ในวันถัดมา เหตุการณ์ทุกอย่างยังเป็นปกติ การรักษาความปลอดภัยของนพดลและรุจรียังคงมีต่อไป ในเวลาเกือบ 6 โมงเย็นซึ่งพนักงานและผู้บริหารต่างทะยอยกันกลับบ้าน พอสะโหนออกมาจากบ้านของนพดล โดยบอกกับแม่บ้านว่าจะมาหาซื้ออุปกรณ์ทำสวน เมื่อถึงที่ตึกที่ทำงานของนพดล พอสะโหนเข้าไปในตึกและแต่งเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาด ที่นพดลเตรียมไว้ให้แล้ว เขาเข้าไปยังห้องเป้าหมายพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด วันนี้เวรทำความสะอาดห้องทำงานของเมธาวีโดนสลับ
พอสะโหนเปิดเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาต้องการหาคือ เอกสารหรือบันทึกที่เกี่ยวกับการซื้อกิจการคู่แข่ง หากได้หลักฐานนี้มา อย่างน้อยก็สามารถใช้มันในการทำให้เมธาวีตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทางตำรวจสามารถควบคุมตัวและสั่งสอบสวนกับเมธาวีได้ ลิ้นชักเอกสาร แฟ้มงานถูกรื้อค้น แต่พอสะโหนไม่เจออะไรที่น่าสงสัยเลย นพดลเปิดประตูเข้ามาในห้อง
"เจออะไรบ้างมั้ยคุณพอสะโหน?"
"ไม่เจออะไรเลยครับ"
พอสะโหนยังคงค้นดูและไล่อ่านเอกสารต่างๆ นพดลนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงานของเมธาวี เขาเหลือบเห็นภาพถ่ายใส่กรอบวางบนโต๊ะทำงาน นพดลหยิบรูปที่มีเมธาวีถ่ายพร้อมกับวัลพาและลูก นพดลสังเกตุดีๆเห็นภาพถ่ายที่ซ่อนไว้ข้างหลังภาพเมธาวี เขาแกะกรอบรูปออก ข้างหลังภาพเป็นรูปถ่ายครอบครัวที่เก่ามากแล้ว มีนพดล ภรรยาของนพดลและลูกทั้ง 5 ถ่ายร่วมกัน นพดลจ้องมองภาพนี้อย่างเนิ่นนาน เขาจำไม่ได้แล้วว่าเก็บภาพนี้ไว้ที่ไหน นพดลใช้นิ้วมือลูบไปที่ใบหน้าของภรรยาในภาพถ่ายใบนั้น เมื่อนพดลดูภาพถ่ายจนพอใจเขาเก็บภาพไว้ที่เดิม เตรียมประกอบกรอบภาพถ่ายให้เหมือนเดิม แต่กรอบรูปพลาสติกหลุดมือเขาปลิวไปตกใต้โต๊ะเอกสาร นพดลก้มลงเก็บ เขาเห็นซิมการ์ดโทรศัพท์ที่งอตกอยู่ที่ขาโต๊ะ
"คุณพอสะโหน มาดูนี่เร็ว"
พอสะโหนรีบมาดูตามคำเรียกของนพดล เขาค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบซิมการ์ดใส่ในซองพลาสติก
"ผมคิดว่าเราได้ในสิ่งที่เราต้องการแล้วครับท่าน"
พอสะโหนส่งหลักฐานที่เขาเจอให้กับผู้กำกับ เพื่อตรวจสอบรอยนิ้วมือและต้องการรู้ว่าซิมนี้ใช้เบอร์อะไร ผ่านไปไม่นานผู้กำกับส่งข้อมูลที่พอสะโหนต้องการมาให้ ปรากฎว่าบนซิมโทรศัพท์ชิ้นนั้นมีรอยนิ้วมือของเมธาวี และหมายเลขเบอร์โทรศัพท์คือหมายเลขที่ได้รับข้อความคำว่า 'bb' ในวันที่นพดลถูกลอบยิง
พอสะโหนหันความสนใจไปที่ยุภา เธอเป็นผู้ช่วยในครัวของบ้านนพดล พอสะโหนตัดสินใจให้ผู้กำกับใช้อำนาจในการควบคุมตัวยุภา เพื่อนำไปสอบปากคำ และเป็นพยาน
ตำรวจในเครื่องแบบ 4 นายเดินทางไปยังบ้านของนพดล ตำรวจนายหนึ่งแจ้งว่าขอความร่วมมือกับยุภา และเชิญตัวเธอไปที่โรงพัก
...
"ในวันที่คุณนพดลนั่งรถออกจากบ้านพร้อมคุณรุจรี เวลา 7 โมง 13 นาที เบอร์ของคุณส่งข้อความ ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของใคร ข้อความที่ส่งไปหมายความว่าอย่างไร?"
