คำถามของชีวิต เช่น คนเราเกิดมาทำไม? เกิดมาได้อย่างไร? ตายแล้วเป็นอย่างไร? หรือ อะไรกำหนดให้ชีวิตของแต่ละคนเป็นไป? เป็นต้นนี้ เป็นปัญหาที่ทุกคนอยากรู้ อยากเข้าใจ และอยากเห็นแจ้ง
แต่การที่จะรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งในปัญหาชีวิตเหล่านี้ได้ จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งถึงลักษณะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของทุกสิ่งเสียก่อน จึงจะมีความรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งในปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งลักษณะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดนี้ก็คือความรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา
คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งคำว่า อัตตา แปลว่า ตน หรือตนเอง ที่หมายถึง ตัวตนของตนเอง ซึ่งอัตตานี้จะมีความเที่ยง หรือเป็นอมตะ ไม่ต้องทนอยู่ เพราะมันเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งคำสอนเรื่องอัตตานี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่สอน (เชื่อ) ว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็นตัวตนอมตะ ที่ไม่มีวันตาย แม้ร่างกายจาะตายแต่จิตนี้จะไม่ตาย คือสามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยไป แล้วก็ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า ผี เปรต เป็นต้นขึ้นมา และความเชื่อเหล่านี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
สิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ขึ้นมาก็คือการค้นพบว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา คือทรงค้นพบว่า ไม่มีสิ่งใดในชีวิตของเราและทุกชีวิตที่จะเป็นอัตตา ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ได้ ซึ่งการค้นพบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอนัตตานี้เองที่ทำให้เข้าใจถึงความจริงพื้นฐานของทุกชีวิตได้ คือเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ มันไม่ได้มีตัวตนเป็นของตัวของมันเองเลย มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งของธาตุ (สิ่งพื้นฐานที่มีอยู่จริงๆ คือ ของแข็ง ของเหลว ความร้อน และก๊าซ) ตามธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นเมื่อสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงหรือตัวตนอมตะอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอน และเมื่อถูกปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใดขึ้นมาแล้ว มันก็จะไม่สามารถตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ (คือต้องแตก-ดับหายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว) รวมทั้งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังต้องทนอยู่อย่างยากลำบากอีกด้วย
เมื่อเข้าใจถึงลักษณะของอนัตตาแล้ว เราก็ต้องนำมาลักษณะของอนัตตานี้มาพิจารณาร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็นเรานี้อย่างจริงจัง เราก็จะเข้าใจและเห็นแจ้งได้ว่า มันไม่มีสิ่งที่จะเป็นตัวตนของเราจริงๆ และทุกสิ่งก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย(สิ่งสนับสนุน)ของมัน แล้วก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งมันเป็นของมันเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ และเมื่อเห็นแจ้งดังนี้แล้ว ก็จะทำให้คำถามที่เกี่ยวกับชีวิตว่า ทำไม? หมดสิ้นไปทันที ซึ่งนี่ก็คือการเกิดดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง
อนัตตา คือคำตอบของทุกปัญหาชีวิต
แต่การที่จะรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งในปัญหาชีวิตเหล่านี้ได้ จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งถึงลักษณะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของทุกสิ่งเสียก่อน จึงจะมีความรู้ เข้าใจ และเห็นแจ้งในปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งลักษณะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดนี้ก็คือความรู้ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา
คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา ซึ่งคำว่า อัตตา แปลว่า ตน หรือตนเอง ที่หมายถึง ตัวตนของตนเอง ซึ่งอัตตานี้จะมีความเที่ยง หรือเป็นอมตะ ไม่ต้องทนอยู่ เพราะมันเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งคำสอนเรื่องอัตตานี้เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่สอน (เชื่อ) ว่าจิตหรือวิญญาณของเรานี้เป็นตัวตนอมตะ ที่ไม่มีวันตาย แม้ร่างกายจาะตายแต่จิตนี้จะไม่ตาย คือสามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยไป แล้วก็ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า ผี เปรต เป็นต้นขึ้นมา และความเชื่อเหล่านี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนามาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
สิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ขึ้นมาก็คือการค้นพบว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา คือทรงค้นพบว่า ไม่มีสิ่งใดในชีวิตของเราและทุกชีวิตที่จะเป็นอัตตา ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ได้ ซึ่งการค้นพบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอนัตตานี้เองที่ทำให้เข้าใจถึงความจริงพื้นฐานของทุกชีวิตได้ คือเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ มันไม่ได้มีตัวตนเป็นของตัวของมันเองเลย มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งของธาตุ (สิ่งพื้นฐานที่มีอยู่จริงๆ คือ ของแข็ง ของเหลว ความร้อน และก๊าซ) ตามธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นเมื่อสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงหรือตัวตนอมตะอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอน และเมื่อถูกปรุงแต่งให้เกิดเป็นสิ่งใดขึ้นมาแล้ว มันก็จะไม่สามารถตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ (คือต้องแตก-ดับหายไปในที่สุดไม่ช้าก็เร็ว) รวมทั้งเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ยังต้องทนอยู่อย่างยากลำบากอีกด้วย
เมื่อเข้าใจถึงลักษณะของอนัตตาแล้ว เราก็ต้องนำมาลักษณะของอนัตตานี้มาพิจารณาร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกว่าเป็นเรานี้อย่างจริงจัง เราก็จะเข้าใจและเห็นแจ้งได้ว่า มันไม่มีสิ่งที่จะเป็นตัวตนของเราจริงๆ และทุกสิ่งก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย(สิ่งสนับสนุน)ของมัน แล้วก็จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า ทุกสิ่งมันเป็นของมันเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ และเมื่อเห็นแจ้งดังนี้แล้ว ก็จะทำให้คำถามที่เกี่ยวกับชีวิตว่า ทำไม? หมดสิ้นไปทันที ซึ่งนี่ก็คือการเกิดดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง