วันรุ่งขึ้น นพดลสั่งให้แผนกบุคคลของบริษัท นำประวัติของคนงานที่ส่งมาทำงานในบ้านทั้งหมดส่งให้เขา จากนั้นนพดลก็ส่งเฉพาะเบอร์โทรทั้งหมด ส่งให้ผู้กำกับตามคำแนะนำของพอสะโหน
ผู้กำกับนำรายการเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดของคนที่อยู่ในบ้าน ในช่วงเวลา 7 โมงถึง 7 โมง 20 นาที ไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการเลขหมายโทรศัพท์ด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ามีการสืบสวนอย่างลับๆ หลังจากใช้เวลาไม่นานในการค้นหาบันทึกการใช้โทรศัพท์ในช่วงนั้น ผู้กำกับนำเอกสารจำนวน 3 แผ่นส่งให้กับทนายแสวงที่สำนักงาน
"นี่คือบันทึกการใช้โทรศัพท์ของ 3 ผู้ต้องสงสัยตามที่คุณพอสะโหนต้องการ"
"ขอบคุณมากครับท่านผู้กำกับ ผมเชื่อว่าพอสะโหนเค้ามีวิธีที่จะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ได้"
"อืม... นับว่าเขาเป็นคนที่ทำงานเก่งกว่าที่คาดไว้อีกนะ คุณทนายไปรู้จักกับพอสะโหนได้อย่างไรกันน่ะ"
"ในสมัยก่อนผมกับพ่อของเขาเป็นเพื่อนกัน บ้านเราอยู่ติดกันน่ะครับ ตอนนั้นพอสะโหนเพิ่งจะอายุได้เพียง 2 ขวบ แต่พ่อและแม่ของเขาก็ถูกฆ่าตาย จนถึงตอนนี้คดีที่เกี่ยวกับพ่อและแม่เขา ยังไม่สามารถคลี่คลายได้"
"เพราะเหตุนี้หรือเปล่า? จึงทำให้เขามาเป็นนักสืบ"
"มันก็ไม่เชิงหรอกครับ ที่พอสะโหนเป็นนักสืบเพราะเขามีไหวพริบดี และมีความมุ่งมั่นในการรักษาความยุติธรรม และเรื่องคดีของพ่อแม่โพสะโหน จะเป็นแรงบัลดาลใจให้เขาหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ เพราะตอนนั้นพอสะโหนยังแค่ 2 ขวบเอง"
"แล้วพอสะโหนไปอยู่กับใครล่ะตอนนั้น?"
"โชคร้ายที่พ่อและแม่ของพอสะโหนก็ไม่มีญาติที่ไหน ผมเลยรับอุปการะพอสะโหนมาตั้งแต่บัดนั้น เขาก็เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่งของผมเหมือนกัน"
ผู้กำกับรู้สึกทึ่งในประวัติของพอสะโหน
"เดี๋ยวผมขอส่งข้อมูลชิ้นนี้ให้พอสะโหนก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวผมจะเรียนให้ท่านผู้กำกับทราบ"
ทนายแสวงเก็บเอกสารลงในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
"อ่อ! แล้วมือปืนที่ก่อเหตุเรามีเบาะแสมั้ย?"
"ยังไม่มี ตอนนี้เรากำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด คิดว่าไม่นานคงมีเบาะแส
...
ข้อมูลเอกสารที่ส่งให้พอสะโหนเป็นหมายเลขโทรศัพท์ 3 หมายเลขและบันทึกการใช้งานในช่วงเวลา 7 โมงถึง 7 โมง 20 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รุจรีและนพดลออกจากบ้านไปที่เวลา 7 โมง 10 นาที
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 1 เวลา 7 โมง 8 นาที มีการส่งข้อความออกไปยังหมายเลขปลายทางที่ 1 ข้อความเขียนว่า 'ออกจากบ้านแล้ว'
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 2 เวลา 7 โมง 12 นาที มีการเรียกสัญญาณไปยังหมายเลขปลายทางที่ 2 ใช้เวลาสนทนา 13 วินาที
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 3 เวลา 7 โมง 13 นาที มีการส่งข้อความออกไปยังหมายเลขปลายทางที่ 3 ข้อความเขียนว่า 'bb'
พอสะโหนดูรายงานที่ทนายแสวงส่งมาให้ทางอีเมล์ บันทึกการใช้งานของทั้ง 3 หมายเลขยังคลุมเคลือเกินกว่าที่จะบอกได้ ว่าใครจะเป็นคนชี้เป้า หรือบางทีพอสะโหนก็คิดว่า เรื่องคนชี้เป้าก็อาจจะไม่มีอยู่จริง แต่เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นเบาะแสแรกที่จะลองสืบได้
แม้ในหมายเลขโทรศัพท์ที่ 1 ข้อความที่ถูกส่งออกไป จะคล้ายกับข้อความที่สั่งให้มือปืนลงมือ แต่พอสะโหนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เขานั่งครุ่นคิดว่าจะตัดตัวเลือกใดออกไป เพื่อให้เหลือตัวเลือกน้อยลง พอสะโหนคิดขึ้นได้ว่าเป้าหมายที่เขาต้องการรู้คือมือปืน ยังไม่ใช่คนชี้เป้า เขาจึงคิดว่าควรเอาเบอร์โทรศัพท์ปลายทางไปเช็คว่าเป็นของใคร