พนักงานสอบสวนกำลังนั่งสอบปากคำยุภา
"ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน คุณเมธาวีได้ว่าจ้างฉันให้ส่งข้อความ ข้อความระบุถึงรถ คันที่คุณนพดลนั่งไป และสีของรถ ฉันส่งข้อความออกไปว่า 'bb' หมายถึงรถ Benz คันสีดำ"
"คุณเมธาวีได้บอกไหม ว่าจะให้ส่งข้อความ ทางโทรศัพท์ไปเพื่ออะไร?"
"เห็นคุณเมบอกว่า จะเตรียมต้อนรับคุณนพดล ที่บริษัท"
พนักงานเห็นว่ายุภาตอบคำถามได้ครบทุกข้อ ผู้กำกับซึ่งดูการสอบสวนอยู่ เห็นว่ายุภาไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร จึงให้ยุภาลงบันทึกคำให้การและนำเธอไปส่งที่บ้าน
ผู้กำกับนำสำเนาบักทึกคำให้การของยุภา ไปให้กับทนายแสวงด้วยตัวเอง
"ถ้ายุภาให้การแบบนี้ เธอคงไม่รู้ว่าข้อความที่เธอส่งไปอาจเป็นสัญญาณให้มือปืนลงมือ"
ผู้กำกับให้ความเห็น
"ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับกุมเมธาวี หรือแค่พยานหลักฐานที่จะระบุว่า ผู้บงการเป็นเมธาวีเองก็ยังไม่มีเลย"
ทนายแสวงยังคงทำหน้าเครียด
"เราคงต้องพึ่งพอสะโหนอีกครั้ง"
พอสะโหนนั่งนิ่ง สมองเขากำลังทำงานหนัก เหมือนกับชิปซีพียูที่กำลังประมวลผลซอฟท์แวร์ พอสะโหนหันไปมองบันทึกคำให้การ ที่ทนายแสวงส่งมาให้อีกรอบ เวลาผ่านไปไม่นาน เขายิ้มที่มุมปากพลันยกนิ้วชี้ขึ้นมา เคาะไปที่อากาศบริเวณที่ใบหน้า
พอสะโหนต่อสายโทรศัพท์ ไปหาผู้กำกับในยามวิกาล เขายังมีความสงสัยในคำให้การ ของยุภาว่า เธอจะมีส่วนรู้เห็นแผนการ ของมือปืนหรือไม่ หากเธอรู้นั่นหมายความว่า เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่เธอส่งข้อความออกไป เป็นคนจ้างวานมือปืนแน่นอน แต่ถ้าเธอไม่รู้ ก็จะใช้ให้เธอเป็นพยาน ที่จะชี้ตัวคนจ้างวานได้
"สวัสดีครับท่าน ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาพักผ่อน แต่ผมมีเรื่องเร่งด่วน ที่จะขอความร่วมมือจากท่านครับ พรุ่งนี้เช้า ผมอยากให้ท่านเรียกยุภา มาสอบปากคำอีกครั้ง ในข้อหามีส่วนในคดีพยายามฆ่า"
พอสะโหนใช้พยานคนเดียว ที่มีอยู่ตอนนี้
"เพื่ออะไร? หากยุภาไม่รู้เห็นจริงๆ เราจะทำไปทำไมกัน"
"ผมคิดแบบนี้ครับท่าน หากสอบสวนแล้วยุภา มีส่วนรู้เห็น เราก็สามารถควบคุมตัวเมธาวีได้เลย แต่ถ้าเธอไม่รู้ เธอจะต้อง..."
"เธอจะทำไม?"
ผู้กำกับถาม หลังจากที่พอสะโหนเงียบเสียง เหมือนยังพูดไม่จบ
"ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆครับ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก สันชาตญาณผมบอกแบบนั้น"
"ได้ งั้นเอาตามนั้น"
ผู้กำกับตัดสายโทรศัพท์ไป ความจริงแล้วพอสะโหนรู้ดี ว่าจะต้องทำอย่างไร หากยุภาไม่มีส่วนรู้เห็นในคดีจริงๆ แต่เขายังไม่อยากจะบอกใคร เพราะมันก็ซับซ้อนเกินไปจนพอสะโหนก็ยังไม่แน่ใจ ว่ามันจะได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่
...
เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นเหมือนเมื่อวาน ตำรวจ 4 นายเชิญตัวยุภาไปที่โรงพักอีกครั้ง การสอบสวนมีขึ้นอย่างเข้มข้น
"คุณยุภารู้มั้ยว่า ในวันที่คุณส่งข้อความออกไป นั่นคือสัญญาณชี้เป้า ให้มือปืนก่อเหตุ พยายามฆ่าคุณนพดลและคุณรุจรี"
"หา! เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเหรอคะ นั่นหมายความว่าคุณเมธาวี พยายามฆ่าพ่อของตัวเอง ดิชั้นไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวค่ะ"
ยุภาตกใจที่เกิดเรื่องแบบนั้น เธอยังนยืนยันที่ไม่มีส่วนรู้เห็น
"ดิชั้นไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร นายท่านเป็นผู้มีพระคุณ ดิชั้นไม่มีทางทำแบบนั้นได้เลยค่ะ"
"คุณเมธาวีเป็นคนบอกคุณด้วยตัวเองใช่มั้ย? ที่ให้ส่งข้อความไปยังเบอร์โทรศัพท์นี้"
เจ้าหน้าที่สอบสวน ยื่นกระดาษที่มีหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ ให้ยุภา เธอรับไปและหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง ขึ้นมาตรวจสอบเบอร์ ก่อนจะยื่นบันทึกการส่งข้อความ ให้เจ้าหน้าที่ดู
"ใช่ค่ะ คุณนพดลจดหมายเลขนี้ ลงในกระดาษ และยื่นให้ดิชั้น"
เจ้าหน้าที่บันทึกคำให้การ ของยุภาลงบนกระดาษจดบันทึก ก่อนจะพูดกับเธอ
"ขอบคุณ คุณยุภามากครับ ที่ให้ความร่วมมือ หากทางเราจะขอกันตัวคุณยุภาไว้เป็นพยาน จะได้หรือไม่ครับ?"
