พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 2

กระทู้สนทนา
เสียงโทรศัพท์ของนพดลดังขึ้น ขัดจังหวะเขาในการระหว่างการให้อาหารปลาคาร์ฟญี่ปุ่นตัวใหญ่ นพดลเดินไปรับสายโดยไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"ท่านคะ มีคนมาขอพบท่านค่ะ เขาบอกมาท่านเรียกตัวเขามา"

เสียงแม่บ้านดังผ่านโทรศัพท์ นพดลคิดได้ว่าต้องเป็นคนของผู้กำกับแน่ๆ จึงบอกกับแม่บ้านว่าเดี๋ยวจะลงไป

ภาพที่ปรากฏต่อหน้านพดลคือชายหนุ่มผิวคล้ำ ตัวสูงใหญ่แสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกจากโรงยิม ใบหน้าทรงกระบอก โหนกแก้มสูงกรามหนาและใหญ่ สายตากลมโตขนตายาวเป็นแพ คิ้วหนาโค้งได้รูป

"สวัสดีครับคุณนพดล ผมเป็นคนสวนที่ถูกส่งมาจากบริษัทจัดหาแรงงานที่ท่านติดต่อไว้ครับ"

นพดลทำท่างง เขาต้องการคนสวนจริงแต่ไม่เคยไปติดต่อกับบริษัทไหนให้ส่งคนมา แต่นพดลยังเอ่ยถามชื่อกับชายหนุ่มที่ยืนต่อหน้า

"แล้วเธอชื่ออะไร"

"ผมชื่อพอสะโหนครับ"

เสียงหัวเราะระเบิดดังลั่นทั้งจากนพดลและแม่บ้าน แต่นพดลไม่ได้หัวเราะเพราะชื่อที่ฟังดูแล้วคันหู แต่เป็นเพราะเขาไม่นึกว่าผู้กำกับจะส่งนักสืบมาทางนี้

"ดีจังเลยค่ะนายท่าน ในที่สุดเราก็ได้คนสวนแล้ว"

แม่บ้านดีใจเมื่อมีคนมาแบ่งเบาภาระหน้าที่ ตั้งแต่คนทำสวนคนเก่าลาออกไป เธอต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น

"ดีเลย เดี๋ยวแม่บ้านพานายคนสวนเอาข้าวของไปเก็บในห้องพักก่อนนะ แล้วให้ไปหาชั้นที่สวนข้างทะเลสาบ"

แม่บ้านพาพอสะโหนไปยังห้องพักสำหรับคนสวน จากนั้นพอสะโหนก็เดินตามทางเดินเพื่อไปหานพดลยังสวนข้างทะเลสาบ เขาเริ่มสงสัยว่านี่คือบ้านหรือหมู่บ้านกันแน่

"ความจริงแล้วคุณแสวงเป็นคนส่งตัวผมมา ทนายแสวงรู้ว่าคุณนพดลต้องการคนทำสวนมานานแล้ว จึงให้ผมปลอมตัวเข้ามาในบ้านหลังนี้โดยวิธีนี้"

"ทนายแสวงเป็นเพียงคนไม่กี่คนที่ผมไว้ใจที่สุด ถ้าใครที่ถูกแนะนำมาโดยทนายแสวง คนนั่นจึงเป็นคนที่ผมไว้ใจได้เหมือนกัน"

"ขอบคุณครับท่านที่ไว้ใจผม คราวนี้เรามาพูดถึงรูปคดีกัน ผมได้รวบรวมและเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดมาจากคุณแสวงแล้วครับ ตอนนี้คนร้ายตัวจริงที่คิดจะวางยาท่านหรือคุณรุจรีรู้แล้วว่าแผนล้มเหลว และรู้ด้วยว่าท่านรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกปองร้ายอยู่"

"แล้วผมควรทำอย่างไรดี"

"พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่คุณรุจรีเข้ารับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่ เราต้องรู้ให้ได้ว่าคนที่คิดจะวางยานั้น ต้องการที่จะฆ่าท่านหรือฆ่าคุณรุจรี"

"แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?"