พอสะโหนขอให้ทนายแสวงช่วยบอกให้ผู้กำกับ ช่วยตรวจสอบบันทึกการใช้งานของเบอร์ปลายทางทั้ง 3 ว่าจะมีผู้ใดมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่สุด เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้กำกับก็สามารถตรวจสอบบันทึกการใข้งานของทั้ง 3 หมายเลขได้
หมายเลขที่ 1 เป็นเบอร์โทรศัพท์ของเลขาส่วนตัวของนพดล เบอร์โทรศัพท์มีการลงทะเบียนผู้ใช้
หมายเลขที่ 2 เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกเปิดบริการใหม่ ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้ ไม่มีบันทึกการใช้งานโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ มีบันทึกการสนทนาครั้งเดียว ซึ่งก็คือครั้งนี้
หมายเลขที่ 3 เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เปิดใช้บริการใหม่ ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้ ไม่มีบันทึกการใช้งานโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ข้อความที่รับครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก
เบาะแสต่อไปที่จะสามารถสืบได้ต่อไปคือ เจ้าของหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 2 และ 3 พอสะโหนคิดว่าหากเขาสามารถเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของเบอร์นี้กับเมธาวีได้ เขาก็อาจจะมีพยานและหลักฐานพอที่จะควบคุมตัวเมธาวี เพื่อความปลอดภัยของนพดลและรุจรี แต่ปัญหาที่เขายังคิดไม่ตกตอนนี้คือ ทำไมถึงมีถึง 2 เบอร์ที่เพิ่งจะเปิดใช้บริการใหม่ และยังถูกใช้ครั้งแรกในเวลานั้นทั้งคู่ หรือนี่คือเรื่องบังเอิญ จะบังเอิญแค่ 1 หมายเลขหรือบังเอิญทั้ง 2 หมายเลขกันแน่ พอสะโหนรู้สึกมึนงง จึงคิดว่าจะลงไปทำสวนดู เผื่อจะได้ลองคุยกับคนในบ้าน บางทีเขาอาจจะได้เบาะแสหรือเห็นความขัดแย้งอะไรบ้าง ในบ้านหลังนี้
ป้าพร หัวหน้าแม่บ้านที่เจอกับพอสะโหนในครั้งแรก เธอเดินเข้ามาหาพอสะโหน ในระหว่างที่พอสะโหนกำลังทำเป็นกวาดพื้นหญ้า
"เป็นอย่างไรบ้างพ่อพอสะโน"
ป้าพรเอ่ยทักทายพอสะโหนอย่างใกล้ชิด
"ครับป้า บ้านหลังนี้ใหญ่ งานคงจะหนัก เอ่อ!ป้าถามหน่อยสิ บรรดาลูกของคุณนพดลเขาพักกันที่นี่หรือเปล่า"
"ใช่แล้วล่ะ ในรั้วบ้านหลังนี้มีบ้านทั้งหมด 8 หลัง ไม่รวมพวกตึกๆอื่นที่ไม่ใช่บ้านนะ ลูกของคุณผู้ชายมีทั้งหมด 5 คน แต่ละคนก็มีบ้านคนละหลัง"
"แล้วพวกเขาอยู่บ้านในรั้วนี้เป็นประจำหรือเปล่า?"
"ทุกคนล้วนมีบ้านเป็นของตัวเองข้างนอกกัน มีแต่คุณหนูรุจรีคนเดียวที่พักในบ้านนี้เป็นประจำ แล้วถามทำไมเหรอจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ่อ เปล่าครับ คือผมเห็นว่าคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้มีไม่กี่คน แต่พื้นที่และจำนวนบ้านเยอะมาก จึงแค่แปลกใจน่ะครับว่าจะดูแลบ้านกันไหวเหรอ"
"หากเป็นเรื่องการทำความสะอาด การซ่อมแซมบ้านเราก็จะจ้างคนงานจากข้างนอก มาทำเดือนละครั้งน่ะ งานสวนก็เหมือนกันนะ"
"อย่างนี้คุณนพดลคงเหงาแย่เลยสิเนี่ย แต่ก็ยังดีที่มีคุณรุจรีอยู่กับท่าน"
"คุณหนูรุจรีเหรอ เธอก็เป็นลูกที่น่ารักดีนะ ในช่วงเทศกาลหรือวันที่เธอว่างๆ ก็จะมีแต่แม่หนูรุจรีคนเดียวแหล่ะ ที่โผล่มาให้นายท่านเห็น"
"อ้าว! แล้วคนอื่นๆล่ะ"
"คุณเมธาวีเค้าก็มีธุรกิจของตัว ต้องบริหารบริษัทให้คุณพ่อด้วยแล้วเขาก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลอีก คุณเอกพลก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบเยอะ ไหนจะงานวิจัยดูแลนักศึกษา แค่นี้ก็ไม่มีเวลาให้นายท่านแล้วล่ะ คุณพรประพาก็มีธุรกิจค้าเพชรพลอย เธอก็คงไม่มีเวลาอีกเหมือนกัน ส่วนคุณพิบูล วันๆก็อยู่แต่สนามแข่งรถ ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกัน"
"แล้วป้าสนิทกับพวกเขามั้ย?"