"ดิชั้นยินดีให้ความร่วมมือค่ะ"
"และในระหว่างนี้ ตำรวจจะคุ้มกันคุณยุภา ในฐานะพยานด้วยครับ"
หลังจากตำรวจ นำตัวยุภาไปส่งที่บ้าน ผู้กำกับโทรไปหาพอสะโหน และรายงานผลการสอบสวน ทั้งหมดให้พอสะโหนฟัง
"แล้วจากนี้ไป เราจะทำอย่างไรต่อ?"
"สมมุติฐานของเรา คือยุภาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี เมื่อยุภารู้แล้วว่าเป็นแผนการร้ายของเมธาวี เธอจะพยายามติดต่อกับเมธาวี เพื่อสอบถามความจริง ด้วยความที่อยากปกป้องคุณนพดล แต่เมธาวีต้องพยายามฆ่าปิดปาด เธออย่างแน่นอน"
พอสะโหนเริ่มอธิบาย
"เราจะยอมแลกชีวิตยุภา เพื่อจับตัวเมธาวีเหรอ?"
"ท่านผู้กำกับไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ผมได้เตรียมแผนการณ์ไว้แล้ว รับรองทุกคนปลอดภัยอย่างแน่นอน"
พอสะโหนวางสายโทรศัพท์ เขานั่งคิดไตร่ตรองถึงแผนการณ์ กระดาษบนโต๊ะถูกวาดเป็นแผนผัง อธิบายถึงขั้นตอน และเขียนความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ลงไป สุดท้าย พอสะโหนนั่งวิเคราะห์ถึงวิธีการ อย่างถี่ถ้วนและรอบครอบอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะกดเบอร์โทรศัพท์ ไปหานพดลเพื่อตระเตรียมแผนการณ์ในครั้งนี้
...
ในเย็นวันสุดท่ายของสัปดาห์ เหล่าบันดาทายาทถูกเรียกให้มาพร้อมหน้า เพื่อร่วมโต๊ะอาหารในคฤหาสน์หรูของนพดล สัญญาณจากนพดลที่ส่งออกไป ยังลูกของเขาทุกคน ถือเป็นคำประกาศิต ที่ทุกคนต้องทำตาม เนื่องด้วยตามปกติแล้ว นพดลมักไม่ค่อยจะขออะไรมากมายจากลูกๆ นานๆทีจะเรียกมาเพื่อนั่งกินข้าวกัน ทุกคนจึงถือว่านี่คือมารยาทเล็กๆน้อยๆ ที่พวกเขาพอจะหยิบยื่นให้กับผู้เป็นพ่อได้
และแน่นอน เมนูอาหารวันนี้ถูกสั่งมากจากภัตตาคารบ้ชื่อดัง ทั้งเมธาวี เอกพล พรประพา พิบูน รวมถึงรุจรีต่างก็นั่งบนโต๊ะทานอาหารเรียบร้อยแล้ว โดยมีนพดลนั่งตำแหน่งหัวโต๊ะ กิจกรรมบนโต๊ะอาหารดำเนินไปได้ด้วยดี เป็นเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา
"พ่อคะ วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ ที่เชิญพี่ๆมากัน"
รุจรีพูด ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารบนโต๊ะ
"ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว พ่อก็คิดถึงทุกคน"
"หนูก็คิดถึงคุณพ่อค่ะ"
พรประพาหันมาพูดกับพ่อเธอ พร้อมส่งยิ้ม
"เป็นยังไงบ้างพร ช่วงนี้ธุรกิจไปได้ดีมั้ย?"
"ก็เรื่อยๆค่ะช่วงนี้"
นพดลคิด คำว่าเรื่อยๆของพรประพาคือ ช่วงนี้ธุรกิจของเธอเริ่มมีปัญหา แต่นพดลก็ไม่ถามอะไรลึกลงไปกว่านี้
"อืม... งั้นก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ถ้าหากมีปัญหาอะไรให้พ่อช่วย บอกได้นะ"
"ขอบคุณค่ะพ่อ"
พรประพารับคำนพดล หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ของแต่ละคน พรประพาจะรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หากรับความช่วยเหลือจากนพดล พี่น้องคนอื่นก็คิดคล้ายๆกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องมรดกแล้วมันไม่ใช่
"แล้วเอกล่ะ ช่วงนี้งานที่มหาลัยยุ่งมั้ย?"
