ศึกหนังภาคต่อ 22 Jump Street มาดีกว่า Dragon 2 หนังทำเงินอเมริกา 15 มิถุนายน

US BOX OFFICE June 13-15, 2014

(แปล/ เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)

เป็นไปตามคาด เมื่อหนังภาคต่อที่หลายๆ คนรอคอย 22 Jump Street และ How to Train Your Dragon 2 คว้าสองอันดับแรกหนังทำเงินสูงสดประจำสัปดาห์มาครอง แต่ก็มีเซอร์ไพรส์เหมือนกัน เมื่อหนังตลอกเรท อาร์กลับคว้าอันดับ 1 เหนือแอนิเมชันบ้านดรีมเวิร์คส์ ได้อย่างสบายๆ ซะงั้น

เปิดตัวด้วย 3,306 โรง 22 Jump Street ทำรายได้อย่างมหัศจรรย์ 57.1 ล้านเหรียญ ถือเป็นรายได้เปิดตัวสูงสุดอันดับ 2 ของหนังตลกเรท อาร์ แพ้แค่ The Hangover Part II และทำได้ดีกว่าหนังฮิตๆ อย่าง Neighbors กับ Ted และมากกว่าที่หนังภาคแรก 21 Jump Street ทำไว้ 36 ล้านเหรียญตอนเปิดตัวเมื่อมีนาคม 2012 ถึง 57% สาเหตุที่หนังเปิดตัวได้แข็งแรงขนาดนี้ น่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง ชื่อเสียงที่ดีของภาคแรก และการทำการตลาดที่แม่น หนัง 21 Jump Street ออกฉายเมื่อ 2 ปีก่อน และมีการรอคอยเกิดขึ้นระหว่างหนังภาคแรกกับเรื่องนี้ และการที่เดินหน้าได้อย่างมั่นคง ก็ต้องให้เครดิตกับปากต่อปาก ขณะที่ตัวหนังเองก็พาสองดารานำ โจนาห์ ฮิลล์ และแชนนิง ทาทัม ก้าวไปสู่เรื่องในระดับวิทยาลัย ซึ่งการทำการตลาดก็ย้ำตรงจุดนี้ แถมยังได้พลังการโปรโมทแบบเต็มที่ของฮิลล์และทาทัม ที่ต่างก็กลายเป็นสตาร์ได้ด้วยตัวเองแล้วอีกต่างหาก

คนดูหนัง 22 Jump Street หนักไปทางรุ่นๆ โดย 56% อายุต่ำกว่า 25 และพอๆ กันระหว่างชายกับหญิง แล้วก็คงเป็นเช่นเดียวกันกับหนังวัยรุ่นเรื่องอื่นๆ 22 Jump Street ทำรายได้ในวันแรกๆ ได้ดี โดย 44% ของรายได้มาจากวันศุกร์ ขณะที่คำวิจารณ์ก็ออกมาดี ได้คะแนน 83% จากเว็บมะเขือเน่า และปากต่อปากก็สวยจากคะแนน A ในซีนีมาสกอร์ นั่นหมายความว่าหนังน่าจะทรงตัวได้ดีในสัปดาห์ต่อไป โดยน่าจะปิดโปรแกรมที่กว่า 150 ล้านเหรียญ โดยไม่ยากลำบากนัก เผลอๆ อาจจะไปถึง 200 ล้านเลยด้วยซ้ำ

นี่คือหนังเรื่องที่ 4 แล้วจากผู้กำกับฟิล ลอร์ด และคริส มิลเลอร์ ซึ่งทุกเรื่องเปิดตัวในอันดับ 1 หมดด้วยรายได้เกินกว่า 30 ล้านเหรียญ หนัง 3 เรื่องแรกของพวกเขาปิดตัวด้วยรายได้มากกว่า 120 ล้าน ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็คงไม่หนีไปไหน ยิ่งไปกว่านั้น 22 Jump Street เป็นหนังเปิดตัวเกิน 50 ล้านเรื่องที่ 2 ในปีนี้ของลอร์ด/มิลเลอร์ ต่อจาก The LEGO Movie เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