"ป้าอยู่บ้านหลังนี้มา 30 ปีแล้ว ตั้งแต่คุณเมธาวี10 ขวบ ป้าก็เป็นคนช่วยคุณแม่ของเมธาวีเลี้ยงดูเขาตั้งแต่ยังเล็ก เด็กคนอื่นๆก็เช่นกัน"
"ขอบคุณมากครับป้า งั้นเดี๋ยวผมขอกวาดใบไม้ในสวนก่อนนะครับ คิดว่าวันนี้ทั้งวันคงกวาดได้แค่ครึ่งเดียว"
พอสะโหนหัวเราะอย่างเป็นกันเองกับป้าพร
"ได้จ้ะ ถ้ามีอะไรสงสัยเรียกป้าในบ้านได้นะ"
พอสะโหนคิดว่าป้าพรจะต้องเป็นคนที่รู้ถึงความขัดแย้งต่างๆ ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี แต่เขาจะถามป้าตรงๆไม่ได้ ต้องค่อยๆแอบถามทีละน้อย พอสะโหนตัดสินใจโทรศัพท์ไปหานพดล เพื่อขอชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ 2 เบอร์นั้น
ไม่นานนพดลก็ส่งข้อความตอบกลับมาในโทรศัทพ์ ว่าทั้งสองเบอร์โทรศัพท์นั้นเจ้าของคือ 'ละไม' แม่บ้านทำความสะอาด ใช้โทรศัพท์สนทนา 13 วินาที และ 'ยุภา' เป็นผู่ช่วยในครัว ส่งข้อความออกไปว่า 'bb'
...
การรักษาความปลอดภัยทั้งของนพดลและรุจรี มีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่ทำแบบประเจิดประเจ้อให้คนภายนอกแตกตื่น ในการทำงานในตำแหน่งผู้บริหารแรกๆนั้น ในบริษัทมีทั้งสายตาที่ยอมรับและไม่ยอมรับจากพนักงาน นั่นขึ้นอยู่กับว่าพนักงานคนนั้นเป็นคนของใคร
หากเป็นผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเมธาวีมาก่อน พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดจะเป็นของเมธาวี หากเมธาวีเป็นผู้นำ คนที่อยู่ใต้เมธาวีก็หวังว่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนบ้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับรุจรี และอยากจะต่อต้านคำสั่งของรุจรี แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะรุจรีคือเจ้านาย ส่วนพนักงานที่เคยทำงานกับรุจรีมาก่อน เคยเห็นถึงความเก่งของเธอ การดูแลเอาใจใส่ลูกน้อง คนเหล่านั้นก็ยังคงชื่นชอบในตัวรุจรี
"นัองเกรงว่าจะไม่สารถทำตามแผนที่พี่บอกได้ค่ะ เพราะที่ปรึกษาผู้ที่เคยทำงานกับคุณพ่อมานานแล้ว เขาบอกว่าแผนธุรกิจของพี่ยังไม่ีพอ และมีโอกาสจะสร้างความเสียหายได้อีก"
"โธ่! รุจ น้องยังเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหาร จะไปเข้าใจอะไรกับแผนของพี่ ยังไงเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พวกที่ปรึกษานั่นก็เป็นแค่คนนอก"
"น้องเข้าใจค่ะพี่ ว่าพี่ก็หวังดีกับธุรกิจของเราเหมือนกัน แต่การตัดสินใจครั้งนี้มันใหญ่นัก การเร่งเครื่องทางธุรกิจตามแผนของพี่บางทีมันอาจจะยังไม่จำเป็น ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวน้องเอาข้อเสนอของพี่ไปปรึกษากับที่ปรึกษาของเราก่อน รวมถึงเอาไปเสนอให้คุณพ่อช่วยดูด้วย"
เมธาวีไม่พูดอะไรต่อ เขารู้สึกเหมือนโดนหักหน้าเป็นอย่างมาก จากคนที่เคยมีอำนาจตัดสินใจ กลับกลายเป็นแค่คนที่คอยวิเคราะห์ธุรกิจ อำนาจที่เคยอยู่ในมือของเขาเลือนหายไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน เมธาวีเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของรุจรีทันที เขากลับไปยังห้องทำงานส่วนตัวและหยิบเครื่องโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน เขาเปิดกระเป๋าสตางต์และหยิบซิมโทรศัพท์ออกมา เมธาวีใส่ซิมนั้นเข้าไปในเครื่องโทรศัพท์ ก่อนจะใช้มันโทรออกไปยังหมายเลขปลายทาง
