ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อก่อน แล้วจึงค่อยพิสูจน์ความเชื่อทีหลัง ถึงแม้จะยังพิสูจน์ความเชื่อไม่ได้ก็ให้เชื่อไว้ก่อน หรือพิสูจน์แล้วพบว่าความเชื่อนั้นไม่เป็นความจริง ก็ให้ยึดถือว่าความเชื่อนั้นถูกต้องไว้ก่อน ส่วนความจริงที่ได้ค้นพบก็ให้ทิ้งไปหรือไม่สนใจนำมาศึกษาเพราะมันขัดแย้งกับความเชื่อ
แต่ในความเป็นจริงนั้นพระพุทธเจ้าได้ทางวางหลักในการสร้างความเชื่อเอาไว้ที่เรียกว่า หลักกาลามสูตร (พระสูตรที่สอนแก่ชนชาวกาลามะของอินเดีย) ซึ่งหลักกาลามสูตรนี้เป็นหลักสำคัญสำหรับผู้ที่จะศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลักกาลามสูตรนี้มีใจความโดยสรุปว่า
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ได้ยินได้ฟังมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ กำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ มีการบันทึกไว้ในตำรา
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ คาดเดาตามสามัญสำนึก
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ คาดคะเนตามเหตุที่แวดล้อม
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ตรึกตรองตามหลักเหตุผล
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ เข้ากันได้กับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ผู้พูดนั้นดูภายนอกมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ผู้พูดนี้คือครูอาจารย์ที่เรานับถือ
เมื่อเราได้เรียนรู้คำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษ รวมทั้งผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลางติเตียน ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีโทษ รวมทั้งผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลางไม่ติเตียน ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติเต็มมาตรฐานแล้ว ความทุกข์ไม่ดับลงหรือลดลงจริง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วบังเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริง จึงค่อยปลงใจเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้พิสูจน์ก่อนเชื่อ ไม่ได้สอนให้เชื่อก่อนพิสูจน์ เพราะถ้าพิสูจน์ก่อนเชื่อ ก็จะทำให้ค้นพบว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และคำสอนใดไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือถ้าคำสอนใดพิสูจน์แล้วพบว่าใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคำสอนใดพิสูจน์แล้วพบว่าใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้ ก็แสดงว่าคำสอนนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเราเชื่อก่อน เราก็จะไม่สนใจที่จะพิสูจน์เพราะเราเชื่อแล้วว่าความเชื่อนั้นมันถูกต้องหรือเป็นความจริง หรือถึงเราจะพิสูจน์แล้วแต่ผลมันไม่ตรงกับที่เราเชื่อ เราก็จะไม่ยอมรับผลที่พิสูจน์นั้น เพราะเราได้ยึดมั่นในความเชื่อนั้นไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว ก็จะทำให้เราจมติดอยู่ในความเชื่อที่ไร้ประโยชน์และไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปจนวันตายถ้ายังไม่ยอมรับความจริง
ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริงเรื่องความเชื่อ
แต่ในความเป็นจริงนั้นพระพุทธเจ้าได้ทางวางหลักในการสร้างความเชื่อเอาไว้ที่เรียกว่า หลักกาลามสูตร (พระสูตรที่สอนแก่ชนชาวกาลามะของอินเดีย) ซึ่งหลักกาลามสูตรนี้เป็นหลักสำคัญสำหรับผู้ที่จะศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า ซึ่งหลักกาลามสูตรนี้มีใจความโดยสรุปว่า
๑. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ได้ยินได้ฟังมา
๒. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณ
๓. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ กำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน
๔. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ มีการบันทึกไว้ในตำรา
๕. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ คาดเดาตามสามัญสำนึก
๖. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ คาดคะเนตามเหตุที่แวดล้อม
๗. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ตรึกตรองตามหลักเหตุผล
๘. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ เข้ากันได้กับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว
๙. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ผู้พูดนั้นดูภายนอกมีความน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะ ผู้พูดนี้คือครูอาจารย์ที่เรานับถือ
เมื่อเราได้เรียนรู้คำสอนใดมา ก่อนอื่นก็ให้นำมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าเห็นว่ามีโทษ รวมทั้งผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลางติเตียน ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีโทษ รวมทั้งผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลางไม่ติเตียน ก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าทดลองปฏิบัติเต็มมาตรฐานแล้ว ความทุกข์ไม่ดับลงหรือลดลงจริง ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าทดลองปฏิบัติดูแล้วบังเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริง จึงค่อยปลงใจเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป
สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนให้พิสูจน์ก่อนเชื่อ ไม่ได้สอนให้เชื่อก่อนพิสูจน์ เพราะถ้าพิสูจน์ก่อนเชื่อ ก็จะทำให้ค้นพบว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และคำสอนใดไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือถ้าคำสอนใดพิสูจน์แล้วพบว่าใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคำสอนใดพิสูจน์แล้วพบว่าใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้ ก็แสดงว่าคำสอนนั้นไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเราเชื่อก่อน เราก็จะไม่สนใจที่จะพิสูจน์เพราะเราเชื่อแล้วว่าความเชื่อนั้นมันถูกต้องหรือเป็นความจริง หรือถึงเราจะพิสูจน์แล้วแต่ผลมันไม่ตรงกับที่เราเชื่อ เราก็จะไม่ยอมรับผลที่พิสูจน์นั้น เพราะเราได้ยึดมั่นในความเชื่อนั้นไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว ก็จะทำให้เราจมติดอยู่ในความเชื่อที่ไร้ประโยชน์และไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ไปจนวันตายถ้ายังไม่ยอมรับความจริง