"ง่ายมากครับท่าน หากคนร้ายต้องการต้องการฆ่าคุณรุจรีจริง พรุ่งนี้คนร้ายต้องทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้คุณรุจรีเข้ารับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่"

"แล้วความปลอดภัยของลูกรุจล่ะ?"

นพดลตกใจ เมื่อคิดว่าต้องใช้ชีวิตของลูกสาวมาเสี่ยงเพื่อหาความจริง

"ไม่ต้องห่วงครับท่าน ท่านผู้กำกับจะเป็นคนดูแลเรื่องความปลอดภัยทั้งหมดเอง แต่คุณนพดลไม่ต้องเป็นห่วงนะ ความปลอดภัยของท่านและคุณนุจรีสำคัญที่สุด"

"ขอบใจมาก"

นพดลเริ่มรู้สึกเบาใจขึ้น

"เอ่อ! ท่านครับผมมีเรื่องสงสัยที่อยากจะถามสักหน่อย และคำตอบของท่านจะมีผลต่อการสืบคดีด้วย"

"ได้สิ ว่ามา"

"ทำไมท่านถึงยกตำแหน่งทางธุรกิจทั้งหมดให้คุณรุจรี ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กที่ยังไม่มีความพร้อมทางธุรกิจอะไรเลย แทนที่จะเป็นคุณเมธาวีมากกว่า ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและยังเป็นลูกชายคนโตของตระกูล"

พอสะโหนพูดจบก็สังเกตเห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของนพดลทันที แต่เขาก็เลี่ยงคำถามนี้ไม่ได้ เพราะมันอาจจะสามารถใช้ในการไขคดีของเขาได้

"ตั้งแต่แม่ของพวกเด็กๆตายไปเมื่อรุจรียังอายุเพียงแค่ 7 ขวบ เธอเหมือนกับถูกปล่อยให้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในบรรดาเหล่าพี่น้อง เพราะเธอเองเป็นคนที่ติดแม่มากจนไม่ค่อยไปสุงสิงกับพี่ๆ เธอเคยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นร้ายแรงอยู่ช่วงหนึ่ง จนต้องส่งไปรักษาที่ต่างประเทศ พอผ่านไปหลายเดือนเธอกลับมาอาการเหล่านั้นก็หายไป ผมเลยตามใจเธอทุกอย่างที่เธออยากทำ เธออยากเรียนอะไรผมตามใจทุกอย่าง ต่างกันกับพี่อีก 4 คนที่ผมช่วยปูพื้นฐานทางอาชีพไว้ให้อย่างเต็มที่"

"ท่านจึงคิดว่าการยกตำแหน่งทางธุรกิจทั้งหมดให้รุจรี คือการเติมเต็มในสิ่งที่เธอขาดหายไป?"

"ใช่"

"แล้วท่านคิดว่าคุณรุจรีมีความต้องการในธุรกิจของท่านหรือไม่?"

นพดลนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาหันหน้าออกไปยังทะเลสาบทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้า

"เธอเป็นเหมือนพนักงานคนหนึ่งของธุรกิจของผม เธอเป็นหัวหน้าสถาปนิกในการออกแบบรีสอร์ท และเป็นหัวหน้าผู้ค้นคว้าและวิจัยในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง คงถึงเวลาแล้วที่รุจรีจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารแทนผม"

"แต่ทนายแสวงบอกผมว่าคุณรุจรีไม่มีความรู้ในด้านบริหาร"

"ใช่ เมื่อเทียบกับเมธาวีแล้ว เมธาวีมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของตัวเลขและการบริหารมากกว่า แต่ไม่มีความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการอะไรเลย ผมคิดว่าการเรียนรู้เรื่องบริหารนั้นง่ายกว่าการเรียนรู้เรื่องผลิตภัณฑ์หรือการบริการ รุจรีหากให้เวลาสักหน่อยเธอต้องเป็นนักบริหารที่เก่ง"

นพดลเผยความรู้สึกออกมาเป็นครั้งแรก

"แล้วท่านทำไมไม่ให้ทุกคนช่วยกันบริหารงาน?"

"นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกกับจะบอกกับคุณนักสืบ ความจริงแล้วในระหว่างพี่น้องทั้ง 5 คน มีความขัดแย้งบางอย่างคั่นตรงกลางและคนแต่ละคน การชิงดีชิงเด่น ความอิจฉา เกลียดชังรวมถึงบางครั้งอยากเหยียบให้อีกฝ่ายจมดินไปเลยก็มี"

"ถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ"

"ผมเองก็มีส่วนผิดที่ไม่เคยให้เวลากับลูกๆ ผมคิดเอาไว้ว่าหากให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการบริหาร ธุรกิจทั้งหมดของผมจะล้มเร็วขึ้นก่อนที่ผมจะตายเสียอีก ผมจึงคิดว่าจะให้สิทธิ์เด็ดขาดกับคนเพียงคนเดียว นั่นอาจจะเป็นทางรอดทางเดียวของธุรกิจหลายพันล้าน"

"ท่านคิดว่าพี่น้องจะฆ่ากันเองเพียงเพื่อสมบัติได้หรือครับ?"

"ตัวอย่างมีอยู่มากมายในสังคม พี่ฆ่าน้อง ลูกฆ่าพ่อ อาฆ่าหลาน ผมเองก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าจะมีลูกคนไหนฆ่าผมเพียงเพราะต้องการสมบัติ"

"ผมหมดคำถามแล้วครับท่าน ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี"

พอสะโหนหยุดคำถามอีกมากมายในหัว เพราะเห็นนพดลเริ่มมีอาการเครียด เขาเพิ่งจะเข้าใจในความทุกข์ของคนรวยก็คราวนี้ พลันคิดว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาเป็นคนจน

...

รุจรีกำลังแต่งตัวเตรียมพร้อมออกจากคฤหาสน์องเธอ ไม่นานเธอเดินออกมายังรถ Benz S Class สีดำมันวาวที่จอดรอหน้าคฤหาสน์ คนขับรถลงมาเปิดประตูหลังทางด้านซ้ายของตัวรถ รุจรีเห็นนพดลนั่งรออยู่ในนั้นแล้ว เธอยิ้มและขึ้นไปนั่งยังเบาะข้างๆพ่อของเธอ

"นับตั้งแต่วันนี้ไปพ่อได้จัดเตรียมที่ปรึกษาเก่งๆไว้ให้แล้ว ลูกเพียงแต่เอาคำแนะนำเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แล้วต่อไปลูกของพ่อก็จะเก่งเอง"

คำปลอบใจของนพดลทำให้สีหน้าและแววตาของรุจรีดูคลายความกังวลลงได้ วันนี้เธอต้องขึ้นไปบนเวทีห้องประชุมใหญ่ เพื่อไปกล่าวขึ้นรับตำแหน่งต่อจากพ่อของเธอ ต่อหน้ากรรมการและผู้บริหารคนอื่นๆในเครือธุรกิจของนพดลทั้งหมด และเมื่อผ่านพิธีกรรมนี้ไปแล้ว เธอจะเป็นผู้กุมบังเยิ้มยนทั้งหมดในเครือบริษัท นพดล กรุ๊ป

"พ่อคะ มีพี่ที่เก่งๆกว่าหนูหลายคน ทำไมพ่อต้องยกตำแหน่งนี้ให้หนูด้วยคะ"

"ใครว่าลูกพ่อไม่เก่ง ลูกพ่อเก่งอยู่แล้ว ยังไงพ่อจะยืนเคียงข้างลูก พ่อคงไม่ตายภาพในปีสองปีนี้หรอก"

"ไม่เอาค่ะพ่อ อย่าพูดแบบนั้น"

รถยนต์แล่นออกจากประตูบ้านออกไป สายตาใครครู่หนึ่งจ้องมองออกมาจากชั้น 2 ของบ้านผ่านหน้าต่าง นิ้วมือกดปุ่มบนโทรศัพท์เป็นการส่งสัญญาณออกไปให้ใครบางคนรับรู้ อีกมุมหนึ่งของบ้าน พอสะโหนทำทีเป็นกวาดใบไม้ในสวน เขาก็โทรศัพท์ไปหายังผู้กำกับว่านพดลและรุจรีออกจากบ้านไปแล้วเช่นกัน