"ไม่สำเร็จ! ยัยรุจไม่ยอมลงทุนซื้อกิจการของเฮีย"
"คุณเมธาวีต้องเร่งมือหน่อยแล้ว ยิ่งปล่อยนานไปคลีนิคเสริมความงาม 37 สาขาทั่วประเทศของผม จะแสดงผลกำไรขาดทุนที่ติดลบจนตอนนี้ขาดทุนไปกว่าพันล้านบาทแล้ว ตอนนี้ผมพยายามตกแต่งบัญชีไม่ให้ขาดทุน แต่คิดว่าคงทำได้อีกแค่ไม่นาน ก่อนที่ขยะที่เราซุกไว้ใต้พรมจะถูกเปิดเจอขึ้นมา"
"ผมรู้แล้วคุณประภาส ตอนนี้กำลังเร่งเสนอแผนธุรกิจใหม่ให้ผู้บริหาร แต่ก้างชิ้นใหญ่ก็คือรุจรี คุณประภาสห้ามลืมค่านายหน้าของผม 700 ล้านบาทนะ หากผมเสนอแผนธุกิจนี้ได้"
"ไม่ต้องห่วงคุณเมธาวี ผมเตรียมเงิน 700 ล้านบาทไว้แล้ว ขอให้คุณเร่งดำเนินการตามแผนของเราให้ลุล่วงโดยเร็วก็แล้วกัน อ้อ! แล้วก้างชิ้นโตของคุณ คุณเมธาวีจะจัดการอย่างไร หรือจะให้ทางผมเป็นคนจัดการให้ เห็นว่าทำพลาดมาแล้วครั้งนึง"
"ไม่เป็นไร เรื่องนั้นผมจัดการเอง คราวแล้วที่พลาดแต่ก็ไม่มีทางที่จะสาวมาถึงตัวผมได้หรอก แต่ครั้งต่อไปไม่พลาดแน่"
"โอเคตามนั้นคุณเมธาวี"
เมธาวีวางสายโทรศัพท์ เขาแกะแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ออก และถอดซิมออกจากหลังเครื่อง เมธาวีค่อยๆหักซิมจนงอ และโยนมันทิ้งลงในถังขยะ แต่เมธาวีไม่ทันสังเกตุว่าซิมโทรศัพท์เด้งกระทบขอบถังขยะ ไปตกอยู่ใต้โต๊ะเอกสาร
เมธาวีหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูราคาหุ้น เขาตกใจที่พอร์ทหุ้นของเขาแสดงผลการขาดทุนหลายสิบล้านบาท จากแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นที่กำลังดิ่งลง เมธาวีกุมขมับก่อนจะทุบโต๊ะทำงานอย่างแรง
...
ในตอนเย็น นพกลกลับบ้านมาก่อนรุจรีเล็กน้อย นพดลนั่งรอบนโต๊ะอาหาร แม่บ้านน้ำจานกับข้าวที่ปรุงเสร็จแล้วทะยอยวางบนโต๊ะ สักพักรุจรีเดินลงมานั่งที่มุมโต๊ะอาหารติดกับนพดล โต๊ะอาหารหินอ่อนจากอิตาลี่ เก้าอี้วางล้อมรอบโต๊ะทั้งหมด 10 ตัว แต่มีเพียงแค่นพดลที่นั่งหัวโต๊ะและรุจรีเพียงสองคนเท่านั้น
"พ่อคะ พ่อลองดูแผนธุรกิจที่พี่เมเขียนมา พ่อมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ"
"พ่อรู้แล้ว เมมันมีความสัมพันธ์เบื้องหลังกับผู้บริหารธุรกิจคู่แข่งของเรา ทางโน้นพยายามอยากให้เราเทคโอเวอร์คลีนิคทั้งหมด แต่ใครๆก็ดูออกว่าบริษัทนี้ขาดทุนทุกปี"
"คุณพ่อรู้เรื่องนี้มานานแล้ว?"
"ใช่ ถ้าเมมันได้ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดจากพ่อไป มันก็จะต้องเสนอแผนเข้าเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่ง และตอนนั้นใครก็ห้ามไม่ได้"
"ใครจะบ้าทำบริษัทของตัวเองให้ขาดทุนคะ?"
รุจรียังอ่อนประสบการณ์เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ เธอยังไม่เข้าใจ
"ถ้าบริษัทขาดทุน คนที่ขาดทุนคือผู้ถือหุ้น แต่ถ้าเมมันได้เงินใต้โต๊ะจากคู่แข่ง ก็เข้าประเป๋ามันเต็มๆ"
"แบบนี้ก็ผิดกฎหมายสิ"
"ในประเทศนี้กฎหมายใช้ได้กับคนจนเท่านั้น คนที่มีเงินหลักพันล้านขึ้นไปถ้าไม่ทำผิดโจ่งแจ้งเกินไป ก็ยากที่จะติดคุก"
"จริงหรือคะ!"
