นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมประชุมหารือสินค้ายางพารา กับ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายวิมล จันทรโรทัย ในฐานะประธานคณะทำงาน จัดทำแนวทางบริหารจัดการยางพารา ทั้งระบบอย่างมีเอกภาพ โดยได้เสนอแนวคิดการปฏิรูปยางพาราทั้งระบบ
เนื่องจากปัจจุบันราคายางแผ่นดิบกิโลกรัม (กก.) ละ 58.40 บาท ทำให้เจ้าของสวนยางขายยางในราคาขาดทุน กก.ละ 6.85 บาท ทำให้เกษตรกรเริ่มทิ้งสวนยาง จึงต้องการให้ คสช.ช่วยแก้ไขปัญหาเพราะยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก สร้างรายได้ให้ชาวสวนยาง 1.2 ล้านครัวเรือน หรือ 6 ล้านคน ก่อให้เกิด การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม 200,000 คน ในปัจจุบันไทยมีเนื้อที่ปลูกยางรวม 22.17 ล้านไร่ และปีที่ผ่านมาก็ส่งออกยางพาราในรูปวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ยาง รวม 506,491 ล้านบาท จัดอยู่ในอันดับ 3 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
สำหรับสถานการณ์ในภาพรวมของยางพาราของโลก อาเซียน และประเทศ ไทย คาดว่า การบริโภคยางพาราจะเพิ่มขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร ที่ในแต่ละปีมีประชากรเพิ่มขึ้น 1% ทำให้มีความต้องการใช้ยางพารา และทำให้ต้องมีการปลูกเพิ่มขึ้น 1 ล้านไร่ แต่การปลูกยางพารา ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องที่ดิน เงินทุน และระยะเวลาการปลูกต้องใช้เวลาถึง 7 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิต
“ข้อเสียเปรียบของการผลิตยางพาราของไทย คือ นโยบายของรัฐบาล เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องยางพารา เช่น
รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีดูแลยาง 4 คน ทำให้นโยบายเปลี่ยนไปตามรัฐมนตรี ซึ่งผิดกับรัฐบาลมาเลเซีย ไม่ค่อยเปลี่ยนผู้ดูแลเรื่องยาง จึงทำให้เกิดความมั่นคงกับยางพารา และกฎข้อบังคับและกฎหมายในเรื่องยางพาราของไทยก็ ไม่ทันสมัย ซึ่งการจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 แล้ว กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับของไทย ยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไร”
ทั้งนี้ ปัญหาอุปสรรคการพัฒนายางพารา คือ ต้นทุนการผลิตสูงกว่า เพื่อนบ้าน กระบวนการผลิตในช่วงกลางน้ำและปลายน้ำ รัฐบาลไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือ ทั้งที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติเงินช่วยเหลือการผลิตในช่วงกลางน้ำและปลายน้ำ ให้พัฒนาเครื่องจักรกล 15,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว สิ่งที่สำคัญ คือ ควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการผลิต การตลาด ฯลฯ เพื่อบรรจุไว้ในแผนพัฒนายางพาราครบวงจร พ.ศ.2557-2561.
http://www.thairath.co.th/content/437957
อ้อ เป็นเพราะยิ่งลักษณ์นี่เอง ทำให้ยางราคาตก
เกษตรกรมึนราคายางพาราลดวูบ
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสภาการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมประชุมหารือสินค้ายางพารา กับ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายวิมล จันทรโรทัย ในฐานะประธานคณะทำงาน จัดทำแนวทางบริหารจัดการยางพารา ทั้งระบบอย่างมีเอกภาพ โดยได้เสนอแนวคิดการปฏิรูปยางพาราทั้งระบบ เนื่องจากปัจจุบันราคายางแผ่นดิบกิโลกรัม (กก.) ละ 58.40 บาท ทำให้เจ้าของสวนยางขายยางในราคาขาดทุน กก.ละ 6.85 บาท ทำให้เกษตรกรเริ่มทิ้งสวนยาง จึงต้องการให้ คสช.ช่วยแก้ไขปัญหาเพราะยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก สร้างรายได้ให้ชาวสวนยาง 1.2 ล้านครัวเรือน หรือ 6 ล้านคน ก่อให้เกิด การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม 200,000 คน ในปัจจุบันไทยมีเนื้อที่ปลูกยางรวม 22.17 ล้านไร่ และปีที่ผ่านมาก็ส่งออกยางพาราในรูปวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ยาง รวม 506,491 ล้านบาท จัดอยู่ในอันดับ 3 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
สำหรับสถานการณ์ในภาพรวมของยางพาราของโลก อาเซียน และประเทศ ไทย คาดว่า การบริโภคยางพาราจะเพิ่มขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร ที่ในแต่ละปีมีประชากรเพิ่มขึ้น 1% ทำให้มีความต้องการใช้ยางพารา และทำให้ต้องมีการปลูกเพิ่มขึ้น 1 ล้านไร่ แต่การปลูกยางพารา ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องที่ดิน เงินทุน และระยะเวลาการปลูกต้องใช้เวลาถึง 7 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิต
“ข้อเสียเปรียบของการผลิตยางพาราของไทย คือ นโยบายของรัฐบาล เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องยางพารา เช่น รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีดูแลยาง 4 คน ทำให้นโยบายเปลี่ยนไปตามรัฐมนตรี ซึ่งผิดกับรัฐบาลมาเลเซีย ไม่ค่อยเปลี่ยนผู้ดูแลเรื่องยาง จึงทำให้เกิดความมั่นคงกับยางพารา และกฎข้อบังคับและกฎหมายในเรื่องยางพาราของไทยก็ ไม่ทันสมัย ซึ่งการจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 แล้ว กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับของไทย ยังไม่ทราบว่าจะดำเนินการอย่างไร”
ทั้งนี้ ปัญหาอุปสรรคการพัฒนายางพารา คือ ต้นทุนการผลิตสูงกว่า เพื่อนบ้าน กระบวนการผลิตในช่วงกลางน้ำและปลายน้ำ รัฐบาลไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือ ทั้งที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้อนุมัติเงินช่วยเหลือการผลิตในช่วงกลางน้ำและปลายน้ำ ให้พัฒนาเครื่องจักรกล 15,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว สิ่งที่สำคัญ คือ ควรกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการผลิต การตลาด ฯลฯ เพื่อบรรจุไว้ในแผนพัฒนายางพาราครบวงจร พ.ศ.2557-2561.
http://www.thairath.co.th/content/437957
อ้อ เป็นเพราะยิ่งลักษณ์นี่เอง ทำให้ยางราคาตก