"ของผมเหรอครับ ช่วงนี้ก็ยุ่งๆอยู่เหมือนกัน ไหนจะเรื่องสอนในคลาส และเด็กตอนนี้ก็กำลังจะสอบด้วย ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่น่ะครับ"
เอกพลตอบ
"ยังไงๆก็อย่าลืมพักผ่อนเยอะๆนะ สุขภาพสำคัญที่สุดรู้มั้ย"
"ครับพ่อ"
"แล้วเจ้าบูนล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่?"
"ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อมครับคุณพ่อ"
เสียงหัวเราะของพิบูลดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ชีวิตผมก็มีแต่เรื่องรถแหล่ะครับคุณพ่อ เรื่องธุรกิจอะไรนั่นไม่มีในหัวเลย นี่ถ้าพ่อยกธุรกิจทั้งผมให้ผมนะ รับรองพ่อได้เห็นมันเจ๊งก่อนตายแน่ๆ"
นพดลหัวเราะชอบใจกับมุขตลก ไม่เว้นแม้แต่พิบูลและพี่ๆร่วมโต๊ะ คงมีแต่เมธาวีเท่านั้นที่มัวแต่เลื่อนนิ้วบนสมาร์ทโฟนของเขา และพยายามหลบเลี่ยงสายตาผู้เป็นพ่อ นพลรู้สึกเป็นห่วงพิบูลน้อยที่สุด ในบันดาลูกๆของเขา เพราะนพดลเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พิบูลมีความสุขตลอดเวลา กับอาชีพนักแข่งรถ
"แล้วเธอล่ะ? เมธาวี หุ้นยังทำเงินให้อยู่มั้ย"
"ครับคุณพ่อ ผมยังมีกำไรเรื่อยๆจากการเทรด"
เมธาวีสบตากับนพดลเพียงครู่เดียว ทำไมนพดลจะไม่รู้ว่าเมธาวีขาดทุนจากตลาดหุ้นนับสิบล้านบาท ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดกำลังลง และนพดลรู้สไตล์การเล่นหุ้นของเมธาวีเป็นอย่างดี
เมื่อเวลาบนโต๊ะอาหาร ถึงเวลาสิ้นสุดลง บรรดาลูกทั้ง 4 คนจึงพร้อมใจกันขอตัว เพื่อกลับบ้าน เมธาวีกดรีโมทเปิดประตูรถ Benz S Class สีบอรนซ์เทา เขาก้าวเดินไปยังตัวรถ ที่ประตูถูกปลดล็อคเรียบร้ยแล้ว เมธาวีถึงกลับตกใจหน้าซีดเมื่อยุภาแอบรอเขานานแล้ว
"คุณเมคะ ช่วยยุภาด้วยค่ะ"
สีหน้ายุภาเคล้าคราบน้ำตา เธอตัวสั่นจนเมธาวีเห็นได้ชัด
"ยุภา! เธอมาทำอะไรตรงนี้"
"คือว่าหนูถูกตำรวจสงสัย มีส่วนรู้เห็นในคดีลอบสังหารคุณนพดลค่ะ"
เมธาวีหน้าซีดลงไปอีก เขานึกในใจว่าใครกัน? ที่สามารถโยงเหตุการณ์นั้นมาเชื่อมเข้ากับยุภาได้ เพราะยุภาเป็นแค่คนส่งข้อความเท่านั้น แต่เขายังวางใจกับเรื่องนี้ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครสามารถ ที่จะเชื่อมโยงมาถึงตัวของเขาเองได้ ถ้าจะโยงได้ก็คงมีเพียงแค่ยุภาเท่านั้น
"เธอไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรที่สาวถึงตัวเธอได้"
"หมายความว่า คุณเมธาวีคิดจะลอบยิง คุณนพดลจริงๆเหรอคะ"
"เธอไปเอาที่ไหนมาพูด ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงต้องเป็นข่าวแล้วสิ"
เมธาวีเริ่มพูดอย่างร้อนตัว ยุภายังคงทำท่าทางหวาดกลัว
"เอาอย่างนี้ เธอคงตกใจมาก เดี๋ยวฉันจะให้เงินเธอจำนวนหนึ่ง เป็นค่าปลอบขวัญ แต่เธอต้องออกไปตามที่อยู่นี้นะ"
เมธาวีพูดเสร็จ ก็หยิบสมุดพกออกมา และฉีกกระดาษออกมา 1 แผ่น พร้อมเขียนข้อความที่มีลักษณะ เป็นบ้านเลขที่ และมีชื่อคน
"นี่เอาไป เธอไปตามที่อยู่นี้ ถามหาคนชื่อนี้ และเขาจะเอาเงินให้เธอ 1 แสนบาท แต่เธอห้ามบอกใครนะ ว่าฉันใช้ให้เธอเป็นคนส่งข้อความให้ฉัน"
"ตกลงค่ะคุณเมธาวี"
เมื่อเมธาวีเร่งเครื่องรถออกไป ยุภานำข้อความและเศษกระดาษเดินไปหาและส่งให้กับนพดล
"นายท่านจะทำอย่างไรต่อคะ? ถ้าหากคุณเมธาวีเป็นคนบงการจริง"
พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 4
พอสะโหนเปิดเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาต้องการหาคือ เอกสารหรือบันทึกที่เกี่ยวกับการซื้อกิจการคู่แข่ง หากได้หลักฐานนี้มา อย่างน้อยก็สามารถใช้มันในการทำให้เมธาวีตกเป็นผู้ต้องสงสัย ทางตำรวจสามารถควบคุมตัวและสั่งสอบสวนกับเมธาวีได้ ลิ้นชักเอกสาร แฟ้มงานถูกรื้อค้น แต่พอสะโหนไม่เจออะไรที่น่าสงสัยเลย นพดลเปิดประตูเข้ามาในห้อง
"เจออะไรบ้างมั้ยคุณพอสะโหน?"