"อย่างมากสุดก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ รอให้คดีหมดอายุ"
พอสะโหน นักสืบอิสระ : พินัยกรรมฉบับสีเลือด บทที่ 3
ผู้กำกับนำรายการเบอร์โทรศัพท์ทั้งหมดของคนที่อยู่ในบ้าน ในช่วงเวลา 7 โมงถึง 7 โมง 20 นาที ไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการเลขหมายโทรศัพท์ด้วยตัวเอง เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่ามีการสืบสวนอย่างลับๆ หลังจากใช้เวลาไม่นานในการค้นหาบันทึกการใช้โทรศัพท์ในช่วงนั้น ผู้กำกับนำเอกสารจำนวน 3 แผ่นส่งให้กับทนายแสวงที่สำนักงาน
"นี่คือบันทึกการใช้โทรศัพท์ของ 3 ผู้ต้องสงสัยตามที่คุณพอสะโหนต้องการ"
"ขอบคุณมากครับท่านผู้กำกับ ผมเชื่อว่าพอสะโหนเค้ามีวิธีที่จะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ได้"
"อืม... นับว่าเขาเป็นคนที่ทำงานเก่งกว่าที่คาดไว้อีกนะ คุณทนายไปรู้จักกับพอสะโหนได้อย่างไรกันน่ะ"
"ในสมัยก่อนผมกับพ่อของเขาเป็นเพื่อนกัน บ้านเราอยู่ติดกันน่ะครับ ตอนนั้นพอสะโหนเพิ่งจะอายุได้เพียง 2 ขวบ แต่พ่อและแม่ของเขาก็ถูกฆ่าตาย จนถึงตอนนี้คดีที่เกี่ยวกับพ่อและแม่เขา ยังไม่สามารถคลี่คลายได้"
"เพราะเหตุนี้หรือเปล่า? จึงทำให้เขามาเป็นนักสืบ"
"มันก็ไม่เชิงหรอกครับ ที่พอสะโหนเป็นนักสืบเพราะเขามีไหวพริบดี และมีความมุ่งมั่นในการรักษาความยุติธรรม และเรื่องคดีของพ่อแม่โพสะโหน จะเป็นแรงบัลดาลใจให้เขาหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ เพราะตอนนั้นพอสะโหนยังแค่ 2 ขวบเอง"
"แล้วพอสะโหนไปอยู่กับใครล่ะตอนนั้น?"
"โชคร้ายที่พ่อและแม่ของพอสะโหนก็ไม่มีญาติที่ไหน ผมเลยรับอุปการะพอสะโหนมาตั้งแต่บัดนั้น เขาก็เป็นเหมือนลูกชายคนหนึ่งของผมเหมือนกัน"
ผู้กำกับรู้สึกทึ่งในประวัติของพอสะโหน
"เดี๋ยวผมขอส่งข้อมูลชิ้นนี้ให้พอสะโหนก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวผมจะเรียนให้ท่านผู้กำกับทราบ"
ทนายแสวงเก็บเอกสารลงในลิ้นชักโต๊ะทำงาน
"อ่อ! แล้วมือปืนที่ก่อเหตุเรามีเบาะแสมั้ย?"
"ยังไม่มี ตอนนี้เรากำลังเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด คิดว่าไม่นานคงมีเบาะแส
...
ข้อมูลเอกสารที่ส่งให้พอสะโหนเป็นหมายเลขโทรศัพท์ 3 หมายเลขและบันทึกการใช้งานในช่วงเวลา 7 โมงถึง 7 โมง 20 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รุจรีและนพดลออกจากบ้านไปที่เวลา 7 โมง 10 นาที
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 1 เวลา 7 โมง 8 นาที มีการส่งข้อความออกไปยังหมายเลขปลายทางที่ 1 ข้อความเขียนว่า 'ออกจากบ้านแล้ว'
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 2 เวลา 7 โมง 12 นาที มีการเรียกสัญญาณไปยังหมายเลขปลายทางที่ 2 ใช้เวลาสนทนา 13 วินาที
หมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 3 เวลา 7 โมง 13 นาที มีการส่งข้อความออกไปยังหมายเลขปลายทางที่ 3 ข้อความเขียนว่า 'bb'
พอสะโหนดูรายงานที่ทนายแสวงส่งมาให้ทางอีเมล์ บันทึกการใช้งานของทั้ง 3 หมายเลขยังคลุมเคลือเกินกว่าที่จะบอกได้ ว่าใครจะเป็นคนชี้เป้า หรือบางทีพอสะโหนก็คิดว่า เรื่องคนชี้เป้าก็อาจจะไม่มีอยู่จริง แต่เขาคิดว่านี่น่าจะเป็นเบาะแสแรกที่จะลองสืบได้
แม้ในหมายเลขโทรศัพท์ที่ 1 ข้อความที่ถูกส่งออกไป จะคล้ายกับข้อความที่สั่งให้มือปืนลงมือ แต่พอสะโหนก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เขานั่งครุ่นคิดว่าจะตัดตัวเลือกใดออกไป เพื่อให้เหลือตัวเลือกน้อยลง พอสะโหนคิดขึ้นได้ว่าเป้าหมายที่เขาต้องการรู้คือมือปืน ยังไม่ใช่คนชี้เป้า เขาจึงคิดว่าควรเอาเบอร์โทรศัพท์ปลายทางไปเช็คว่าเป็นของใคร
