายังคงจมติดอยู่ในความเชื่อที่ผิดนั้นต่อไป หรือเมื่อบังเอิญเรามีความเชื่อที่ผิดที่ยึดมั่นเอาแล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว แล้วเราก็จะพยายามปฏิบัติเพื่อเดินไปสู้เป้าหมายนั้นให้ได้ แต่ว่าการปฏิบัติกลับบังเอิญพาเราเดินไปในทางที่ถูกต้องหรือเป็นจริง เราก็จะไม่รู้ว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว เพราะเรายังเชื่อว่าการเดินทางที่ถูกต้อง จะต้องไปยังเป้าหมายที่เราได้ตั้งเอาไว้แล้วตามความเชื่อเท่านั้น ซึ่งนี่ก็จะยังทำให้เราไม่พบกับความจริงและยังจมอยู่กับความเชื่อที่ผิดนั้นต่อไปโดยไม่ได้รับประโยชน์จากความเชื่อนั้น
อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง
หลักในการสร้างความเชื่อที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้นั้นก็สรุปได้ดังนี้
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการบอกต่อๆกันมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า เห็นเขาทำตามๆกันมา
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีการล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีตำราอ้างอิง
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลตรงๆรองรับ (ตรรกะ)
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มีเหตุผลแวดล้อมรองรับ (นัยยะ)
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ (การคาดเดา)
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้สอนนี้ดูแล้วมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่า ผู้สอนนี้เป็นครูของเราเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้หลักคำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้เรานำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นมีโทษก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์และไม่มีโทษก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติหรือพิสูจน์ดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติอย่างเต็มมาตรฐานแล้วไม่เห็นผลจริงก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าได้ทดลองปฏิบัติแล้วปรากฏว่าเห็นผลจริง ก็ให้ปลงใจเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า “อย่าเชื่อใครแม้แต่ตัวเอง แต่ให้พิสูจน์จนเห็นจริงก่อนจึงค่อยเชื่อ” ซึ่งนี่คือหลักสำคัญมากที่เราจะต้องนำมาใช้ในการศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ตามวิธีการของพระพุทธเจ้า คือเราจะต้องทำใจให้ว่างหรือเป็นอิสระจากความเชื่อทั้งหลายก่อน แล้วนำความรู้หรือทฤษฎีที่ได้เรียนรู้มานั้นมาทดลองหรือพิสูจน์ดูก่อน เมื่อพิสูจน์แล้วได้ผลจึงค่อยปลงใจเชื่อว่าความรู้หรือทฤษฎีนั้นเป็นความจริง ซึ่งหลักความเชื่อของพระพุทธเจ้านี้ก็ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ของสมัยใหม่นี้นั่นเอง
นี่คือพื้นฐานข้อที่ ๕ ที่เราจะต้องยอมรับความจริงว่า ทฤษฎีหรือความรู้จากคนอื่น รวมทั้งจากที่ได้จากตัวเราเองนั้น เราจะเชื่อว่าเป็นความจริงไม่ได้ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดก่อนเท่านั้น จึงจะเชื่อว่าเป็นความจริงได้ เพราะการเชื่ออะไรล่วงหน้าโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงนั้น จะทำให้เรากลายเป็นคนงมงายไปโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งการเชื่ออะไรล่วงหน้านั้นก็จะทำให้เรายึดติดอยู่ในความเชื่อนั้นว่าถูกต้องหรือเป็นจริงแล้ว แล้วก็จะทำให้เราไม่สนใจที่จะพิสูจน์ความเชื่อนั้น หรือแม้จะพิสูจน์แล้วถ้าบังเอิญว่าความเชื่อนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นจริง จึงไม่บังเกิดผลจริง แต่ก็ยังคงเชื่อว่าเป็นเพราะเรายังพิสูจน์ไม่จริงจังเต็มที่ จึงยังไม่เกิดผลจริง จึงทำให้เรายังคงจมติดอยู่ในความเชื่อที่ผิดนั้นต่อไป หรือเมื่อบังเอิญเรามีความเชื่อที่ผิดที่ยึดมั่นเอาแล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว แล้วเราก็จะพยายามปฏิบัติเพื่อเดินไปสู้เป้าหมายนั้นให้ได้ แต่ว่าการปฏิบัติกลับบังเอิญพาเราเดินไปในทางที่ถูกต้องหรือเป็นจริง เราก็จะไม่รู้ว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว เพราะเรายังเชื่อว่าการเดินทางที่ถูกต้อง จะต้องไปยังเป้าหมายที่เราได้ตั้งเอาไว้แล้วตามความเชื่อเท่านั้น ซึ่งนี่ก็จะยังทำให้เราไม่พบกับความจริงและยังจมอยู่กับความเชื่อที่ผิดนั้นต่อไปโดยไม่ได้รับประโยชน์จากความเชื่อนั้น