กกต. ชง คสช. ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้ง เสนอจำกัดวาระ ส.ส. แค่ 2 สมัย หากครบวาระ หรือยุบสภา ให้ ครม. พ้นสภาพ ไม่ต้องอยู่รักษาการต่อ พร้อมแบนคนทุจริตเลือกตั้ง - ยาเสพติด - หมิ่นเบื้องสูง ห้ามลงเลือกตั้ง ขณะเดียวกันติดดาบ กกต. เลื่อนเลือกตั้งได้เองโดยไม่ต้องปรึกษานายกฯ
นอกจากนี้ ก็มีการเสนอให้มีการแก้ไขในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยได้เสนอให้มีการเพิ่มว่า การที่ผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ แม้ประโยชน์ของการไม่สังกัดจะมีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่การสังกัดพรรคจะมีผลในเรื่องของการพัฒนาและสนับสนุนงานของพรรค ซึ่งพรรคควรมีการวางกรอบในการควบคุม ส.ส. ของพรรคโดยไม่ให้ ส.ส. ของพรรคต้องดำเนินการตามคำสั่งของพรรคการเมืองเสมอไปเหมือนที่ผ่านมา และการจะลงสมัครรับเลือกตั้งก็ควรกำหนดให้ต้องสังกัดพรรคมาไม่น้อย 1 ปี และเมื่อเข้าดำรงตำแหน่ง
ส.ส. แล้วควรกำหนดให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี แต่ต้องไม่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี พร้อมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาสภาผัวเมีย ควรกำหนดห้ามมิให้บุพการี บุตร บุญธรรม คู่สมรสตามกฎหมาย หรืออดีตคู่สมรส ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ในคราววาระเดียวกัน และยังเห็นควรให้กำหนดเพิ่มในลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง คดียาเสพติด และคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ขณะที่พรรคการเมืองควรมีการกำหนดให้การตั้งพรรคทำได้ยากขึ้น แม้จะมีผู้ก่อตั้ง 15 คน
แต่จะเป็นพรรคการเมืองได้ต้องหาสมาชิกให้ได้ครบ 5 พันคน และตั้งสาขาพรรคใน 4 ภาคให้แล้วเสร็จก่อน
นายภุชงค์ ยังด้วยว่า และเพื่อให้การเลือกตั้งเกิดความสุจริต เป็นธรรม จะเสนอให้มีการพิจาณาถึงอำนาจ กกต. ในการจัดการเลือกตั้ง ว่า หากเกิดปัญหาการขัดขวาง เกิดเหตุสุดวิสัยอันเป็นภัยร้ายแรง
ให้ กกต. มีอำนาจในการเสนอเลื่อนขยายวันเลือกตั้ง วันรับสมัคร หรือกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ต้องมีการปรึกษาหรือขอความเห็นจากนายกรัฐมนตรี และเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่ ทรัพยากรของรัฐไปเป็นประโยชน์ในการหาเสียงเอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม
ก็ให้มีการกำหนดให้ข้าราชการเป็นข้าราชการเมืองตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกิดข้ออ้างว่า ใช้เวลานอกราชการไปหาเสียง อีกทั้งเมื่อมีการยุบสภา หรือกรณีดำรงตำแหน่งครบวาระ ให้คณะรัฐมนตรีพ้นไปโดยปริยาย ไม่ต้องเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ และเห็นควรให้ปลัดกระทรวง ทบวง กรม รักษาการแทน รวมทั้งในระหว่างการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่พยานจนเกิดการกลับคำให้การ เสนอให้พยานของ กกต. ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองพยาน และเพิ่มอำนาจให้ กกต. สามารถเรียกเอกสาร หรือเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคำต่อ กกต. หากไม่มาก็ให้มีบทโทษ อีกทั้งมีการให้ข้อมูลข้อดีข้อเสียถึงการเลือกตั้ง ว่า ควรจะให้เป็นหน้าที่ หรือเป็นสิทธิ และเสนอมาตรการในการป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยอาจจะมีการตั้งเป็นคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานอาทิ ป.ป.ช. สตง. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. ขึ้นมาตรวจสอบว่านโยบายที่พรรคการเมืองเสนอสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ และส่งผลทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายในอนาคตหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลัง กกต. ส่งข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปให้คณะทำงานด้านการปฏิรูปแล้ว ทาง กกต. ก็จะมาจัดทำในส่วนที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง พรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น รวม 5 ฉบับ ซึ่งก็จะมีส่วนของการใช้สิทธิเลือกตั้งว่าจะต้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิก่อนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีกว่า 92 ประเทศ ที่ใช้วิธีการนี้ และ
การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร รวมถึงการเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งจะยังคงมีอยู่หรือไม่ และหากมีอยู่ควรมีการปรับแก้ไขในเรื่องใดเพราะที่ผ่านมา เลือกตั้งนอกราชอาณาจักรใช้งบประมาณต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งคนกว่า 2 พัน ขณะที่ในประเทศผู้มีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งคนใช้งบเพียงหลักร้อยบาท รวมถึงจะมีการเสนอให้ศาลให้ข้อมูลที่ กกต. เสนอไปขอให้พิจารณาสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้ระบบกล่าวหาของกฎหมายอาญาอย่างที่ทำอยู่ปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาพยานกลับคำให้การในชั้นศาลทำให้คดีเลือกตั้งจำนวนมาก กกต. ไม่สามารถเอาผิดได้ ทั้งนี้ กกต. จะเร่งส่งรายละเอียดทั้งหมดให้กับ คสช. พิจารณา เพื่อให้ทันกับการพิจารณาของสภาปฏิรูปซึ่งจะเป็นผู้พิจารณาทั้งระบบว่าการเลือกตั้งควรจะเป็นอย่างไร
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000076648
อู่หู มันยอดมาก เอิ่มมมม แล้วผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้งครั้งที่แล้วล่ะฮะ
กกต.เสนอให้แบนคนทุจริต - ล้มเจ้า ห้ามลงเลือกตั้ง
กกต. ชง คสช. ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้ง เสนอจำกัดวาระ ส.ส. แค่ 2 สมัย หากครบวาระ หรือยุบสภา ให้ ครม. พ้นสภาพ ไม่ต้องอยู่รักษาการต่อ พร้อมแบนคนทุจริตเลือกตั้ง - ยาเสพติด - หมิ่นเบื้องสูง ห้ามลงเลือกตั้ง ขณะเดียวกันติดดาบ กกต. เลื่อนเลือกตั้งได้เองโดยไม่ต้องปรึกษานายกฯ
นอกจากนี้ ก็มีการเสนอให้มีการแก้ไขในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยได้เสนอให้มีการเพิ่มว่า การที่ผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ แม้ประโยชน์ของการไม่สังกัดจะมีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่การสังกัดพรรคจะมีผลในเรื่องของการพัฒนาและสนับสนุนงานของพรรค ซึ่งพรรคควรมีการวางกรอบในการควบคุม ส.ส. ของพรรคโดยไม่ให้ ส.ส. ของพรรคต้องดำเนินการตามคำสั่งของพรรคการเมืองเสมอไปเหมือนที่ผ่านมา และการจะลงสมัครรับเลือกตั้งก็ควรกำหนดให้ต้องสังกัดพรรคมาไม่น้อย 1 ปี และเมื่อเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส. แล้วควรกำหนดให้มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี แต่ต้องไม่ดำรงตำแหน่งติดต่อกันไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี พร้อมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาสภาผัวเมีย ควรกำหนดห้ามมิให้บุพการี บุตร บุญธรรม คู่สมรสตามกฎหมาย หรืออดีตคู่สมรส ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ในคราววาระเดียวกัน และยังเห็นควรให้กำหนดเพิ่มในลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้ง คดียาเสพติด และคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ขณะที่พรรคการเมืองควรมีการกำหนดให้การตั้งพรรคทำได้ยากขึ้น แม้จะมีผู้ก่อตั้ง 15 คน แต่จะเป็นพรรคการเมืองได้ต้องหาสมาชิกให้ได้ครบ 5 พันคน และตั้งสาขาพรรคใน 4 ภาคให้แล้วเสร็จก่อน