พอสะโหนขอให้ทนายแสวงช่วยบอกให้ผู้กำกับ ช่วยตรวจสอบบันทึกการใช้งานของเบอร์ปลายทางทั้ง 3 ว่าจะมีผู้ใดมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่สุด เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้กำกับก็สามารถตรวจสอบบันทึกการใข้งานของทั้ง 3 หมายเลขได้
หมายเลขที่ 1 เป็นเบอร์โทรศัพท์ของเลขาส่วนตัวของนพดล เบอร์โทรศัพท์มีการลงทะเบียนผู้ใช้
หมายเลขที่ 2 เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกเปิดบริการใหม่ ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้ ไม่มีบันทึกการใช้งานโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ มีบันทึกการสนทนาครั้งเดียว ซึ่งก็คือครั้งนี้
หมายเลขที่ 3 เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่เปิดใช้บริการใหม่ ไม่มีการลงทะเบียนผู้ใช้ ไม่มีบันทึกการใช้งานโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ข้อความที่รับครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก
เบาะแสต่อไปที่จะสามารถสืบได้ต่อไปคือ เจ้าของหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ต้นทางที่ 2 และ 3 พอสะโหนคิดว่าหากเขาสามารถเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของเบอร์นี้กับเมธาวีได้ เขาก็อาจจะมีพยานและหลักฐานพอที่จะควบคุมตัวเมธาวี เพื่อความปลอดภัยของนพดลและรุจรี แต่ปัญหาที่เขายังคิดไม่ตกตอนนี้คือ ทำไมถึงมีถึง 2 เบอร์ที่เพิ่งจะเปิดใช้บริการใหม่ และยังถูกใช้ครั้งแรกในเวลานั้นทั้งคู่ หรือนี่คือเรื่องบังเอิญ จะบังเอิญแค่ 1 หมายเลขหรือบังเอิญทั้ง 2 หมายเลขกันแน่ พอสะโหนรู้สึกมึนงง จึงคิดว่าจะลงไปทำสวนดู เผื่อจะได้ลองคุยกับคนในบ้าน บางทีเขาอาจจะได้เบาะแสหรือเห็นความขัดแย้งอะไรบ้าง ในบ้านหลังนี้
ป้าพร หัวหน้าแม่บ้านที่เจอกับพอสะโหนในครั้งแรก เธอเดินเข้ามาหาพอสะโหน ในระหว่างที่พอสะโหนกำลังทำเป็นกวาดพื้นหญ้า
"เป็นอย่างไรบ้างพ่อพอสะโน"
ป้าพรเอ่ยทักทายพอสะโหนอย่างใกล้ชิด
"ครับป้า บ้านหลังนี้ใหญ่ งานคงจะหนัก เอ่อ!ป้าถามหน่อยสิ บรรดาลูกของคุณนพดลเขาพักกันที่นี่หรือเปล่า"
"ใช่แล้วล่ะ ในรั้วบ้านหลังนี้มีบ้านทั้งหมด 8 หลัง ไม่รวมพวกตึกๆอื่นที่ไม่ใช่บ้านนะ ลูกของคุณผู้ชายมีทั้งหมด 5 คน แต่ละคนก็มีบ้านคนละหลัง"
"แล้วพวกเขาอยู่บ้านในรั้วนี้เป็นประจำหรือเปล่า?"
"ทุกคนล้วนมีบ้านเป็นของตัวเองข้างนอกกัน มีแต่คุณหนูรุจรีคนเดียวที่พักในบ้านนี้เป็นประจำ แล้วถามทำไมเหรอจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า"
"อ่อ เปล่าครับ คือผมเห็นว่าคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้มีไม่กี่คน แต่พื้นที่และจำนวนบ้านเยอะมาก จึงแค่แปลกใจน่ะครับว่าจะดูแลบ้านกันไหวเหรอ"
"หากเป็นเรื่องการทำความสะอาด การซ่อมแซมบ้านเราก็จะจ้างคนงานจากข้างนอก มาทำเดือนละครั้งน่ะ งานสวนก็เหมือนกันนะ"
"อย่างนี้คุณนพดลคงเหงาแย่เลยสิเนี่ย แต่ก็ยังดีที่มีคุณรุจรีอยู่กับท่าน"
"คุณหนูรุจรีเหรอ เธอก็เป็นลูกที่น่ารักดีนะ ในช่วงเทศกาลหรือวันที่เธอว่างๆ ก็จะมีแต่แม่หนูรุจรีคนเดียวแหล่ะ ที่โผล่มาให้นายท่านเห็น"
"อ้าว! แล้วคนอื่นๆล่ะ"
"คุณเมธาวีเค้าก็มีธุรกิจของตัว ต้องบริหารบริษัทให้คุณพ่อด้วยแล้วเขาก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลอีก คุณเอกพลก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ความรับผิดชอบเยอะ ไหนจะงานวิจัยดูแลนักศึกษา แค่นี้ก็ไม่มีเวลาให้นายท่านแล้วล่ะ คุณพรประพาก็มีธุรกิจค้าเพชรพลอย เธอก็คงไม่มีเวลาอีกเหมือนกัน ส่วนคุณพิบูล วันๆก็อยู่แต่สนามแข่งรถ ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกัน"
"แล้วป้าสนิทกับพวกเขามั้ย?"