"ไม่เจออะไรเลยครับ"
พอสะโหนยังคงค้นดูและไล่อ่านเอกสารต่างๆ นพดลนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงานของเมธาวี เขาเหลือบเห็นภาพถ่ายใส่กรอบวางบนโต๊ะทำงาน นพดลหยิบรูปที่มีเมธาวีถ่ายพร้อมกับวัลพาและลูก นพดลสังเกตุดีๆเห็นภาพถ่ายที่ซ่อนไว้ข้างหลังภาพเมธาวี เขาแกะกรอบรูปออก ข้างหลังภาพเป็นรูปถ่ายครอบครัวที่เก่ามากแล้ว มีนพดล ภรรยาของนพดลและลูกทั้ง 5 ถ่ายร่วมกัน นพดลจ้องมองภาพนี้อย่างเนิ่นนาน เขาจำไม่ได้แล้วว่าเก็บภาพนี้ไว้ที่ไหน นพดลใช้นิ้วมือลูบไปที่ใบหน้าของภรรยาในภาพถ่ายใบนั้น เมื่อนพดลดูภาพถ่ายจนพอใจเขาเก็บภาพไว้ที่เดิม เตรียมประกอบกรอบภาพถ่ายให้เหมือนเดิม แต่กรอบรูปพลาสติกหลุดมือเขาปลิวไปตกใต้โต๊ะเอกสาร นพดลก้มลงเก็บ เขาเห็นซิมการ์ดโทรศัพท์ที่งอตกอยู่ที่ขาโต๊ะ
"คุณพอสะโหน มาดูนี่เร็ว"
พอสะโหนรีบมาดูตามคำเรียกของนพดล เขาค่อยๆใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบซิมการ์ดใส่ในซองพลาสติก
"ผมคิดว่าเราได้ในสิ่งที่เราต้องการแล้วครับท่าน"
พอสะโหนส่งหลักฐานที่เขาเจอให้กับผู้กำกับ เพื่อตรวจสอบรอยนิ้วมือและต้องการรู้ว่าซิมนี้ใช้เบอร์อะไร ผ่านไปไม่นานผู้กำกับส่งข้อมูลที่พอสะโหนต้องการมาให้ ปรากฎว่าบนซิมโทรศัพท์ชิ้นนั้นมีรอยนิ้วมือของเมธาวี และหมายเลขเบอร์โทรศัพท์คือหมายเลขที่ได้รับข้อความคำว่า 'bb' ในวันที่นพดลถูกลอบยิง
พอสะโหนหันความสนใจไปที่ยุภา เธอเป็นผู้ช่วยในครัวของบ้านนพดล พอสะโหนตัดสินใจให้ผู้กำกับใช้อำนาจในการควบคุมตัวยุภา เพื่อนำไปสอบปากคำ และเป็นพยาน
ตำรวจในเครื่องแบบ 4 นายเดินทางไปยังบ้านของนพดล ตำรวจนายหนึ่งแจ้งว่าขอความร่วมมือกับยุภา และเชิญตัวเธอไปที่โรงพัก
...
"ในวันที่คุณนพดลนั่งรถออกจากบ้านพร้อมคุณรุจรี เวลา 7 โมง 13 นาที เบอร์ของคุณส่งข้อความ ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของใคร ข้อความที่ส่งไปหมายความว่าอย่างไร?"
พนักงานสอบสวนกำลังนั่งสอบปากคำยุภา
"ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน คุณเมธาวีได้ว่าจ้างฉันให้ส่งข้อความ ข้อความระบุถึงรถ คันที่คุณนพดลนั่งไป และสีของรถ ฉันส่งข้อความออกไปว่า 'bb' หมายถึงรถ Benz คันสีดำ"
"คุณเมธาวีได้บอกไหม ว่าจะให้ส่งข้อความ ทางโทรศัพท์ไปเพื่ออะไร?"
