ชายร่างผอมในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน หงายหลังล้มตัวลง ไหล่ขวาของเขาเปรอะไปด้วยเลือด ชายแก่ขี้เมาเมื่อสักครู่แม้จริงแล้วเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมตัวมา เพื่อคุ้มครองพยาน เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบเข้าจับกุมตัว ชายในชุดน้ำเงิน
ในห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่นั่งสบสายตาคนร้าย ทางเดียวที่จะสาวไปถึงผู้บงการตัวจริงได้ คือคำสารภาพจากชายผู้นี้ การสอบสวนดำเนินขึ้นอย่างตรึงเครียด เนื่องจากผู้ร้ายยังคงให้การปฏิเสธโดยการปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจหยิบรูปภาพบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาให้คนร้ายดู
ชายร่างผอมสูงในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินยังคงทำหน้านิ่งไม่ไหวติง เขาแค่ปรายตาไปมองที่รูปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น
"คุณคงจะรู้จะจักกับชายที่อยู่ในรูปนี้ดีนะครับ ชายที่อยู่ในรูปนี้เรามีหลักฐานว่าเขากำลังคิดจะฆ่าพ่อของตัวเอง และที่สำคัญคือเรามีหลักฐานที่ว่าคุณและชายที่อยู่ในรูปนี้เกี่ยวข้องกัน แต่สิ่งที่เรายังสรุปไม่ได้คือ ระหว่างคุณกับชายที่อยู่ในรูปนี้ร่วมกันวางแผนฆ่า หรือชายที่อยู่ในรูปนี้เป็นคนจ้างวานคุณกันแน่ ประเด็นนี้สำคัญ ลองคิดดูว่าโทษระหว่าง 2 ข้อหานี้ต่างกันมาก"
เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ เหมือนเขาแค่ต้องการพูดประโยคเหล่านี้ให้จบๆไปโดยเร็ว
"แต่ปัญหาของคุณไม่ใช่แค่ที่ไปเกี่ยวข้องกับชายผู้นี้อย่างเดียว แค่เรื่องที่คุณพยายามฆ่าคนตายนั้นก็สามารถทำให้ติดคุกได้สัก 4 หรือ 5 ปีได้"
สีหน้าของคนร้ายเริ่มแสดงสีหน้าเครียด เขาพยายามกลืนน้ำลายที่ข้นหนืดลงคอ
"แต่ถ้าคุณยอมที่จะเป็นพยานในคดีนี้ให้เราในการที่จะชี้ตัวคนผิด คุณก็จะถูกกันตัวเป็นพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา"
"คุณตำรวจพูดจริงหรือครับ"
ในที่สุดคำพูดแรกก็หลุดออกมาจากปากของคนร้าย
"เป็นอันว่าคุณยอมที่จะเป็นพยานให้คดีนี้แล้วใช่มั้ย"
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เนียนเรียบเช่นเดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ร้ายที่อยู่ตรงหน้าตอบรับที่จะเป็นพยานให้อย่างง่ายดาย
และในห้องทำงานของผู้กำกับ พนักงานตำรวจในห้องสอบสวนยื่นเอกสารสำนวนการสอบสวนให้กับผู้กำกับ
"ผมพูดตามที่ผู้กำกับบอกทุกอย่างครับ ผู้ร้ายยอมรับสารภาพและยอมเป็นพยานให้เราแล้วครับ"
"ดีมากจ่า เอาล่ะ ไปทำงานต่อได้"
เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินออกจากห้องไป เหลือไว้แต่ผู้กำกับและทนายแสวงที่นั่งอยู่บนโต๊ะ และตอนนี้ทนายแสวงกำลังไล่อ่านสำนวนจากคนร้าย
"ในที่สุดเราก็สามารถจับมือปืนที่ลอบยิงคุณรุจรีได้แล้ว คนร้ายยอมรับสารภาพแล้ว เราคงจะสามารถปิดคดีนี้ได้แล้ว หากเราจับเมธาวีได้แล้ว"
ทนายแสวงพูดในขณะที่สายตายังจ้องดูที่เอกสาร