วันนี้ทั้งเมธาวี เอกพล ประพาพรและพิบูลก็ต่างมาเข้าร่วมการประชุม เพราะถูกขอร้องแกมบังคับจากนพดลไว้แล้ว หากงานมอบตำแหน่งในวันนี้ผ่านพ้นไปเมื่อไหร่ ความรู้สึกใครบางคนในพี่น้อง 4 คนที่ไม่ได้รับตำแหน่ง จะเหมือนกับถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง เพราะความคาดหวังและความศรัทธาที่เคยมีนั้นถูกทรยศ

รถยนต์คันใหญ่สีดำมันวาวค่อยๆเคลื่อนตัวบนถนน การจราจรไม่หนาแน่นมาก คนขับรถใช้ความเร็วไม่เกิน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปตามทางสายหลัก ทันใดนั้น! รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ได้เร่งทำความเร็วขึ้นมาคู่กับรถที่รุจรีนั่ง คนที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ใช้ปืนสั้นยิงกระสุนไปที่ล้อหน้า 2 นัด ยางล้อรถเก๋งคันใหญ่ระเบิดทันที แต่ด้วยความเร็วของรถไม่มากจึงทำให้รถไม่พลิกคว่ำหรือลื่นไถลไปไกล รถยนต์จอดนิ่งสนิท

คนร้ายที่ซ้อนที่มอเตอร์ไซค์เดินมายังกระจกข้างที่รุจรีนั่ง เขากระหน่ำลูกกระสุนปืนออกมาจนหมดแม็ก ก่อนที่ทั้งคู่จะบิดมอเตอร์ไซค์หนีหายไปกับการจราจร

เพียงครู่เดียวหลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญผ่านไป รถยนต์สีดำคันหนึ่งหยุดจอดบริเวณที่เกิดเหตุ ผู้กำกับถือปืนเดินลงมาจากรถก่อนเข้าไปสำรวจดูร่องรอยของลูกกระสุนปืนบนกระจกนิรภัยหนาข้างประตูรถเก๋ง ผู้กำกับทำสัญญาณมือบอกให้คนขับปลดล็อคประตู

"ไม่เป็นไรนะครับ คุณนพดลและคุณรุจรี"

ผู้กำกับรีบถามอาการของทั้งคู่ และยังได้วิทยุออกสกัดคนร้ายตามเส้นทางที่มุ่งไป

"ขอบคุณผู้กำกับมากนะครับ ถ้าไม่ได้ท่านผมกับลูกรุจคงได้ไปนอนในหลุมฝังศพแล้ว"

นพดลยังมีอารมณ์ขันพอที่จะพูดให้บรรยากาศคลายความตึงเครียด

"เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงคะ ใครส่งคนเหล่านั้นมา!"

รุจรียังอยู่ในอารมณ์ที่ตกใจ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาเจอเหตุการณ์เหมือนในวันนี้

"ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ เดี๋ยวตำรวจจะเข้ามาเพื่อรักษาความปลอดภัย ไม่ต้องกลัวนะครับ"

ผู้กำกับพูดก่อนเดินออกไปวิทยุเรียกหน่วยเสริม แต่นพดลรีบพูดขัดจังหวะ

"เดี๋ยวครับ ผมขอคุยด้วยหน่อย"

นพดลลงออกจากรถ แต่ก็ยังอดไปมองสายตาที่ยังไม่หายตกใจของรุจรีไม่ได้ นพดลปิดประตูรถเพื่อคุยกับผู้กำกับ

"ผมขอปรึกษาพอสะโหนก่อน"

นพดลรู้สึกว่าที่พึ่งสุดท้ายของเขาคือพอสะโหน นพดลไว้ใจเขามาก

"มันเกิดขึ้นจริงๆใช่มั้ยครับท่าน ความจริงแล้วในสถานการณ์แบบนี้ท่านอย่าเพิ่งหลบหนีไปไหน คนร้ายไม่กล้าลงมือซ้ำอย่างแน่นอน ผมว่าท่านควรที่จะทำตามกำหนดการณ์เดินทุกอย่างในวันนี้ ทำพิธีมอบตำแหน่งให้กับคุณรุจรีที่บริษัท ผมจะให้ผู้กำกับช่วยปิดข่าวนี้ไว้"