"ป้าอยู่บ้านหลังนี้มา 30 ปีแล้ว ตั้งแต่คุณเมธาวี10 ขวบ ป้าก็เป็นคนช่วยคุณแม่ของเมธาวีเลี้ยงดูเขาตั้งแต่ยังเล็ก เด็กคนอื่นๆก็เช่นกัน"
"ขอบคุณมากครับป้า งั้นเดี๋ยวผมขอกวาดใบไม้ในสวนก่อนนะครับ คิดว่าวันนี้ทั้งวันคงกวาดได้แค่ครึ่งเดียว"
พอสะโหนหัวเราะอย่างเป็นกันเองกับป้าพร
"ได้จ้ะ ถ้ามีอะไรสงสัยเรียกป้าในบ้านได้นะ"
พอสะโหนคิดว่าป้าพรจะต้องเป็นคนที่รู้ถึงความขัดแย้งต่างๆ ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี แต่เขาจะถามป้าตรงๆไม่ได้ ต้องค่อยๆแอบถามทีละน้อย พอสะโหนตัดสินใจโทรศัพท์ไปหานพดล เพื่อขอชื่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ 2 เบอร์นั้น
ไม่นานนพดลก็ส่งข้อความตอบกลับมาในโทรศัทพ์ ว่าทั้งสองเบอร์โทรศัพท์นั้นเจ้าของคือ 'ละไม' แม่บ้านทำความสะอาด ใช้โทรศัพท์สนทนา 13 วินาที และ 'ยุภา' เป็นผู่ช่วยในครัว ส่งข้อความออกไปว่า 'bb'
...
การรักษาความปลอดภัยทั้งของนพดลและรุจรี มีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่ทำแบบประเจิดประเจ้อให้คนภายนอกแตกตื่น ในการทำงานในตำแหน่งผู้บริหารแรกๆนั้น ในบริษัทมีทั้งสายตาที่ยอมรับและไม่ยอมรับจากพนักงาน นั่นขึ้นอยู่กับว่าพนักงานคนนั้นเป็นคนของใคร
หากเป็นผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเมธาวีมาก่อน พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดจะเป็นของเมธาวี หากเมธาวีเป็นผู้นำ คนที่อยู่ใต้เมธาวีก็หวังว่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนบ้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับรุจรี และอยากจะต่อต้านคำสั่งของรุจรี แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะรุจรีคือเจ้านาย ส่วนพนักงานที่เคยทำงานกับรุจรีมาก่อน เคยเห็นถึงความเก่งของเธอ การดูแลเอาใจใส่ลูกน้อง คนเหล่านั้นก็ยังคงชื่นชอบในตัวรุจรี
"นัองเกรงว่าจะไม่สารถทำตามแผนที่พี่บอกได้ค่ะ เพราะที่ปรึกษาผู้ที่เคยทำงานกับคุณพ่อมานานแล้ว เขาบอกว่าแผนธุรกิจของพี่ยังไม่ีพอ และมีโอกาสจะสร้างความเสียหายได้อีก"
"โธ่! รุจ น้องยังเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหาร จะไปเข้าใจอะไรกับแผนของพี่ ยังไงเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน พวกที่ปรึกษานั่นก็เป็นแค่คนนอก"
"น้องเข้าใจค่ะพี่ ว่าพี่ก็หวังดีกับธุรกิจของเราเหมือนกัน แต่การตัดสินใจครั้งนี้มันใหญ่นัก การเร่งเครื่องทางธุรกิจตามแผนของพี่บางทีมันอาจจะยังไม่จำเป็น ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวน้องเอาข้อเสนอของพี่ไปปรึกษากับที่ปรึกษาของเราก่อน รวมถึงเอาไปเสนอให้คุณพ่อช่วยดูด้วย"
เมธาวีไม่พูดอะไรต่อ เขารู้สึกเหมือนโดนหักหน้าเป็นอย่างมาก จากคนที่เคยมีอำนาจตัดสินใจ กลับกลายเป็นแค่คนที่คอยวิเคราะห์ธุรกิจ อำนาจที่เคยอยู่ในมือของเขาเลือนหายไปอย่างตั้งตัวไม่ทัน เมธาวีเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของรุจรีทันที เขากลับไปยังห้องทำงานส่วนตัวและหยิบเครื่องโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน เขาเปิดกระเป๋าสตางต์และหยิบซิมโทรศัพท์ออกมา เมธาวีใส่ซิมนั้นเข้าไปในเครื่องโทรศัพท์ ก่อนจะใช้มันโทรออกไปยังหมายเลขปลายทาง