"เรื่องนี้มันก็คงจะจบเพียงแค่นี้ เดี๋ยวผมจะเรียกเมธาวีเข้ามาสอบปากคำ คดีนี้ก็น่าจะปิดได้"
"น่าสงสารคุณนพดลนะ ผมเป็นเพื่อนกับเขามานานมากแล้ว นอกจากอำนาจวาสนาบารมี บริวารที่แวดล้อมแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขามีความสุขเลย หลังๆนี้เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวเลย หลังจากที่เมียเขาตายไป"
ทนายแสวงเล่าถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเพื่อนรักให้ผู้กำกับฟัง ผู้กำกับทำสีหน้าเห็นใจนพดล
"ผมก็เห็นด้วยนะ คนเราน่ะยิ่งรวยมากเท่าไหร่ก็ใช่จะหมายความว่าจะมีความสุข ยิ่งสร้างทรัพย์สมบัติมากเท่าไหร่ก็ต้องใช้แรงกายและแรงใจมากมายในการที่จะรักษามัน ใครจะไปคิดล่ะ คนธรรมดาอย่างเราๆที่ไม่มีอะไรให้ต้องรักษามากมาย กับใช้ชีวิตที่เป็นสุขนัก"
หลังจากนั้น ผู้กำกับเรียกตัวเมธาวีมาสอบปากคำทันที เขาใช้วิธีเรียกตัวเมธาวีมาอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้คนรอบๆข้างแตกตื่น และตัวเมธาวีนั้นเองก็ดูเหมือนจะรู้แล้วว่ากรรมที่เขาก่อขึ้นนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องชดใช้ เขาจึงยอมรับสารภาพทุกอย่างที่ตัวเมธาวีนั้นได้กระทำไป
ในตอนนี้น้ำตาท่วมไหลนองอาบสองแก้มของเมธาวี เขาแค่คิดว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วที่ตัวเขาเองนั้นต้องชดใช้เวรกรรมที่ทำไป
"ใช่ครับ ทุกอย่างที่กล่าวมาในข้อกล่าวหา ผมเป็นคนบงการทุกอย่าง ผมยอมรับผิดในทุกเรื่องโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็คือการวางยาพิษในแก้วแชมเปญในวันที่พ่อของผมประกาศพินัยกรรม ผมไม่รู้จริงๆนะครับว่าเรื่องยาพิษนั่นเป็นเรื่องจริง ผมก็นึกว่าเรื่องนั้นเป็นแค่การเข้าใจผิดตามที่พิธีกรประกาศออกมาเท่านั้นเอง"
เจ้าหน้าที่ตำรวจจดคำให้การของเมธาวีลงไปในสมุด และหลังจากนั้นตัวเมธาวีก็ถูกจำกัดอิสรภาพในห้องขังเพื่อรอคำสั่งตัดสินจากศาล เมื่อผู้กำกับอ่านคำให้การของเมธาวีแล้วก็ทำให้เขาถึงกลับแปลกใจในรูปคดี เรื่องนี้จึงถูกส่งต่อไปให้ทนายแสวง และทนายแสวงก็รีบนำข่าวนี้ส่งต่อไปให้พอสะโหนทันที
ในคฤหาสหลังใหญ่ของนพดล พอสะโหนกำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เพราะตอนนี้เขาคิดว่าคดีนี้น่าจะปิดได้แล้ว แต่ก็มีสายโทรศัพท์จากทนายแสวงดังเข้ามาก่อนที่เขาจะปิดกระเป๋าใบใหญ่
"นี่พอสะโหน เรามีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีกแล้ว คดีนี้ยังไม่จบ"
"เกิดอะไรขึ้นครับท่าน"
"เมธาวีบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องยาพิษในวันที่คุณนพดลประกาศพินัยกรรม"
"จริงหรือครับนี่"
พอสะโหนพูดผ่านสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนสิ่งที่ได้ยินมาเป็นแค่ประโยคบอกเล่าทั่วๆไป
"ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มันจะเป็นจริง"
"ที่เธอพูดนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน หรือว่า...?"