นายภุชงค์ ยังด้วยว่า และเพื่อให้การเลือกตั้งเกิดความสุจริต เป็นธรรม จะเสนอให้มีการพิจาณาถึงอำนาจ กกต. ในการจัดการเลือกตั้ง ว่า หากเกิดปัญหาการขัดขวาง เกิดเหตุสุดวิสัยอันเป็นภัยร้ายแรง ให้ กกต. มีอำนาจในการเสนอเลื่อนขยายวันเลือกตั้ง วันรับสมัคร หรือกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ โดยไม่ต้องมีการปรึกษาหรือขอความเห็นจากนายกรัฐมนตรี และเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าราชการการเมืองใช้ตำแหน่งหน้าที่ ทรัพยากรของรัฐไปเป็นประโยชน์ในการหาเสียงเอาเปรียบฝ่ายตรงข้าม ก็ให้มีการกำหนดให้ข้าราชการเป็นข้าราชการเมืองตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกิดข้ออ้างว่า ใช้เวลานอกราชการไปหาเสียง อีกทั้งเมื่อมีการยุบสภา หรือกรณีดำรงตำแหน่งครบวาระ ให้คณะรัฐมนตรีพ้นไปโดยปริยาย ไม่ต้องเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ และเห็นควรให้ปลัดกระทรวง ทบวง กรม รักษาการแทน รวมทั้งในระหว่างการเลือกตั้งเพื่อไม่ให้มีการข่มขู่พยานจนเกิดการกลับคำให้การ เสนอให้พยานของ กกต. ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองพยาน และเพิ่มอำนาจให้ กกต. สามารถเรียกเอกสาร หรือเชิญบุคคลมาให้ถ้อยคำต่อ กกต. หากไม่มาก็ให้มีบทโทษ อีกทั้งมีการให้ข้อมูลข้อดีข้อเสียถึงการเลือกตั้ง ว่า ควรจะให้เป็นหน้าที่ หรือเป็นสิทธิ และเสนอมาตรการในการป้องกันการใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยอาจจะมีการตั้งเป็นคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยหลายหน่วยงานอาทิ ป.ป.ช. สตง. ศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. ขึ้นมาตรวจสอบว่านโยบายที่พรรคการเมืองเสนอสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ และส่งผลทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายในอนาคตหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลัง กกต. ส่งข้อเสนอแนวทางดังกล่าวไปให้คณะทำงานด้านการปฏิรูปแล้ว ทาง กกต. ก็จะมาจัดทำในส่วนที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง พรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น รวม 5 ฉบับ ซึ่งก็จะมีส่วนของการใช้สิทธิเลือกตั้งว่าจะต้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิก่อนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีกว่า 92 ประเทศ ที่ใช้วิธีการนี้ และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร รวมถึงการเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งจะยังคงมีอยู่หรือไม่ และหากมีอยู่ควรมีการปรับแก้ไขในเรื่องใดเพราะที่ผ่านมา เลือกตั้งนอกราชอาณาจักรใช้งบประมาณต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งคนกว่า 2 พัน ขณะที่ในประเทศผู้มีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งคนใช้งบเพียงหลักร้อยบาท รวมถึงจะมีการเสนอให้ศาลให้ข้อมูลที่ กกต. เสนอไปขอให้พิจารณาสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้ระบบกล่าวหาของกฎหมายอาญาอย่างที่ทำอยู่ปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาพยานกลับคำให้การในชั้นศาลทำให้คดีเลือกตั้งจำนวนมาก กกต. ไม่สามารถเอาผิดได้ ทั้งนี้ กกต. จะเร่งส่งรายละเอียดทั้งหมดให้กับ คสช. พิจารณา เพื่อให้ทันกับการพิจารณาของสภาปฏิรูปซึ่งจะเป็นผู้พิจารณาทั้งระบบว่าการเลือกตั้งควรจะเป็นอย่างไร
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000076648
อู่หู มันยอดมาก เอิ่มมมม แล้วผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้งครั้งที่แล้วล่ะฮะ