"เห็นคุณเมบอกว่า จะเตรียมต้อนรับคุณนพดล ที่บริษัท"
พนักงานเห็นว่ายุภาตอบคำถามได้ครบทุกข้อ ผู้กำกับซึ่งดูการสอบสวนอยู่ เห็นว่ายุภาไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร จึงให้ยุภาลงบันทึกคำให้การและนำเธอไปส่งที่บ้าน
ผู้กำกับนำสำเนาบักทึกคำให้การของยุภา ไปให้กับทนายแสวงด้วยตัวเอง
"ถ้ายุภาให้การแบบนี้ เธอคงไม่รู้ว่าข้อความที่เธอส่งไปอาจเป็นสัญญาณให้มือปืนลงมือ"
ผู้กำกับให้ความเห็น
"ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะจับกุมเมธาวี หรือแค่พยานหลักฐานที่จะระบุว่า ผู้บงการเป็นเมธาวีเองก็ยังไม่มีเลย"
ทนายแสวงยังคงทำหน้าเครียด
"เราคงต้องพึ่งพอสะโหนอีกครั้ง"
พอสะโหนนั่งนิ่ง สมองเขากำลังทำงานหนัก เหมือนกับชิปซีพียูที่กำลังประมวลผลซอฟท์แวร์ พอสะโหนหันไปมองบันทึกคำให้การ ที่ทนายแสวงส่งมาให้อีกรอบ เวลาผ่านไปไม่นาน เขายิ้มที่มุมปากพลันยกนิ้วชี้ขึ้นมา เคาะไปที่อากาศบริเวณที่ใบหน้า
พอสะโหนต่อสายโทรศัพท์ ไปหาผู้กำกับในยามวิกาล เขายังมีความสงสัยในคำให้การ ของยุภาว่า เธอจะมีส่วนรู้เห็นแผนการ ของมือปืนหรือไม่ หากเธอรู้นั่นหมายความว่า เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่เธอส่งข้อความออกไป เป็นคนจ้างวานมือปืนแน่นอน แต่ถ้าเธอไม่รู้ ก็จะใช้ให้เธอเป็นพยาน ที่จะชี้ตัวคนจ้างวานได้
"สวัสดีครับท่าน ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาพักผ่อน แต่ผมมีเรื่องเร่งด่วน ที่จะขอความร่วมมือจากท่านครับ พรุ่งนี้เช้า ผมอยากให้ท่านเรียกยุภา มาสอบปากคำอีกครั้ง ในข้อหามีส่วนในคดีพยายามฆ่า"
พอสะโหนใช้พยานคนเดียว ที่มีอยู่ตอนนี้
"เพื่ออะไร? หากยุภาไม่รู้เห็นจริงๆ เราจะทำไปทำไมกัน"
"ผมคิดแบบนี้ครับท่าน หากสอบสวนแล้วยุภา มีส่วนรู้เห็น เราก็สามารถควบคุมตัวเมธาวีได้เลย แต่ถ้าเธอไม่รู้ เธอจะต้อง..."
"เธอจะทำไม?"
ผู้กำกับถาม หลังจากที่พอสะโหนเงียบเสียง เหมือนยังพูดไม่จบ
"ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆครับ แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก สันชาตญาณผมบอกแบบนั้น"
"ได้ งั้นเอาตามนั้น"
ผู้กำกับตัดสายโทรศัพท์ไป ความจริงแล้วพอสะโหนรู้ดี ว่าจะต้องทำอย่างไร หากยุภาไม่มีส่วนรู้เห็นในคดีจริงๆ แต่เขายังไม่อยากจะบอกใคร เพราะมันก็ซับซ้อนเกินไปจนพอสะโหนก็ยังไม่แน่ใจ ว่ามันจะได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่
...
เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นเหมือนเมื่อวาน ตำรวจ 4 นายเชิญตัวยุภาไปที่โรงพักอีกครั้ง การสอบสวนมีขึ้นอย่างเข้มข้น
"คุณยุภารู้มั้ยว่า ในวันที่คุณส่งข้อความออกไป นั่นคือสัญญาณชี้เป้า ให้มือปืนก่อเหตุ พยายามฆ่าคุณนพดลและคุณรุจรี"
"หา! เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเหรอคะ นั่นหมายความว่าคุณเมธาวี พยายามฆ่าพ่อของตัวเอง ดิชั้นไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องดังกล่าวค่ะ"
ยุภาตกใจที่เกิดเรื่องแบบนั้น เธอยังนยืนยันที่ไม่มีส่วนรู้เห็น
"ดิชั้นไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร นายท่านเป็นผู้มีพระคุณ ดิชั้นไม่มีทางทำแบบนั้นได้เลยค่ะ"
"คุณเมธาวีเป็นคนบอกคุณด้วยตัวเองใช่มั้ย? ที่ให้ส่งข้อความไปยังเบอร์โทรศัพท์นี้"
เจ้าหน้าที่สอบสวน ยื่นกระดาษที่มีหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ ให้ยุภา เธอรับไปและหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง ขึ้นมาตรวจสอบเบอร์ ก่อนจะยื่นบันทึกการส่งข้อความ ให้เจ้าหน้าที่ดู
"ใช่ค่ะ คุณนพดลจดหมายเลขนี้ ลงในกระดาษ และยื่นให้ดิชั้น"
เจ้าหน้าที่บันทึกคำให้การ ของยุภาลงบนกระดาษจดบันทึก ก่อนจะพูดกับเธอ
"ขอบคุณ คุณยุภามากครับ ที่ให้ความร่วมมือ หากทางเราจะขอกันตัวคุณยุภาไว้เป็นพยาน จะได้หรือไม่ครับ?"