"ใช่ครับท่าน ผมนั่งทบทวนเหตุการณ์ทั้งสองนี้อยู่หลายครั้งแล้ว ผมไม่คิดว่าคนร้ายในคดีวางยาพิษนั้นจะกล้าลงมือซ้ำ"
ทนายแสวงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดผ่านโทรศัพท์อีกครั้ง
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แรงจูงใจทั้งสองเหตุการณ์นั้นก็น่าจะต่างกัน"
"ใช่แล้วครับท่าน สิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าคนที่วางยาพิษนั้นต้องการจะฆ่าใครกันแน่ ระหว่างคุณนพดลหรือคุณรุจรีกันแน่ และจากภาพเคลื่อนไหวตอนที่คนร้ายยกแก้วแชมเปญมา เราเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะหยิบแก้วที่มียาพิษให้ใคร แล้วคุณนพดลรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยังครับ"
"นั่นแหละพอสะโหน สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดก็คือจะบอกเรื่องนี้กับคุณนพดลอย่างไรดี"
"แล้วผมจะเป็นคนพูดเองครับ ผมคิดว่าคุณนพดลเป็นคนที่เข้มแข็ง คงจะยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้บ้าง"
ทนายแสวงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจ เขาพูดล่ำลากับพอสะโหนก่อนจะตัดสายทิ้งไป แต่ตอนนี้กับกลายเป็นตัวพอสะโหนเองที่รู้สึกหนักใจแทนนพดล แม้เขาจะเคยเจอคดีแปลกๆมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกับสะเทือนใจของคนที่เป็นผู้ชายเช่นเขา พอสะโหนคิดว่าจะคุยกับนพลพรุ่งนี้เช้า
ในเช้าวันถัดมา พอสะโหนออกไปดักรอนพดลที่กำลังวิ่งออกกำลังกายบนถนนในรั้วบ้าน วันนี้เป็นเช้าที่อากาศดีและตอนนี้แสงจากดวงอาทิตย์ยังสว่างไม่มานนัก
"อ้าว!คุณพอสะหนอ นึกว่ากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีธุระอะไรกับผมหรือ"
"คือว่าผมมีเรื่องเกี่ยวกับคดีที่จะต้องมาเรียนให้ท่านทราบน่ะครับ"
นพดลหยุดพักหายใจสักครู่ ก่อนที่เขาจะบอกให้พอสะโหนพูดต่อ
"ทนายแสวงแจ้งมางผมว่า จากการสอบปากคำคุณเมธาวีนั้น เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคดีวางยาพิษในแก้วแชมเปญเลยครับท่าน"
พอสะโหนหยุดพูดและรอดูท่าทีของนพดลว่าจะตอบรับกลับเรื่องนี้อย่างไร แต่ปรากฎว่านพดลไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตระหนกเท่าไหร่นัก
"เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกหรือนี่ แล้วพอจะมีเบาะแสอะไรมั้ยที่บอกว่าใครเป็นคนบงการวางยา"
"ตอนนี้ยังไม่มีครับท่าน แต่ผมนอนคิดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าอาจจะให้ทนายแสวงไปขอหลักฐานเกี่ยวกับรูปคดีจากผู้กำกับ และผมจะเอาวิเคราะห์หาตัวผู้ต้องสงสัยอีกที"
"ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณนักสืบจัดการเรื่องนี้ได้เลยครับ ต้องขอรบกวนด้วย"
นพดลพยายามทอดถอนหายใจออกมาให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพอสะโหนได้ และก่อนที่นพดลจะค่อยๆออกวิ่งอีกครั้ง พอสะโหนรีบพูด
"ท่านครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันหนักหนาเกินไปที่คนเป็นพ่อจะจับลูกตัวเองเข้าคุกอีก บางทีเราอาจจะทำให้เรื่องนี้ค่อยๆเงียบหายไปเอง"
นพดลหยุดนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองที่พอสะโหน
"ไม่ล่ะครับคุณนักสืบ ผมคงต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง"
"แต่ถ้าเรายิ่งสืบ เรื่องมันอาจจะรุนแรงขึ้นไปอีกนะครับท่าน"