"ไม่สำเร็จ! ยัยรุจไม่ยอมลงทุนซื้อกิจการของเฮีย"
"คุณเมธาวีต้องเร่งมือหน่อยแล้ว ยิ่งปล่อยนานไปคลีนิคเสริมความงาม 37 สาขาทั่วประเทศของผม จะแสดงผลกำไรขาดทุนที่ติดลบจนตอนนี้ขาดทุนไปกว่าพันล้านบาทแล้ว ตอนนี้ผมพยายามตกแต่งบัญชีไม่ให้ขาดทุน แต่คิดว่าคงทำได้อีกแค่ไม่นาน ก่อนที่ขยะที่เราซุกไว้ใต้พรมจะถูกเปิดเจอขึ้นมา"
"ผมรู้แล้วคุณประภาส ตอนนี้กำลังเร่งเสนอแผนธุรกิจใหม่ให้ผู้บริหาร แต่ก้างชิ้นใหญ่ก็คือรุจรี คุณประภาสห้ามลืมค่านายหน้าของผม 700 ล้านบาทนะ หากผมเสนอแผนธุกิจนี้ได้"
"ไม่ต้องห่วงคุณเมธาวี ผมเตรียมเงิน 700 ล้านบาทไว้แล้ว ขอให้คุณเร่งดำเนินการตามแผนของเราให้ลุล่วงโดยเร็วก็แล้วกัน อ้อ! แล้วก้างชิ้นโตของคุณ คุณเมธาวีจะจัดการอย่างไร หรือจะให้ทางผมเป็นคนจัดการให้ เห็นว่าทำพลาดมาแล้วครั้งนึง"
"ไม่เป็นไร เรื่องนั้นผมจัดการเอง คราวแล้วที่พลาดแต่ก็ไม่มีทางที่จะสาวมาถึงตัวผมได้หรอก แต่ครั้งต่อไปไม่พลาดแน่"
"โอเคตามนั้นคุณเมธาวี"
เมธาวีวางสายโทรศัพท์ เขาแกะแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ออก และถอดซิมออกจากหลังเครื่อง เมธาวีค่อยๆหักซิมจนงอ และโยนมันทิ้งลงในถังขยะ แต่เมธาวีไม่ทันสังเกตุว่าซิมโทรศัพท์เด้งกระทบขอบถังขยะ ไปตกอยู่ใต้โต๊ะเอกสาร
เมธาวีหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูราคาหุ้น เขาตกใจที่พอร์ทหุ้นของเขาแสดงผลการขาดทุนหลายสิบล้านบาท จากแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นที่กำลังดิ่งลง เมธาวีกุมขมับก่อนจะทุบโต๊ะทำงานอย่างแรง
...
ในตอนเย็น นพกลกลับบ้านมาก่อนรุจรีเล็กน้อย นพดลนั่งรอบนโต๊ะอาหาร แม่บ้านน้ำจานกับข้าวที่ปรุงเสร็จแล้วทะยอยวางบนโต๊ะ สักพักรุจรีเดินลงมานั่งที่มุมโต๊ะอาหารติดกับนพดล โต๊ะอาหารหินอ่อนจากอิตาลี่ เก้าอี้วางล้อมรอบโต๊ะทั้งหมด 10 ตัว แต่มีเพียงแค่นพดลที่นั่งหัวโต๊ะและรุจรีเพียงสองคนเท่านั้น
"พ่อคะ พ่อลองดูแผนธุรกิจที่พี่เมเขียนมา พ่อมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ"
"พ่อรู้แล้ว เมมันมีความสัมพันธ์เบื้องหลังกับผู้บริหารธุรกิจคู่แข่งของเรา ทางโน้นพยายามอยากให้เราเทคโอเวอร์คลีนิคทั้งหมด แต่ใครๆก็ดูออกว่าบริษัทนี้ขาดทุนทุกปี"
"คุณพ่อรู้เรื่องนี้มานานแล้ว?"
"ใช่ ถ้าเมมันได้ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดจากพ่อไป มันก็จะต้องเสนอแผนเข้าเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่ง และตอนนั้นใครก็ห้ามไม่ได้"
"ใครจะบ้าทำบริษัทของตัวเองให้ขาดทุนคะ?"
รุจรียังอ่อนประสบการณ์เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ เธอยังไม่เข้าใจ
"ถ้าบริษัทขาดทุน คนที่ขาดทุนคือผู้ถือหุ้น แต่ถ้าเมมันได้เงินใต้โต๊ะจากคู่แข่ง ก็เข้าประเป๋ามันเต็มๆ"
"แบบนี้ก็ผิดกฎหมายสิ"
"ในประเทศนี้กฎหมายใช้ได้กับคนจนเท่านั้น คนที่มีเงินหลักพันล้านขึ้นไปถ้าไม่ทำผิดโจ่งแจ้งเกินไป ก็ยากที่จะติดคุก"
"จริงหรือคะ!"
"อย่างมากสุดก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ รอให้คดีหมดอายุ"