"ดิชั้นยินดีให้ความร่วมมือค่ะ"
"และในระหว่างนี้ ตำรวจจะคุ้มกันคุณยุภา ในฐานะพยานด้วยครับ"
หลังจากตำรวจ นำตัวยุภาไปส่งที่บ้าน ผู้กำกับโทรไปหาพอสะโหน และรายงานผลการสอบสวน ทั้งหมดให้พอสะโหนฟัง
"แล้วจากนี้ไป เราจะทำอย่างไรต่อ?"
"สมมุติฐานของเรา คือยุภาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี เมื่อยุภารู้แล้วว่าเป็นแผนการร้ายของเมธาวี เธอจะพยายามติดต่อกับเมธาวี เพื่อสอบถามความจริง ด้วยความที่อยากปกป้องคุณนพดล แต่เมธาวีต้องพยายามฆ่าปิดปาด เธออย่างแน่นอน"
พอสะโหนเริ่มอธิบาย
"เราจะยอมแลกชีวิตยุภา เพื่อจับตัวเมธาวีเหรอ?"
"ท่านผู้กำกับไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ผมได้เตรียมแผนการณ์ไว้แล้ว รับรองทุกคนปลอดภัยอย่างแน่นอน"
พอสะโหนวางสายโทรศัพท์ เขานั่งคิดไตร่ตรองถึงแผนการณ์ กระดาษบนโต๊ะถูกวาดเป็นแผนผัง อธิบายถึงขั้นตอน และเขียนความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ลงไป สุดท้าย พอสะโหนนั่งวิเคราะห์ถึงวิธีการ อย่างถี่ถ้วนและรอบครอบอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะกดเบอร์โทรศัพท์ ไปหานพดลเพื่อตระเตรียมแผนการณ์ในครั้งนี้
...
ในเย็นวันสุดท่ายของสัปดาห์ เหล่าบันดาทายาทถูกเรียกให้มาพร้อมหน้า เพื่อร่วมโต๊ะอาหารในคฤหาสน์หรูของนพดล สัญญาณจากนพดลที่ส่งออกไป ยังลูกของเขาทุกคน ถือเป็นคำประกาศิต ที่ทุกคนต้องทำตาม เนื่องด้วยตามปกติแล้ว นพดลมักไม่ค่อยจะขออะไรมากมายจากลูกๆ นานๆทีจะเรียกมาเพื่อนั่งกินข้าวกัน ทุกคนจึงถือว่านี่คือมารยาทเล็กๆน้อยๆ ที่พวกเขาพอจะหยิบยื่นให้กับผู้เป็นพ่อได้
และแน่นอน เมนูอาหารวันนี้ถูกสั่งมากจากภัตตาคารบ้ชื่อดัง ทั้งเมธาวี เอกพล พรประพา พิบูน รวมถึงรุจรีต่างก็นั่งบนโต๊ะทานอาหารเรียบร้อยแล้ว โดยมีนพดลนั่งตำแหน่งหัวโต๊ะ กิจกรรมบนโต๊ะอาหารดำเนินไปได้ด้วยดี เป็นเหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา
"พ่อคะ วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ ที่เชิญพี่ๆมากัน"
รุจรีพูด ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งกินอาหารบนโต๊ะ
"ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว พ่อก็คิดถึงทุกคน"
"หนูก็คิดถึงคุณพ่อค่ะ"
พรประพาหันมาพูดกับพ่อเธอ พร้อมส่งยิ้ม
"เป็นยังไงบ้างพร ช่วงนี้ธุรกิจไปได้ดีมั้ย?"
"ก็เรื่อยๆค่ะช่วงนี้"
นพดลคิด คำว่าเรื่อยๆของพรประพาคือ ช่วงนี้ธุรกิจของเธอเริ่มมีปัญหา แต่นพดลก็ไม่ถามอะไรลึกลงไปกว่านี้
"อืม... งั้นก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ถ้าหากมีปัญหาอะไรให้พ่อช่วย บอกได้นะ"
"ขอบคุณค่ะพ่อ"
พรประพารับคำนพดล หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ของแต่ละคน พรประพาจะรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หากรับความช่วยเหลือจากนพดล พี่น้องคนอื่นก็คิดคล้ายๆกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องมรดกแล้วมันไม่ใช่
"แล้วเอกล่ะ ช่วงนี้งานที่มหาลัยยุ่งมั้ย?"
