*ลองกลับมาเริ่มเขียนครับเมื่อก่อนพอจะเขียนก็ไม่ค่อยว่างติดนู้นติดนี้ ตอนนี้ลงตัวแล้ว เลยลองเขียนดูครับ ติชม ได้นะครับผมรับฟังหมด ขอบคุณครับ
The Rain Fall
ดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่างแทบจะลับขอบฝ้าของมุมตึกไปแล้ว ผมนั่งมองพุ่มไม้ที่อยู่ไกลๆพริ้วไสวไปพร้อมกับสายลมเย็นๆที่มาปะทะกับใบหน้าของผม
กลิ่มกาแฟหอมกรุ่นที่ผมพึ่งชงเสร็จชั่งหอมนิ่งนัก
ผมนั่งอยุ่หน้าโน๊ตบุ๊คตัวโปรด พยายามจะจบบรรทัดสุดท้ายของเรื่องนี้ บางทีสายฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก ทำให้สมาธิในการเขียนแตกกระเจิงไปไกล
''หลังจากที่เราทะเลาะกันยกใหญ่สายลมหนาวมันดูทรมานกว่าครั้งก่อนๆ ผมขับรถกลับบ้านรู้สึกว่าด้านนอกมืดสนิทเหมือนอยู่ในหลุมที่ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง เสียงของประตูบ้านที่ผมเปิดมันดูดังและน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา........''
ผมหยิบแก้วกาแฟขึ้นแล้วดื่มด่ำกับรถชาติของมันอีกครั้ง เรื่องนี้ดีในความคิดผม แต่ผมไม่สามารถจบเรื่องนี้ได้
เมื่อผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ลมเย็นๆ จากหน้าต่างก็ปะทะใบหน้าผมอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงจากไฟด้านนอกทำให้ผมขอบผมดูมืดสลัวเหมือนมีสัตว์ร้ายคอยจะลากผมไปสู่ความมืดมิด ใช่เธอยังนอนอยู่บนเตียงนั่น อากาศที่เย็นสบายแบบนี้ทำให้เธอไม่ลุกไปไหน ใบหน้าของเธอเปร่งประกายเล่นกับแสงไฟยามผมเปิดไฟ
''วันหยุดและอากาศแบบนี้ไม่มีใครอยากไปไหนหลอกนะ" คำพูดสุดท้ายก่อนเธอจะหลับไป
ผมลูบผมของเธอแล้วเดินกลับไปที่โน๊ตบุ๊คเครื่องเดิมอีกครั้ง เสียงฝนดังขึ้นทำให้อากาศเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่อยากลุกไปไหน อยากให้สายลมเย็นโอบล้อมตัวผมไว้แบบนี้จนกว่าความเย็นจะหายไป
ช่วงเวลาหนึ่งเราทะเลาะกันหนักมาก เธอพยายามทำทุกทางเพื่อจากผมไป เราออกจากร้านอาหารโดยไม่พูดกันสักคำ ราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ เมื่อกลับถึงบ้านเรากลับทะเลาะหนักขึ้นเรื่อยๆ สายฝนที่โหมกระหน่ำทำให้ยิ่งเพิ่มบรรยากาศมากขึ้น เธอเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่า
"เธอไม่เคยฟังฉันเลย''
ใช่คำพูดนั้นเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้องอยู่ในหัวผม มันดังจนผมไม่ได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ด้วยซ้ำ ผมออกจากบ้านแล้วขับรถโดยไม่มีจุดหมาย ถนนเส้นนี้แทบไม่มีรถเลย มีแต่เพียบสายฝนที่ยังคงตกลงมา ไฟข้างทางที่มืดสลัวทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวชอบกล ผมมองพุ่มไม้ที่นิ่งไหวอยู่ในความมืดราวกับว่ามันพยายามขยับเข้ามาไกลแล้วโอบหุ้มรถของผมไว้ แล้วนำผมไปสู่ความมืดมิด ผมมองไม่เห็นไม่นอกด้วยซ้ำ มีเพียบเสียงเม็ดผลที่กระทบกับรถผมเท่านั้น ผมรู้สึกติดกับดักอันใหญ่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เหมือนกับโดนขังอยู่ในห้องแคบๆ ผมหายใจไม่ออกทั้งที่แอร์รถของผมยังเปิดอยู่ เสียง ซ่าาาา ดังไปทั่ว
ผมพยายามขยับตัวแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก แต่พุ่มไม้ด้านนอกคลุมรถของผมไว้หมดแล้ว เสียงฝนยิ้งหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับค้อนบอนด์อันใหญ่ ผมมองไม่เห็นแสงไฟข้างทางแล้ว ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นพยายามปิดจมูกผมเพื่อให้หายใจไม่ออก มีแรงกดทับจากทุกทีทำให้ผมปวดหัวอย่างรุนแรง ผมตะเกียกตะกายเพื่อให้มีอากาศหายใจแต่มันเหมือนห่างไกลออกไปทุกที เมื่อแสงไฟข้างทางมืดสนิด ทุกอย่างก็ตกลงสู่ความมืดทันที
"อันตรายแบบนี้จะออกไปทำไม'' เธอพูด
เสียงฝนกระหน่ำอยู่ด้านนอก
''แต่ลูกค้าคนนี้สำคัญมากนะ'' ผมพูด
''ก็รอให้ฝนมันหยุดก่อนไม่ได้หรอ'' เธอพูด
''งั้นก็ยกเลิกไปเลย'' ผมพูด
"เธอไม่เคยฟังฉันเลย'' เธอพูด
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รถของผมจมน้ำไปเกือบครึ่งคันแล้ว ผมพยายามเปิดประตูแต่แรงดันน้ำด้านนอกทำให้ประตูหนักเหมือนกับเราดันกำแพงอยู่ ผมคว้าโน๊ตบุ๊คที่หล่นอยู่ตรงเบาะคนขับ แล้วใช้ขอบของมันตีกระจกจนมันแตกแล้วดันตัวออกมาในที่สุด
รถของผมตกไหล่ทางที่มีน้ำเจิงนอง ผมมองพุ่มไม้ที่แทงเข้าด้านหลังของรถ ฝนที่ตกดูเบาลงแล้ว...
ทันทีที่แฟนผมรู้ข่าวเธอหมดแรงและทรุดลงกับพื้น ผมไม่เป็นอะไรมากแค่กระดูกข้อเท้าหัก ไม่ถึงชั่วโมง แฟนผมมาถึงโรงพยาบาล แล้วเข้ามาสวมกอดผม ผมกอดเธอกลับทั้งๆที่ยังเจ็บแผลอยู่มาก
แล้วเธอก็พูดออกมาว่า
''เธออย่าทำแบบนี้อีกนะ ฉันเสียพ่อไปแล้ว ไม่อยากเสียใครเพราะเรื่องแบบนี้อีก''
ใช่ผมเข้าใจแล้ว มันอาจสำคัญสำหรับเธอจริงๆก็ได้ ผมตื่นขึ้นมาเพราะไฟโน๊ตบุ๊คทีแยงตา แล้วเสียงเดินของเธอที่ตื่นจากการนอน ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนหยุดแล้วเหลือเพียงลงเย็นๆ และกลิ่นหอมของต้นไม้ที่โดนฝนซะล้าง ผมยกกาแฟขึ้นสูดกลิ่นของมันแล้วกลับไปที่โน๊ตบุ๊ตของผม
''หลังจากที่เราทะเลาะกันยกใหญ่สายลมหนาวมันดูทรมานกว่าครั้งก่อนๆ ผมขับรถกลับบ้านรู้สึกว่าด้านนอกมืดสนิทเหมือนอยู่ในหลุมที่ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง เสียงของประตูบ้านที่ผมเปิดมันดูดังและน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ใช่เสียงฝนน่ากลัวเหล่านั้นมันทำให้เรานึกถึงเรื่องราว ที่ผ่านมา เมื่อผมเปิดไฟแล้วเห็นเธอนอนอยู่ที่เดิม แม้เสียงสายฝนจะให้ไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นลงได้ทั้งผมและเธอ แต่เมื่อทุกอย่างจบลงเราจะลืมสิ่งเหล่านั้นไปเอง''
ผมพิมพ์ประโยคสุดท้าย แล้วหันไปมองเธอที่เดินตรงเข้ามาหาผม เธอยิ้มกลับมาด้วยใบหน้าที่เอิบอิ่มราวกับท้องฟ้าที่โผล่พ้นเมฆฝน...
