สิ่งเล็กๆ กับกำลังใจ ในวันที่ฉันป่วย ^^

เรื่องดีที่อยากแชร์ ....เนื่องจากในวันที่ 6 มกราคม 2555ที่ผ่านมา..นานเหมือนกันเนอะ.. เราได้รับการผ่าตัด เนื้องอกที่ขากรรไกร ต้องทำการตัดขากรรไกร เหงือก ฟัน ออกหมดแล้วปลูกถ่ายกระดูกเส้นเลือด เส้นประสาทใหม่ โดยการผ่าเอากระดูก เนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทที่ขามาทำการปลูกถ่ายใหม่ ซึ้งเป็นการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลา ตั้งแต่ 9.00-23.xx น. เพื่อนๆคิดดูมันนานแค่ไหน เป็นเวลาอันยาวนานกว่าสิบกว่า ชม. ในวันที่มาแอดมิตนั้นก็มีอุปสรรค์หลายๆอย่างแต่เราก็ยังมีคนที่คอยดูแลเราในตอนนั้นดีใจนะ.. แต่ในใจก็คอยคิดว่าไม่รู้พรุ้งนี้การผ่าตัดจะเป็นยังไงเราจะตื้นขึ้นมามั้ย แล้วสภาพหลังผ่าจะเป็นยังไงจะเสียโฉมมั้ย(ช้านยังไม่แต่งงานนะ 55)แล้วแฟนเราเขาจะยังรักเราหรือเปล่า ในตอนนั้นเรากลัวเราไม่ได้ตื่นมาเจอหน้าพ่อแม่น้องคนรักกลัวมากๆ แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จบแล้ว นอนไม่ค่อยหลับกังวล แต่ยังมีกำลังใจจากคนรักและครอบครัว และแล้วเช้าวันผ่าตัดก็มาถึง มือเราเย็นเฉียบหัวใจเต้นแรงหายใจไม่ทั่วท้อง วิตกกังวลต่างๆนาๆสารพัด และการผ่าตัดก็เริ่มขึ้น คุณหมอฉีดยาสลบเข้าไปตอนไหนไม่รู้ หลับตอนไหนไม่รู้ เราหลับไปคงนาน สิบกว่า ชม. แต่ความรู้สึกแป๊ปเดียวตื่นมาอีกทีเพราะเสียงคุณพยาบาลเรียก ด้วยฤทธิ์ยาสลบทำให้เรารู้สึกง่วงเหลือเกิน แต่พอจะมองเห็นอะไรบ้าง.. สิ่งแรกที่เห็นคือ...หน้าอันหล่อเหลาของคุณหมอคนนึง ว้าว หล่อน่ารักจัง 555แอบคิดในใจ.. แต่ก็ช่างเถอะ แต่ในตอนนั้นความรู้สึกแว๊ปแรกที่เรารู้สึกคือเรารอดแล้ว!! เรายังไม่ตาย เรารู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่กลับมา ดีใจจะหายแล้ว ดีใจจนน้ำตาจะไหล อยากขอบคุณ คุณหมอทุกท่านและพยาบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนมากค่ะ และภาพที่เราเห็นอีกภาพคือภาพของแม่และน้องสาวซึ่งมีสีหน้าที่แสนจะป็นห่วงเป็นใยกังวลมากพอสมควร แต่ในใจก็มองหาพ่อ และอีกคนสำคัญแฟนช้านล่ะ..แอบคิดหายไปไหนนะ..