"เอาตามนั้นละกันคุณพอสะโหน"

"เดี๋ยวผมจะขับรถออกไปรับท่านและคุณรุจรีไปยังที่ตึกเอง"

นพดลเริ่มอุ่นใจเมื่อมีพอสะโหนอยู่ใกล้ๆ หากไม่มีคำทำนายของพอสะโหน ตอนนี้เขาและรุจรีคงตายสมใจผู้บงการไปแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน. ใกล้เคียงรุดมายังสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว พื้นที่ถูกปิดกั้นเพื่อเก็บหลักฐานตามขั้นตอน ไม่นานพอสะโหนก็นั่งคู่มากับคนขับรถอีกคนมาจอด นพดลโทรไปสั่งคนขับรถที่บ้านให้พาพอสะโหนมาด้วย

ทั้ง 3 คนรวมคนขับรถด้วยเป็น 4 ออกมาจากที่เกิดเหตุ พวกเขาตรงไปยังตึกใหญ่ใจกลางเมือง ความสูง 38 ชั้น กรรมการทุกคนรวมทั้งผู้บริหารไปนั่งรอในห้องประชุมใหญ่กันหมดแล้ว พนักงานบางส่วนก็เข้าไปเป็นสักขีพยาน แน่นอน! พี่น้องอีก 4 คนก็นั่งในนั้นด้วย

ประตูห้องประชุมเปิดออก 1 ใน 4 ของพี่น้องเห็นนพดลและรุจรีเดินเข้ามาจึงทำท่าตกใจและเผลอทุบโต๊ะเบาๆ แต่ไม่มีใครสังเกต นพดลก้าวขึ้นไปพูดออกไมโครโฟนพร้อมรุจรีที่เดินตามขึ้นไป

"ต้องขอโทษทุกท่านที่ผมปล่อยให้รอนาน พอดีเมื่อเช้าระหว่างาทางที่นั่งรถมากับรุจรี ยางรถได้เกิดแตก ทำให้ต้องโทรเรียกรถอีกคันที่บ้านมารับผมและลูกสาว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมจะกล่าวแสดงเจตนารมณ์ของผม และต่อจากนั้นจะบรรยายถึงบทบาทหน้าที่ต่อไปของรุจรีให้ทุกท่านทราบ"

นพดลขึ้นกล่าวบนเวที ในขณะที่พอสะโหนเดินไปข้างเวที เพื่อแอบดูสังเกตถึงสีหน้าและแววตาของคนที่อยู่ในห้องประชุม โดยเฉพาะพี่น้องทั้ง 4 ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน เขาสังเกตเห็นความผิดปกติสงสัยของใครคนหนึ่งในนั้น

พิบูลสีหน้ายิ้มแย้มตั้งใจฟังนพดลพูด เอกพลทำหน้านิ่งนั่งดูบนเวที พรประภานั่งจิบถ้วยกาแฟ ชูเล็บขึ้นมาสำรวจดู หยิบกระจกมาส่องหน้าเช็คความเรียบร้อย เอามือจัดทรงผมให้เข้าที่ มีแต่เมธาวีที่ดูอาการหันซ้ายแลขวาไม่อยู่นิ่ง เขาเอาแต่เช็คข้อความในโทรศัพท์เอาแต่ก้มหน้า เมื่อนั้นพอสะโหนก็มั่นใจว่าผู้ต้องสงสัยอันดับ 1 คือเมธาวีนี่เอง แต่เขาก็ยังนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถฉีกหน้ากากของคนร้ายออกมาได้ พอสะโหนใช้กล้องจากมือถือพยายามบันทึกภาพเคลื่อนไหวอาการของเมธาวีไว้

ในที่สุด การกล่าวคำพูดบนเวทีของนพดลที่ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาชั่วโมงกว่า ก็ใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดของเวที
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่