The Rain Fall (เรื่องสั้น)
ดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกหน้าต่างแทบจะลับขอบฝ้าของมุมตึกไปแล้ว ผมนั่งมองพุ่มไม้ที่อยู่ไกลๆพริ้วไสวไปพร้อมกับสายลมเย็นๆที่มาปะทะกับใบหน้าของผม
กลิ่มกาแฟหอมกรุ่นที่ผมพึ่งชงเสร็จชั่งหอมนิ่งนัก
ผมนั่งอยุ่หน้าโน๊ตบุ๊คตัวโปรด พยายามจะจบบรรทัดสุดท้ายของเรื่องนี้ บางทีสายฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอก ทำให้สมาธิในการเขียนแตกกระเจิงไปไกล
''หลังจากที่เราทะเลาะกันยกใหญ่สายลมหนาวมันดูทรมานกว่าครั้งก่อนๆ ผมขับรถกลับบ้านรู้สึกว่าด้านนอกมืดสนิทเหมือนอยู่ในหลุมที่ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง เสียงของประตูบ้านที่ผมเปิดมันดูดังและน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา........''
ผมหยิบแก้วกาแฟขึ้นแล้วดื่มด่ำกับรถชาติของมันอีกครั้ง เรื่องนี้ดีในความคิดผม แต่ผมไม่สามารถจบเรื่องนี้ได้
เมื่อผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ลมเย็นๆ จากหน้าต่างก็ปะทะใบหน้าผมอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงจากไฟด้านนอกทำให้ผมขอบผมดูมืดสลัวเหมือนมีสัตว์ร้ายคอยจะลากผมไปสู่ความมืดมิด ใช่เธอยังนอนอยู่บนเตียงนั่น อากาศที่เย็นสบายแบบนี้ทำให้เธอไม่ลุกไปไหน ใบหน้าของเธอเปร่งประกายเล่นกับแสงไฟยามผมเปิดไฟ
''วันหยุดและอากาศแบบนี้ไม่มีใครอยากไปไหนหลอกนะ" คำพูดสุดท้ายก่อนเธอจะหลับไป
ผมลูบผมของเธอแล้วเดินกลับไปที่โน๊ตบุ๊คเครื่องเดิมอีกครั้ง เสียงฝนดังขึ้นทำให้อากาศเย็นขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมไม่อยากลุกไปไหน อยากให้สายลมเย็นโอบล้อมตัวผมไว้แบบนี้จนกว่าความเย็นจะหายไป
ช่วงเวลาหนึ่งเราทะเลาะกันหนักมาก เธอพยายามทำทุกทางเพื่อจากผมไป เราออกจากร้านอาหารโดยไม่พูดกันสักคำ ราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ เมื่อกลับถึงบ้านเรากลับทะเลาะหนักขึ้นเรื่อยๆ สายฝนที่โหมกระหน่ำทำให้ยิ่งเพิ่มบรรยากาศมากขึ้น เธอเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่า
"เธอไม่เคยฟังฉันเลย''
ใช่คำพูดนั้นเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้องอยู่ในหัวผม มันดังจนผมไม่ได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ด้วยซ้ำ ผมออกจากบ้านแล้วขับรถโดยไม่มีจุดหมาย ถนนเส้นนี้แทบไม่มีรถเลย มีแต่เพียบสายฝนที่ยังคงตกลงมา ไฟข้างทางที่มืดสลัวทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวชอบกล ผมมองพุ่มไม้ที่นิ่งไหวอยู่ในความมืดราวกับว่ามันพยายามขยับเข้ามาไกลแล้วโอบหุ้มรถของผมไว้ แล้วนำผมไปสู่ความมืดมิด ผมมองไม่เห็นไม่นอกด้วยซ้ำ มีเพียบเสียงเม็ดผลที่กระทบกับรถผมเท่านั้น ผมรู้สึกติดกับดักอันใหญ่ ไม่สามารถขยับไปไหนได้เหมือนกับโดนขังอยู่ในห้องแคบๆ ผมหายใจไม่ออกทั้งที่แอร์รถของผมยังเปิดอยู่ เสียง ซ่าาาา ดังไปทั่ว
ผมพยายามขยับตัวแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก แต่พุ่มไม้ด้านนอกคลุมรถของผมไว้หมดแล้ว เสียงฝนยิ้งหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับค้อนบอนด์อันใหญ่ ผมมองไม่เห็นแสงไฟข้างทางแล้ว ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นพยายามปิดจมูกผมเพื่อให้หายใจไม่ออก มีแรงกดทับจากทุกทีทำให้ผมปวดหัวอย่างรุนแรง ผมตะเกียกตะกายเพื่อให้มีอากาศหายใจแต่มันเหมือนห่างไกลออกไปทุกที เมื่อแสงไฟข้างทางมืดสนิด ทุกอย่างก็ตกลงสู่ความมืดทันที
"อันตรายแบบนี้จะออกไปทำไม'' เธอพูด
เสียงฝนกระหน่ำอยู่ด้านนอก
''แต่ลูกค้าคนนี้สำคัญมากนะ'' ผมพูด
''ก็รอให้ฝนมันหยุดก่อนไม่ได้หรอ'' เธอพูด
''งั้นก็ยกเลิกไปเลย'' ผมพูด
"เธอไม่เคยฟังฉันเลย'' เธอพูด
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง รถของผมจมน้ำไปเกือบครึ่งคันแล้ว ผมพยายามเปิดประตูแต่แรงดันน้ำด้านนอกทำให้ประตูหนักเหมือนกับเราดันกำแพงอยู่ ผมคว้าโน๊ตบุ๊คที่หล่นอยู่ตรงเบาะคนขับ แล้วใช้ขอบของมันตีกระจกจนมันแตกแล้วดันตัวออกมาในที่สุด
รถของผมตกไหล่ทางที่มีน้ำเจิงนอง ผมมองพุ่มไม้ที่แทงเข้าด้านหลังของรถ ฝนที่ตกดูเบาลงแล้ว...
ทันทีที่แฟนผมรู้ข่าวเธอหมดแรงและทรุดลงกับพื้น ผมไม่เป็นอะไรมากแค่กระดูกข้อเท้าหัก ไม่ถึงชั่วโมง แฟนผมมาถึงโรงพยาบาล แล้วเข้ามาสวมกอดผม ผมกอดเธอกลับทั้งๆที่ยังเจ็บแผลอยู่มาก
แล้วเธอก็พูดออกมาว่า
''เธออย่าทำแบบนี้อีกนะ ฉันเสียพ่อไปแล้ว ไม่อยากเสียใครเพราะเรื่องแบบนี้อีก''
ใช่ผมเข้าใจแล้ว มันอาจสำคัญสำหรับเธอจริงๆก็ได้ ผมตื่นขึ้นมาเพราะไฟโน๊ตบุ๊คทีแยงตา แล้วเสียงเดินของเธอที่ตื่นจากการนอน ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนหยุดแล้วเหลือเพียงลงเย็นๆ และกลิ่นหอมของต้นไม้ที่โดนฝนซะล้าง ผมยกกาแฟขึ้นสูดกลิ่นของมันแล้วกลับไปที่โน๊ตบุ๊ตของผม
''หลังจากที่เราทะเลาะกันยกใหญ่สายลมหนาวมันดูทรมานกว่าครั้งก่อนๆ ผมขับรถกลับบ้านรู้สึกว่าด้านนอกมืดสนิทเหมือนอยู่ในหลุมที่ไม่มีแสงสว่างเข้าถึง เสียงของประตูบ้านที่ผมเปิดมันดูดังและน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ใช่เสียงฝนน่ากลัวเหล่านั้นมันทำให้เรานึกถึงเรื่องราว ที่ผ่านมา เมื่อผมเปิดไฟแล้วเห็นเธอนอนอยู่ที่เดิม แม้เสียงสายฝนจะให้ไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นลงได้ทั้งผมและเธอ แต่เมื่อทุกอย่างจบลงเราจะลืมสิ่งเหล่านั้นไปเอง''
ผมพิมพ์ประโยคสุดท้าย แล้วหันไปมองเธอที่เดินตรงเข้ามาหาผม เธอยิ้มกลับมาด้วยใบหน้าที่เอิบอิ่มราวกับท้องฟ้าที่โผล่พ้นเมฆฝน...