"ไม่เป็นไรหรอกคุณพอสะโหน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดทั้งนั้น ผมต้องขอรบกวนคุณอีกครั้ง"
นพดลออกวิ่ง การสนทนาของทั้งคู่เหมือนเป็นการพูดคุยกันธรรมดา แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันค่อยๆกัดกร่อนจิตใจของผู้ที่เคยครอบครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ อาณาจักรที่นพดลสร้างมันขึ้นมาเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อข่าวเกี่ยวกับเมธาวีแพร่สะพัดในวงสังคม แรกๆเรื่องนี้ก็มีผลกระทบกับวงธุรกิจทั้งหมดในเครือของนพดลเรื่องความเชื่อมั่นของพนักงานและผู้ถือหุ้น แต่เวลาผ่านไปไม่นานจากผู้ที่เคยกังวลใจก็เปลี่ยนกับกลายเป็นเชื่อมั่นในการบริหารธุรกิจของรุจรี ทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างเต็มที่กว่าแต่ก่อน นี่ถ้าหากว่าคนเหล่านั้นได้รับรู้เบื้องหลังว่ายังคงมีปมสังหารที่ยังจับมือคนบงการไม่ได้ เรื่องอาจจยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้อีกเป็นแน่ ดังนั้นทั้งพอสะโหน นพดล ผู้กำกับและทนายแสวงจึงต้องช่วยกันปกปิดความลับนี้ไว้ก่อน
เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งปี ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติไม่มีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ พอสะโหนกลับไปหลังจากเดือนแรกที่เมธาวีถูกจับเพราะสถานการณ์ยังไม่มีความเคลื่อนไหว และการสืบคดีวางยาพิษในแก้วแชมเปญก็ยังไม่มีความคืบหนาอันใด นพดลไม่เคยไปเยี่ยมเมธาวีเลยสักครั้ง เพราะเขาไม่สามารถคิดคำพูดและไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอย่างไร ในการที่จะไปเจอลูกขายที่คิดจะฆ่าน้องสาวตัวเอง หน้าสงสารเมธาวียิ่งหนักที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเดียวดายในห้องขัง ไม่เว้นแม้แต่วัลพาที่หน้าบางเกินกว่าจะไปเยี่ยมสามีตัวเองในเรือนจำ
และแล้วช่วงเวลาแห่งความสงบของครอบครัวใหญ่ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง รถสปอร์ทหรู Mazda MX5 ค่อยๆเลี้ยวเข้าที่จอดรถร้านอาหารหรู พรประพาเดินเข้าไปในร้านมุ่งตรงไปยังโต๊ะด้านในสุด ที่นั่นมีคนนั่งรออยู่ก่อนล้ว
รุจรีกำลังนั่งตักอาหารใส่ปากพอดี เธอวางช้อนลงบนจานทันทีที่เห็นพี่สาวของเธอ
"น้องสั่งอาหารไว้ให้พี่แล้ว เดี๋ยวนั่งทานกันก่อน มีธุระอะไรเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกัน"
รุจรีเอ่ยปากชวนพี่สาวให้กินอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ พรประพาทำตามทันที แต่ท่าทางของพรประพาพอกินเป็นพิธี เพราะเธอร้อนรนใจที่จะพูดมากกว่ากิน เมื่อมื้ออาหารจบลงไปแล้ว รุจรีดื่มน้ำก่อนที่จะหันมาพูดกับพรประพา
"พี่พรโทรนัดน้องมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือคะ"
พรประพาทำท่าตะกุกตะกักเล็กน้อย
"คืออย่างนี้รุจ คือพี่มีเรื่องต้องขอให้รุจช่วยพี่หน่อย ตอนนี้ธุรกิจของพี่มีปัญหาต้องการใช้เงิน พี่อยากจะขอยืมเงินน้องหน่อยได้มั้ย"
"ร้านเพชรของพี่พรมีปัญหาอะไรหรือคะ บอกน้องหน่อยได้มั้ยว่าปัญหาเกิดจากอะไร"
พรประพาทำท่าอึกอักไม่พูดอะไรออกมา เธอได้แต่บ่ายเบี่ยงไม่บอกอะไร
"ก็แบบว่ามีปัญหาภายในนิดหน่อยน่ะ สภาพการเงินไม่คล่อง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะส่งผลต่อยอดขายได้"
"แล้วพี่พรต้องการเงินเท่าไหร่คะ"
"150 ล้าน"