เออ!! แต่แล้วเขาก็เข้ามาพร้อมกับพ่อ พ่อดูเป็นห่วงเรามาก ตาพ่อดูแดงๆนะ เรารู้ทุกคนเป็นห่วงเรา ความรู้สึกตอนนั้นคือเราชั่งโชคดีกว่าหลายๆคนที่ไม่มีใครเลยเรามีพ่อแม่น้องและคนรัก ดีใจและมีกำลังใจมากมายจากทุกคน อยากบอกเพื่อนๆที่มีญาติกำลังป่วย กำลังใจคือยาที่ดีที่สุดค่ะ  เราก็บอกตัวเองว่าเดี๋ยวเราก็หายละ และก็คอยบอกตัวเองว่านี่มันคือกรรม ให้มาให้หมดจะได้จบไปสักที ระหว่างที่เรารักษาตัวก็มีน้องมีพ่อมีแม่และแฟนสลับกันมาหาทุกวัน แต่คนที่มาไม่เคยขาดเลยแม้แต่สักวันก็คือแม่ที่ต้องตื่นเช้ามาและกลับดึกทุกวัน เดินทางจาก รพ.ศิริราช ไปกลับลาดกระบังทุกวัน เพราะเราอยุ่ห้องรวมต้องอยู่ใกล้ๆพยาบาล เนื่องจากยังหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ ญาติเฝ้าไม่ได้ ส่วนพ่อก็โหมงานหนักเพราะกลัวค่าใช้จ่ายส่วนเกินต่างๆในการรักษาเราจะไม่พอ (แต่ต้องขอบคุณ ปกส. ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้เกือบทั้งหมดรวมเป็นเงินเกือบ3แสนบาท) ส่วนแฟนเราเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบมาหาทุกวันไม่ได้ น้องสาวก็เช่นกัน ทุกคนเป็นห่วงเราๆรู้ ทุกคนรักเราๆสัมพัสได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือแม่ ที่เป็นห่วงเหนื่อยที่มาดูแลเราทุกวันแต่แม่ก็อยากมามาเพราะความรักและความเป็นห่วง ก่อนจะมาอยู่ห้องผู้ป่วยเราอยู่ไอซียู นอนนิ่งๆท่าเดียวเพราะหมอกลัวเส้นเลือดเส้นประสาทต่อไม่ติด และที่ปอดเรามีจุดด้วย น่าจะนอน 3-4 วันได้ทุกคนบอก เราอยู่ในนั้นไม่รู้วันเวลาเลยรู้แค่นานมากเมื่อไหร่ช้านจะได้ออกไปเนี้ย จากนั้นเราออกจากไอซียูมาอยู่ห้องธรรมดา ขณะที่คุณหมอพยาบาลทำการเคลื่อนย้ายเราออกจากห้องไอซียูด้วยความยากลำบากเพราะเรากระดิกไม่ได้เลยรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจสายอะไรต่างๆนาๆเต็มไปหมด ระหว่างที่ถูกเข็นมา ในใจก็คิดว่าไม่นะมาอยู่ห้องรวมพัดลมอันแสนร้อนทรมานที่สุดทำไมมันร้อนอย่างไม่เคยพบเจอ อาจจะเพราะพิษแผลและอากาศอันแสนร้อน ทนอยู่อย่างทุกข์ทรามาน กับสภาพที่มีสายต่างๆ ที่ใส่ไปในทางจมูกทั้งสองข้าง ขาที่ต้องเข้าเผือกไว้เนื่องจากตัดกระดูกเส้นเลือด เส้นประสาทมา ปากที่มาสามารถหุบลงได้ต้องนอนกัดยางเพราะแผลข้างในตบแต่งทำศัลยกรรมเหงือก ทรมาณที่สุดร้อนที่สุด ท่อหายใจอันทรมาน เราไม่เคยรู้ว่าอาการตัวเองเป็นไงหนักมากน้อยแค่ไหน แต่ด้วยกำลังใจที่ดีและความคิดที่ว่าแค่นี้ราทนได้เราไม่ได้เป็นอะไรมาก เป็นการปลอบใจตัวเองที่ดีเยี่ยมในเวลานั้น เข้าใจเลยว่าที่ดีที่สุดคือกำลังใจจริงๆมันสำคัญที่สุดรองจากลงมาจากการรักษาของหมอ อิๆ บังเอิญเราก็มีซะด้วย ^^ไม่รู้สิชีวิตผ่านอะไรมาเจ็บปวดเสียใจก็เยอะเรื่องนี่มันเลยเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใหญ่สำหรับเราในเวลานั้น ห่วงก็แค่คนรอบข้างที่ต้องเหนื่อย เราทรมานมากกับสายระโยงระยาง เจ็บเป็นบ้าที่อ๊อกซิเจนส่งไปถึงปอดด้วยท่อช่วยหายใจ กลัวก็กลัวตอนเย็นช้านต้องอยุ่คนเดียว ยังไม่พอมาเจอคุณ ผู้ช่วยพยาบาลใจร้ายคนนึง(ขอไม่เอ่ยนาม) ที่เวลามาดูดเสมหะในปอดเรา ทำแรงมากยังกะจะให้ตายไปเลย เสมหะในปอดเราเยอะหายใจไม่ออกก็ต้องกดกริ่งเรียกเข้ามาดูดออก เพราะพูดไม่ได้ขยับไม่ได้ เขาบ่นว่าเราเรียกอยู่ได้โน้นนี่ เขาไม่เข้าใจ จิตเมตตาสงสารต่อผู้อื่นไม่มีเลย สักวันถ้าเจอกับตัวเขาคงจะรู้ ..เรากลัวมากก เราพูดไรไม่ได้ได้แต่เขียนข้อความลงบนสมุดเล่าให้แม่ฟัง แม่ไม่รีรอที่จะไปจัดการสั่งห้ามคุณผู้ช่วยคนนั้นมาใกล้เรา เราดีใจและอบอุ่นใจมากที่วันนั้นยังมีแม่ยืนอยู่ข้างๆ คอยปกป้องเรา รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไปเลยนี่นะพ่อแม่รักลูก ดูแลแม้กระทั้งลูกโตแล้วพ่อแม่ยังปกป้องเราเสมือนเราเป็นเด็กเล็กๆ เราอยากเจอหน้าแม่ทุกวัน แต่ก็สงสารแม่ บอกแม่ว่าไม่ต้องมาทุกวันแต่แม่ก็มาทุกวัน แม่นั่งเฝ้าเราทั้งที่อากาศแสนจะร้อน นั่งจับมือเราปลอบใจเราทำอย่างนี้ทุกวันที่เราอยู่ รพ. ความรักที่บอกว่าเรารักแม่มาก ในเวลานั้นทำให้รู้เลยว่า คำว่ารักของเราเทียบกับความรักที่แม่รักเรามันเทียบกันไม่ได้แม้สักนิดเดียว ซึ่งในขณะเดียวกันพ่อก็มาหาเราทุกครั้งที่เลิกงานในตอนเช้า พ่อทำงานกลางคืนเนื่องจากทำรับเหมา พอตอนเช้าพ่อยอมอดหลับอดนอนเพื่อเพียงแค่ได้มาเยี่ยมเรานวดขา นวดมือให้เรา คุยโน้นนี่ และมีหนึ่งประโยคที่พ่อบอกกับเราในขณะที่นวดขาให้เรา พ่อบอกว่าพ่อ"ขอโทษ"ตอนนั้นเอาสายท่อหายใจออกแล้วเราดีขึ้นพอพูดได้บ้าง แต่เสียงยังไม่มีมากเพราะแผลจากท่อช่วยหายใจในลำคอ เรางง และตกใจว่าพ่อขอโทษเราทำไม พ่อบอกเมื่อสิบ17ปีก่อนจำได้มั้ยตอนนั้นเราทะเลาะกับน้องตามประสาวัยรุ่น พ่อห้ามเราไม่ฟังกัน พ่อจึงได้ตบหน้าเรากับน้องคนล่ะที เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวตั้งแต่เกิดมาที่พ่อทำแบบนั้น พ่อบอกพ่อขอโทษกับวันนั้นพ่อคิดว่าสาเหตุที่เราป่วยเกิดจากสิ่งที่พ่อทำ เราอึ้งและมองหน้าพ่อกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ เราเลยบอกพ่อว่าพ่ออย่าโทษตัวเอง อย่ามาขอโทษลูกเลย สิ่งที่เป็นมันเกิดขึ้นมาเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่พ่อทำเลยสักนิดเดียว นั่นมันทำให้เราหวนคิดว่าตลอดเวลากว่า17ปี ที่ผ่านมาพ่อคงทุกข์ใจและรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำกับเราและน้องมาตลอด เราไม่อยากให้พ่อคิดอย่างนั้นบวกกับการกลบเกลือนเพื่อกลั่นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล เราเลยพูดกับพ่อปนขำๆว่ามันไม่เกี่ยวหรอกเรื่องแค่นั้นนานมาแล้วคิดอะไรมากน่ะพ่ออย่าไปคิดมากแก่แล้วหรอคิดไปโน้น แต่เราก็รู้สึกดีที่พ่อได้พูดออกมาไม่งั้นพ่อคงรู้สึกผิดไปตลอดอย่างน้อยก็ให้พ่อได้โล่งใจบ้าง เรารู้สึกยังอยากมีชีวิต อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมเร็วๆจะได้ดูแลพ่อละแม่บ้าง น้องสาวที่รักของเราอีกคนน้องดูแลอาบน้ำเช็ดตัวให้แม้กระทั้งทำความสะอาดให้แม้ในตอนที่เราทำธุระหนักเบา แม้กระทั้งเป็นรอบเดือน ณ เวลานั้นเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยได้แต่นอนนิ่งๆ แต่น้องก็ไม่เคยรังเกลียจหาโน้นนี่นั้นมาให้เราตามต้องการ ดูแลพ่อแม่ในช่วงเวลานั้นและอีกคนที่สำคัญคือใครไม่รู้ที่เรารักเขา ถึงไม่ได้มาเยี่ยมทุกวันแต่ทุกครั้งที่มาเขาก็จะมานั่งเฝ้าแต่เช้าจนพยาบาลไล่กลับนั่งเฝ้าเราจับมือเราเปิดเพลงเล่าโน้นนี่นั้นให้ฟังจนใครๆแม้กระทั้งน้องพยาบาลที่ทำงานที่นั่นยังบอกเลยว่าแฟนพี่เขาดูเป็นห่วงและรักพี่มากจังเลยนะ เราก็ดีใจนะที่วันนั้นเราเลือกเขาๆรักและดูเราเป็นอย่างดีเหมือนกัน....หลังจากอยู่ รพ บาลได้ประมาณ 14 วันเราเริ่มดีขึ้นคุณหมอให้มาพักที่บ้าน และวันนึที่เรามา รพ. เพื่อมาถอดเฝือกที่ขาออก ครั้งแรกที่เราเห็นแผลที่ขาตัวเอง เราตกใจร้องไห้โฮออกมาเนื่องจากแผลที่ขามีความยาวเกือบ 24 ซม และเนื้อกับกระดูกที่หายไปทำให้ขาแหว่ง เราเสียใจมาก มีคำนึงที่ทำให้เรามีสติ คือคำพูดของแม่ที่บอกว่าเอาเนื้อที่ขาแม่ไปทำศัลยกรรมให้เราได้มั้ย..เราอึ้งอีกครั้ง..แล้วคิดได้ว่าแม่ยังยอมเจ็บตัวเพื่อเราขนาดนี้ ทำไมแค่นี้เราต้องเคลียด เราตอบทันทีว่าไม่เอาค่ะ เราขอเวลาทำใจสักพักคงดีขึ้น เราใช้เวลาเกือบปี กว่าจะหาย ต้องกายภาพขาที่โดนตัดกระดูกไปละยังต้องมาตรวจกับคุณหมอเรื่อยๆ  และมีอีกวัน ในขณะที่เราเริ่มฝึกกายภาพโดยไม้เท้า เราได้มาพบแพทย์ แม่ได้พาเรานั่งแท็กซี่มา