"ของผมเหรอครับ ช่วงนี้ก็ยุ่งๆอยู่เหมือนกัน ไหนจะเรื่องสอนในคลาส และเด็กตอนนี้ก็กำลังจะสอบด้วย ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่น่ะครับ"
เอกพลตอบ
"ยังไงๆก็อย่าลืมพักผ่อนเยอะๆนะ สุขภาพสำคัญที่สุดรู้มั้ย"
"ครับพ่อ"
"แล้วเจ้าบูนล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่?"
"ซ้อม ซ้อม และก็ซ้อมครับคุณพ่อ"
เสียงหัวเราะของพิบูลดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ชีวิตผมก็มีแต่เรื่องรถแหล่ะครับคุณพ่อ เรื่องธุรกิจอะไรนั่นไม่มีในหัวเลย นี่ถ้าพ่อยกธุรกิจทั้งผมให้ผมนะ รับรองพ่อได้เห็นมันเจ๊งก่อนตายแน่ๆ"
นพดลหัวเราะชอบใจกับมุขตลก ไม่เว้นแม้แต่พิบูลและพี่ๆร่วมโต๊ะ คงมีแต่เมธาวีเท่านั้นที่มัวแต่เลื่อนนิ้วบนสมาร์ทโฟนของเขา และพยายามหลบเลี่ยงสายตาผู้เป็นพ่อ นพลรู้สึกเป็นห่วงพิบูลน้อยที่สุด ในบันดาลูกๆของเขา เพราะนพดลเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พิบูลมีความสุขตลอดเวลา กับอาชีพนักแข่งรถ
"แล้วเธอล่ะ? เมธาวี หุ้นยังทำเงินให้อยู่มั้ย"
"ครับคุณพ่อ ผมยังมีกำไรเรื่อยๆจากการเทรด"
เมธาวีสบตากับนพดลเพียงครู่เดียว ทำไมนพดลจะไม่รู้ว่าเมธาวีขาดทุนจากตลาดหุ้นนับสิบล้านบาท ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดกำลังลง และนพดลรู้สไตล์การเล่นหุ้นของเมธาวีเป็นอย่างดี
เมื่อเวลาบนโต๊ะอาหาร ถึงเวลาสิ้นสุดลง บรรดาลูกทั้ง 4 คนจึงพร้อมใจกันขอตัว เพื่อกลับบ้าน เมธาวีกดรีโมทเปิดประตูรถ Benz S Class สีบอรนซ์เทา เขาก้าวเดินไปยังตัวรถ ที่ประตูถูกปลดล็อคเรียบร้ยแล้ว เมธาวีถึงกลับตกใจหน้าซีดเมื่อยุภาแอบรอเขานานแล้ว
"คุณเมคะ ช่วยยุภาด้วยค่ะ"
สีหน้ายุภาเคล้าคราบน้ำตา เธอตัวสั่นจนเมธาวีเห็นได้ชัด
"ยุภา! เธอมาทำอะไรตรงนี้"
"คือว่าหนูถูกตำรวจสงสัย มีส่วนรู้เห็นในคดีลอบสังหารคุณนพดลค่ะ"
เมธาวีหน้าซีดลงไปอีก เขานึกในใจว่าใครกัน? ที่สามารถโยงเหตุการณ์นั้นมาเชื่อมเข้ากับยุภาได้ เพราะยุภาเป็นแค่คนส่งข้อความเท่านั้น แต่เขายังวางใจกับเรื่องนี้ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครสามารถ ที่จะเชื่อมโยงมาถึงตัวของเขาเองได้ ถ้าจะโยงได้ก็คงมีเพียงแค่ยุภาเท่านั้น
"เธอไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรที่สาวถึงตัวเธอได้"
"หมายความว่า คุณเมธาวีคิดจะลอบยิง คุณนพดลจริงๆเหรอคะ"
"เธอไปเอาที่ไหนมาพูด ถ้ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงต้องเป็นข่าวแล้วสิ"
เมธาวีเริ่มพูดอย่างร้อนตัว ยุภายังคงทำท่าทางหวาดกลัว
"เอาอย่างนี้ เธอคงตกใจมาก เดี๋ยวฉันจะให้เงินเธอจำนวนหนึ่ง เป็นค่าปลอบขวัญ แต่เธอต้องออกไปตามที่อยู่นี้นะ"
เมธาวีพูดเสร็จ ก็หยิบสมุดพกออกมา และฉีกกระดาษออกมา 1 แผ่น พร้อมเขียนข้อความที่มีลักษณะ เป็นบ้านเลขที่ และมีชื่อคน
"นี่เอาไป เธอไปตามที่อยู่นี้ ถามหาคนชื่อนี้ และเขาจะเอาเงินให้เธอ 1 แสนบาท แต่เธอห้ามบอกใครนะ ว่าฉันใช้ให้เธอเป็นคนส่งข้อความให้ฉัน"
"ตกลงค่ะคุณเมธาวี"
เมื่อเมธาวีเร่งเครื่องรถออกไป ยุภานำข้อความและเศษกระดาษเดินไปหาและส่งให้กับนพดล
"นายท่านจะทำอย่างไรต่อคะ? ถ้าหากคุณเมธาวีเป็นคนบงการจริง"