รุจรีถึงกับตกใจกับจำนวนเงินที่พรประพาพูดออกมาแต่เธอก็ยังคงทำหน้านิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
"เงินจำนวนมากอยู่นะคะ ทำไมพี่พรไม่ทำเรื่องกู้เงินจากสถาบันการเงินเอาล่ะ ถ้าไม่อยากไปกู้กับที่อื่นก็กูกับไฟแนนซ์ในเครือของเราก็ได้นี่คะ"
"ไม่ได้หรอก หากว่ามีข่าวเรื่องที่บริษัทของพี่มีปัญหาเรื่องการเงินแพร่ออกไป จะเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และอาจทำให่ราคาหุ้นในตลาดทรุดลงไปจนกู่ไม่กลับ"
รุจรีขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกแปลกกับคำพูดของพี่สาวเธอ
"แล้วพี่พรจะให้รุจช่วยยังไงล่ะคะ"
"พี่อยากจะขอยืมเงินส่วนตัวของรุจ"
คิ้วของรุจรีขมวดเข้ามาจนแทบจะชนกัน
"เงินตั้ง 150 ล้านน้องจะมีได้อย่างไรกัน"
"พี่รู้ๆ ไหนๆตอนนี้เธอก็เป็นคนคุมธุรกิจเครือบริษัทพ่อของเราแล้ว พี่คิดว่าเธอสามารถทีจะแปลงทรัพย์สินบางอย่างของบริษัทออกมาเป็นทุนได้"
"แต่นั่นมันผิดกฏหมาย ยักยอกทรัพย์ น้องอาจจะติดคุกได้เลยนะ"
รุจรีเริ่มทำเสียงแข็งและทำหน้าไม่พอใจ จนพรประพาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นอ่อนแทน
พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 5
ในห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่นั่งสบสายตาคนร้าย ทางเดียวที่จะสาวไปถึงผู้บงการตัวจริงได้ คือคำสารภาพจากชายผู้นี้ การสอบสวนดำเนินขึ้นอย่างตรึงเครียด เนื่องจากผู้ร้ายยังคงให้การปฏิเสธโดยการปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจหยิบรูปภาพบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาให้คนร้ายดู
ชายร่างผอมสูงในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินยังคงทำหน้านิ่งไม่ไหวติง เขาแค่ปรายตาไปมองที่รูปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น
"คุณคงจะรู้จะจักกับชายที่อยู่ในรูปนี้ดีนะครับ ชายที่อยู่ในรูปนี้เรามีหลักฐานว่าเขากำลังคิดจะฆ่าพ่อของตัวเอง และที่สำคัญคือเรามีหลักฐานที่ว่าคุณและชายที่อยู่ในรูปนี้เกี่ยวข้องกัน แต่สิ่งที่เรายังสรุปไม่ได้คือ ระหว่างคุณกับชายที่อยู่ในรูปนี้ร่วมกันวางแผนฆ่า หรือชายที่อยู่ในรูปนี้เป็นคนจ้างวานคุณกันแน่ ประเด็นนี้สำคัญ ลองคิดดูว่าโทษระหว่าง 2 ข้อหานี้ต่างกันมาก"
เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ เหมือนเขาแค่ต้องการพูดประโยคเหล่านี้ให้จบๆไปโดยเร็ว
"แต่ปัญหาของคุณไม่ใช่แค่ที่ไปเกี่ยวข้องกับชายผู้นี้อย่างเดียว แค่เรื่องที่คุณพยายามฆ่าคนตายนั้นก็สามารถทำให้ติดคุกได้สัก 4 หรือ 5 ปีได้"
สีหน้าของคนร้ายเริ่มแสดงสีหน้าเครียด เขาพยายามกลืนน้ำลายที่ข้นหนืดลงคอ
"แต่ถ้าคุณยอมที่จะเป็นพยานในคดีนี้ให้เราในการที่จะชี้ตัวคนผิด คุณก็จะถูกกันตัวเป็นพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา"
"คุณตำรวจพูดจริงหรือครับ"
ในที่สุดคำพูดแรกก็หลุดออกมาจากปากของคนร้าย
"เป็นอันว่าคุณยอมที่จะเป็นพยานให้คดีนี้แล้วใช่มั้ย"
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่เนียนเรียบเช่นเดิม ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ร้ายที่อยู่ตรงหน้าตอบรับที่จะเป็นพยานให้อย่างง่ายดาย
และในห้องทำงานของผู้กำกับ พนักงานตำรวจในห้องสอบสวนยื่นเอกสารสำนวนการสอบสวนให้กับผู้กำกับ
"ผมพูดตามที่ผู้กำกับบอกทุกอย่างครับ ผู้ร้ายยอมรับสารภาพและยอมเป็นพยานให้เราแล้วครับ"
"ดีมากจ่า เอาล่ะ ไปทำงานต่อได้"
เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินออกจากห้องไป เหลือไว้แต่ผู้กำกับและทนายแสวงที่นั่งอยู่บนโต๊ะ และตอนนี้ทนายแสวงกำลังไล่อ่านสำนวนจากคนร้าย
"ในที่สุดเราก็สามารถจับมือปืนที่ลอบยิงคุณรุจรีได้แล้ว คนร้ายยอมรับสารภาพแล้ว เราคงจะสามารถปิดคดีนี้ได้แล้ว หากเราจับเมธาวีได้แล้ว"
ทนายแสวงพูดในขณะที่สายตายังจ้องดูที่เอกสาร
"เรื่องนี้มันก็คงจะจบเพียงแค่นี้ เดี๋ยวผมจะเรียกเมธาวีเข้ามาสอบปากคำ คดีนี้ก็น่าจะปิดได้"
"น่าสงสารคุณนพดลนะ ผมเป็นเพื่อนกับเขามานานมากแล้ว นอกจากอำนาจวาสนาบารมี บริวารที่แวดล้อมแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขามีความสุขเลย หลังๆนี้เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวเลย หลังจากที่เมียเขาตายไป"
ทนายแสวงเล่าถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเพื่อนรักให้ผู้กำกับฟัง ผู้กำกับทำสีหน้าเห็นใจนพดล
"ผมก็เห็นด้วยนะ คนเราน่ะยิ่งรวยมากเท่าไหร่ก็ใช่จะหมายความว่าจะมีความสุข ยิ่งสร้างทรัพย์สมบัติมากเท่าไหร่ก็ต้องใช้แรงกายและแรงใจมากมายในการที่จะรักษามัน ใครจะไปคิดล่ะ คนธรรมดาอย่างเราๆที่ไม่มีอะไรให้ต้องรักษามากมาย กับใช้ชีวิตที่เป็นสุขนัก"
หลังจากนั้น ผู้กำกับเรียกตัวเมธาวีมาสอบปากคำทันที เขาใช้วิธีเรียกตัวเมธาวีมาอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้คนรอบๆข้างแตกตื่น และตัวเมธาวีนั้นเองก็ดูเหมือนจะรู้แล้วว่ากรรมที่เขาก่อขึ้นนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องชดใช้ เขาจึงยอมรับสารภาพทุกอย่างที่ตัวเมธาวีนั้นได้กระทำไป
ในตอนนี้น้ำตาท่วมไหลนองอาบสองแก้มของเมธาวี เขาแค่คิดว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วที่ตัวเขาเองนั้นต้องชดใช้เวรกรรมที่ทำไป
"ใช่ครับ ทุกอย่างที่กล่าวมาในข้อกล่าวหา ผมเป็นคนบงการทุกอย่าง ผมยอมรับผิดในทุกเรื่องโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็คือการวางยาพิษในแก้วแชมเปญในวันที่พ่อของผมประกาศพินัยกรรม ผมไม่รู้จริงๆนะครับว่าเรื่องยาพิษนั่นเป็นเรื่องจริง ผมก็นึกว่าเรื่องนั้นเป็นแค่การเข้าใจผิดตามที่พิธีกรประกาศออกมาเท่านั้นเอง"
เจ้าหน้าที่ตำรวจจดคำให้การของเมธาวีลงไปในสมุด และหลังจากนั้นตัวเมธาวีก็ถูกจำกัดอิสรภาพในห้องขังเพื่อรอคำสั่งตัดสินจากศาล เมื่อผู้กำกับอ่านคำให้การของเมธาวีแล้วก็ทำให้เขาถึงกลับแปลกใจในรูปคดี เรื่องนี้จึงถูกส่งต่อไปให้ทนายแสวง และทนายแสวงก็รีบนำข่าวนี้ส่งต่อไปให้พอสะโหนทันที
ในคฤหาสหลังใหญ่ของนพดล พอสะโหนกำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เพราะตอนนี้เขาคิดว่าคดีนี้น่าจะปิดได้แล้ว แต่ก็มีสายโทรศัพท์จากทนายแสวงดังเข้ามาก่อนที่เขาจะปิดกระเป๋าใบใหญ่
"นี่พอสะโหน เรามีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีกแล้ว คดีนี้ยังไม่จบ"
"เกิดอะไรขึ้นครับท่าน"
"เมธาวีบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องยาพิษในวันที่คุณนพดลประกาศพินัยกรรม"
"จริงหรือครับนี่"
พอสะโหนพูดผ่านสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เหมือนสิ่งที่ได้ยินมาเป็นแค่ประโยคบอกเล่าทั่วๆไป
"ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มันจะเป็นจริง"
"ที่เธอพูดนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน หรือว่า...?"
"ใช่ครับท่าน ผมนั่งทบทวนเหตุการณ์ทั้งสองนี้อยู่หลายครั้งแล้ว ผมไม่คิดว่าคนร้ายในคดีวางยาพิษนั้นจะกล้าลงมือซ้ำ"
ทนายแสวงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดผ่านโทรศัพท์อีกครั้ง
"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แรงจูงใจทั้งสองเหตุการณ์นั้นก็น่าจะต่างกัน"
"ใช่แล้วครับท่าน สิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าคนที่วางยาพิษนั้นต้องการจะฆ่าใครกันแน่ ระหว่างคุณนพดลหรือคุณรุจรีกันแน่ และจากภาพเคลื่อนไหวตอนที่คนร้ายยกแก้วแชมเปญมา เราเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะหยิบแก้วที่มียาพิษให้ใคร แล้วคุณนพดลรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยังครับ"
"นั่นแหละพอสะโหน สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดก็คือจะบอกเรื่องนี้กับคุณนพดลอย่างไรดี"
"แล้วผมจะเป็นคนพูดเองครับ ผมคิดว่าคุณนพดลเป็นคนที่เข้มแข็ง คงจะยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้บ้าง"
ทนายแสวงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจ เขาพูดล่ำลากับพอสะโหนก่อนจะตัดสายทิ้งไป แต่ตอนนี้กับกลายเป็นตัวพอสะโหนเองที่รู้สึกหนักใจแทนนพดล แม้เขาจะเคยเจอคดีแปลกๆมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันกับสะเทือนใจของคนที่เป็นผู้ชายเช่นเขา พอสะโหนคิดว่าจะคุยกับนพลพรุ่งนี้เช้า
ในเช้าวันถัดมา พอสะโหนออกไปดักรอนพดลที่กำลังวิ่งออกกำลังกายบนถนนในรั้วบ้าน วันนี้เป็นเช้าที่อากาศดีและตอนนี้แสงจากดวงอาทิตย์ยังสว่างไม่มานนัก
"อ้าว!คุณพอสะหนอ นึกว่ากลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มีธุระอะไรกับผมหรือ"
"คือว่าผมมีเรื่องเกี่ยวกับคดีที่จะต้องมาเรียนให้ท่านทราบน่ะครับ"
นพดลหยุดพักหายใจสักครู่ ก่อนที่เขาจะบอกให้พอสะโหนพูดต่อ
"ทนายแสวงแจ้งมางผมว่า จากการสอบปากคำคุณเมธาวีนั้น เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคดีวางยาพิษในแก้วแชมเปญเลยครับท่าน"
พอสะโหนหยุดพูดและรอดูท่าทีของนพดลว่าจะตอบรับกลับเรื่องนี้อย่างไร แต่ปรากฎว่านพดลไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตระหนกเท่าไหร่นัก
"เรื่องนี้มันยังไม่จบอีกหรือนี่ แล้วพอจะมีเบาะแสอะไรมั้ยที่บอกว่าใครเป็นคนบงการวางยา"
"ตอนนี้ยังไม่มีครับท่าน แต่ผมนอนคิดตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าอาจจะให้ทนายแสวงไปขอหลักฐานเกี่ยวกับรูปคดีจากผู้กำกับ และผมจะเอาวิเคราะห์หาตัวผู้ต้องสงสัยอีกที"
"ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณนักสืบจัดการเรื่องนี้ได้เลยครับ ต้องขอรบกวนด้วย"
นพดลพยายามทอดถอนหายใจออกมาให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพอสะโหนได้ และก่อนที่นพดลจะค่อยๆออกวิ่งอีกครั้ง พอสะโหนรีบพูด
"ท่านครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันหนักหนาเกินไปที่คนเป็นพ่อจะจับลูกตัวเองเข้าคุกอีก บางทีเราอาจจะทำให้เรื่องนี้ค่อยๆเงียบหายไปเอง"
นพดลหยุดนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองที่พอสะโหน
"ไม่ล่ะครับคุณนักสืบ ผมคงต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง"
"แต่ถ้าเรายิ่งสืบ เรื่องมันอาจจะรุนแรงขึ้นไปอีกนะครับท่าน"
"ไม่เป็นไรหรอกคุณพอสะโหน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดทั้งนั้น ผมต้องขอรบกวนคุณอีกครั้ง"