ตั้งแต่6.00น. มารพ. และเราไปรอตรวจแผลในปาก แล้วเอ๊กซ์เรย์ตรวจดูผลทำให้รอจนต้องรอพบหมอในช่วงเย็นนอกเวลา๖18.30-19.00) เพราะถ้าไปๆมาๆ เราเดินทางลำบากและไกล เราเลยตัดสินรอ เนื่องจาก รอนานด้วยอาการที่ไม่ค่อยดีของเรา จึงรู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดแต่ก็ไม่อะไร จนตอนกลับแม่เรียกแท็กซี่มารับเผื่อกลับบ้านแท็กซี่โอเครบอกไปถูก แม่ก็บอกทางไป เราพูดยังไม่ค่อยได้เพราะแผลยังไม่หายดีไหมก็ยังไม่ละลาย ปรากฎว่าแท็กซี่พาขับอ้อม วนไปวนมา ถึงบ้านเกือบ4ทุ่ม เราหงุดหงิดแท็กซี่ก็พลอยพาลหงุดหงิดแม่ทั้งที่แม่ต้องลำบากดูและปั่นอาหารเหลว อาบน้ำเช็ดตัวให้เราทุกวัน และวันนั้นที่อยู่ รพ. แม่ก็เดินแทนวุ่นวายทั้งวัน เราหงุดหงิดแม่ว่าแม่ไม่บอกแท็กซี่ดีๆ จนยิ้มอลไม่ยอมนอนห้องเราหนีไปนอนอีกห้อง จนน้องสาวโทรมาบอกว่าแม่เสียใจที่เราหงุดหงิดว่าแม่ ในตอนนั้นแม่ไม่มานอนด้วยเราก็รู้สึกผิดล่ะน้องยิ่งพูดมาเราก็ยิ่งรู้สึกผิด จนที่สุดเราโทรไปขอโทษแม่ และพอดีเราใช้เวลาประมาณ1เดือน(ไวมาก.. หมอและคนใกล้ตัวก็ตกใจว่าเราดีขึ้นไวมากเพราะกำลังใจดีๆนั่นเอง^^)  เราเริ่มดีขึ้น กลับไปทำงานได้เริ่มเดินได้โดยไม่ใช้ไม้เท้า เราเลยนำดอกไม้เทียนไปขอขมาแม่ ที่แม่ดูแลเราทุกอย่างในเวลาที่เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้รวมทั้งเรื่องวันนั้น แม่รับขมาและบอกว่าแม่ไม่คิดอะไรหรอก แค่อยากให้เราสบายหายไว้ๆก็พอ นี่ละค่ะเป็นสิ่งที่เรารู้สึกผิดมาก..และได้สำนึกผิดและแก้ไขมันไปแล้ว..และในตอนนี้เราหายเกือบ98% และตอนนียังพบคุณหมอบ้างนานๆๆๆที และตอนนี้ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ คงเหลือแค่ล่องรอยแผลเป็นให้เราได้นึกถึงสิ่งดีๆในวันที่เราป่วย เรื่องราวอาจจะยาวหน่อยก็อยากจะแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่าน หรือถ้าครอบครัวคนที่เรารักได้อ่านก็คงดี เพราะให้พูดยาวขนาดนี้ต่อหน้ากัน ..ก็คงเขิลกันไม่น้อย..ขอบคุณทุกคนที่เสียสละเวลาอ่านนะคะ สุดท้าย ใครมีญาติที่กำลังป่วยต้องให้กำลังใจดูแลกันนะคะ ..และใครที่กำลังป่วยเป็นอะไรก็ตามแต่สู้ๆนะคะถ้าใจเราสู้ มันก็มีเหมือนยาดี ทำให้เราดีขึ้นและหายป่วยไวขึ้นแน่นอน  ทุกอย่างมีผ่านมาเดี๋ยวถึงเวลามันก็ผ่านไปค่ะ ...ขอบคุณค่ะ..บ้ายบาย^^
1.

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่