นพดลออกวิ่ง การสนทนาของทั้งคู่เหมือนเป็นการพูดคุยกันธรรมดา แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันค่อยๆกัดกร่อนจิตใจของผู้ที่เคยครอบครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ อาณาจักรที่นพดลสร้างมันขึ้นมาเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อข่าวเกี่ยวกับเมธาวีแพร่สะพัดในวงสังคม แรกๆเรื่องนี้ก็มีผลกระทบกับวงธุรกิจทั้งหมดในเครือของนพดลเรื่องความเชื่อมั่นของพนักงานและผู้ถือหุ้น แต่เวลาผ่านไปไม่นานจากผู้ที่เคยกังวลใจก็เปลี่ยนกับกลายเป็นเชื่อมั่นในการบริหารธุรกิจของรุจรี ทำให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างเต็มที่กว่าแต่ก่อน นี่ถ้าหากว่าคนเหล่านั้นได้รับรู้เบื้องหลังว่ายังคงมีปมสังหารที่ยังจับมือคนบงการไม่ได้ เรื่องอาจจยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้อีกเป็นแน่ ดังนั้นทั้งพอสะโหน นพดล ผู้กำกับและทนายแสวงจึงต้องช่วยกันปกปิดความลับนี้ไว้ก่อน
เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งปี ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติไม่มีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ พอสะโหนกลับไปหลังจากเดือนแรกที่เมธาวีถูกจับเพราะสถานการณ์ยังไม่มีความเคลื่อนไหว และการสืบคดีวางยาพิษในแก้วแชมเปญก็ยังไม่มีความคืบหนาอันใด นพดลไม่เคยไปเยี่ยมเมธาวีเลยสักครั้ง เพราะเขาไม่สามารถคิดคำพูดและไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอย่างไร ในการที่จะไปเจอลูกขายที่คิดจะฆ่าน้องสาวตัวเอง หน้าสงสารเมธาวียิ่งหนักที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเดียวดายในห้องขัง ไม่เว้นแม้แต่วัลพาที่หน้าบางเกินกว่าจะไปเยี่ยมสามีตัวเองในเรือนจำ
และแล้วช่วงเวลาแห่งความสงบของครอบครัวใหญ่ดูเหมือนจะสิ้นสุดลง รถสปอร์ทหรู Mazda MX5 ค่อยๆเลี้ยวเข้าที่จอดรถร้านอาหารหรู พรประพาเดินเข้าไปในร้านมุ่งตรงไปยังโต๊ะด้านในสุด ที่นั่นมีคนนั่งรออยู่ก่อนล้ว
รุจรีกำลังนั่งตักอาหารใส่ปากพอดี เธอวางช้อนลงบนจานทันทีที่เห็นพี่สาวของเธอ
"น้องสั่งอาหารไว้ให้พี่แล้ว เดี๋ยวนั่งทานกันก่อน มีธุระอะไรเดี๋ยวไว้ค่อยคุยกัน"
รุจรีเอ่ยปากชวนพี่สาวให้กินอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ พรประพาทำตามทันที แต่ท่าทางของพรประพาพอกินเป็นพิธี เพราะเธอร้อนรนใจที่จะพูดมากกว่ากิน เมื่อมื้ออาหารจบลงไปแล้ว รุจรีดื่มน้ำก่อนที่จะหันมาพูดกับพรประพา
"พี่พรโทรนัดน้องมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือคะ"
พรประพาทำท่าตะกุกตะกักเล็กน้อย
"คืออย่างนี้รุจ คือพี่มีเรื่องต้องขอให้รุจช่วยพี่หน่อย ตอนนี้ธุรกิจของพี่มีปัญหาต้องการใช้เงิน พี่อยากจะขอยืมเงินน้องหน่อยได้มั้ย"
"ร้านเพชรของพี่พรมีปัญหาอะไรหรือคะ บอกน้องหน่อยได้มั้ยว่าปัญหาเกิดจากอะไร"
พรประพาทำท่าอึกอักไม่พูดอะไรออกมา เธอได้แต่บ่ายเบี่ยงไม่บอกอะไร
"ก็แบบว่ามีปัญหาภายในนิดหน่อยน่ะ สภาพการเงินไม่คล่อง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะส่งผลต่อยอดขายได้"
"แล้วพี่พรต้องการเงินเท่าไหร่คะ"
"150 ล้าน"
รุจรีถึงกับตกใจกับจำนวนเงินที่พรประพาพูดออกมาแต่เธอก็ยังคงทำหน้านิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
"เงินจำนวนมากอยู่นะคะ ทำไมพี่พรไม่ทำเรื่องกู้เงินจากสถาบันการเงินเอาล่ะ ถ้าไม่อยากไปกู้กับที่อื่นก็กูกับไฟแนนซ์ในเครือของเราก็ได้นี่คะ"
"ไม่ได้หรอก หากว่ามีข่าวเรื่องที่บริษัทของพี่มีปัญหาเรื่องการเงินแพร่ออกไป จะเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้น และอาจทำให่ราคาหุ้นในตลาดทรุดลงไปจนกู่ไม่กลับ"
รุจรีขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้สึกแปลกกับคำพูดของพี่สาวเธอ
"แล้วพี่พรจะให้รุจช่วยยังไงล่ะคะ"
"พี่อยากจะขอยืมเงินส่วนตัวของรุจ"
คิ้วของรุจรีขมวดเข้ามาจนแทบจะชนกัน
"เงินตั้ง 150 ล้านน้องจะมีได้อย่างไรกัน"
"พี่รู้ๆ ไหนๆตอนนี้เธอก็เป็นคนคุมธุรกิจเครือบริษัทพ่อของเราแล้ว พี่คิดว่าเธอสามารถทีจะแปลงทรัพย์สินบางอย่างของบริษัทออกมาเป็นทุนได้"
"แต่นั่นมันผิดกฏหมาย ยักยอกทรัพย์ น้องอาจจะติดคุกได้เลยนะ"
รุจรีเริ่มทำเสียงแข็งและทำหน้าไม่พอใจ จนพรประพาต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นอ่อนแทน