อันดับ 2 เป็นหนังของดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน How to Train Your Dragon 2 เปิดตัว 49.5 ล้านเหรียญ ซึ่งดีกว่าที่ภาคแรกทำไว้ 43.7 ล้านเหรียญ แต่ก็ห่างไกลจากความคาดหวัง เพราะหนังภาคแรกนั้น ถือเป็นหนึ่งในหนังแอนิเมชันที่มีคน “รัก” มากที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แถมยังเป็นหนังแอนิเมชันเปิดตัวในเดือนมิถุนายนเรื่องแรกที่ทำรายได้ไม่ถึง 60 ล้านนับตั้งแต่ Ratatouille เปิดตัวไว้ 47 ล้านเหรียญเมื่อปี 2007 แน่นอนว่ามีหลายเหตุผลที่สนับสนุนการเปิดตัวที่ไม่ดีของหนัง อย่างแรก การตลาดวางหนังไว้ว่าเป็นงานแอ็คชัน-ผจญภัย แต่กลับซุกความเป็นหนังเบาสมองของหนังเอาไว้ จากประวัติเก่าๆ หนังแอนิเมชันที่ประสบความสำเร็จ จะต้องเน้นขายเสียงหัวเราะเป็นอย่างแรก และตัวเรื่องมาที่สอง ซึ่งทำให้นึกถึงหนังแอนิเมชันภาคต่ออีกเรื่องของดรีมเวิร์คส์ ที่เน้นความเป็นฉากแอ็คชันอย่าง Kung Fu Panda 2 ที่ไม่สามารถเอาข้อดีจากหนังภาคแรกมาขายหนังภาคต่อได้ และท้ายที่สุดก็ทำเงินน้อยกว่าภาคแรก อีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่องว่าง 4 ปีระหว่าหนังภาคแรกกับภาคนี้ คนดูรักหนังภาคแรกจริง แต่ความตื่นเต้นมันหมดไปเรื่อยๆ ระหว่างการรอคอย การที่ชื่อของหนังยังอยู่ในความสนใจอยู่ก็ต้องให้เครดิตกับซีรี่ส์ด้วย แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้การเป็นหนัง “ต้องดู” สำหรับหนังจอใหญ่ลดลงไปด้วย เพราะถ้าได้ดูตัวละครเหล่านี้ฟรีๆ ในโทรทัศน์แล้ว จะมาเสียตังค์ดูจอใหญ่อีกทำไม?

คนดู Dragon  53% เป็นหญิง และ 56% อายุน้อยกว่า 25 การที่ได้คะแนน A จากซีนีมาสกอร์ และเจอคู่แข่งจังๆ น้อยมากในซัมเมอร์นี้ หนังน่าจะเดินหน้าไปได้ยาวๆ แต่ก็ไม่น่าจะทำรายได้ทาบภาคแรก ที่ทำไว้ 218 ล้านเหรียญติด

อันดับ 3 เป็น Maleficent รายได้ตกแค่ 46% ทำเงินมาอีก 18.5 ล้านเหรียญ หนังทำรายรวมได้แซงหน้า Snow White and the Huntsman ไปแล้ว โดยตัวเลขในตอนนี้อยู่ที่ 163 ล้านเหรียญ และคงต้อบขอบคุณแรงบอกปากต่อปากที่ทำให้ Edge of Tomorrow รายได้ตกเพียง 43% หนังทำเงินอีก 16.5 ล้านเหรียญ และหากเปรียบเทียบกับ Oblivion หนังทอม ครูซอีกเรื่องที่รายได้ตก 52% ในสัปดาห์ที่สอง Edge ทำเงินไปแล้ว 57 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวใกล้ๆ ร้อยล้าน

หลังคว้าที่ 1 ได้สัปดาห์ก่อน หนังสร้างจากนิยายผู้ใหญ่วัยเยาว์ The Fault in our Stars หล่นรูดมาอยู่ที่ 5 ด้วยรายได้ 14.8 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการตกในแบบที่คาดกันไว้แล้ว รายได้ที่หล่นถึง 69% ถือว่าน่าประหลาดใจเล็กน้อยด้วยซ้ำ ผ่านไป 10 วันหนังฟังเงินรวม 80.8 ล้านเหรียญแล้ว

X-Men: Days of Future Past รายได้ตกแค่ 35% ทำเงินมาอีก 9.8 ล้านเหรียญ และทำเงินแซง The Amazing Spider-Man 2 ไปเป็นหนังซัมเมอร์นี้รายได้สูงสุดไปแล้ว ด้วยตัวเลข 200 ล้านเหรียญ และเป็นหนังฟ็อกซ์เรื่องแรกที่ทำรายได้ขนาดนี้ นับตั้งแต่ Alvin and the Chipmunks: The Squeakquel เมื่อเดือนมกราคม 2010 ตอนนี้หนัง X-Men เรื่องที่ 7 ทำรายได้ไปแล้ว 206.3 ล้านเหรียญ

ในตลาดนอกอเมริกา ที่การแข่งขันฟุตบอลโลกเพิ่มเริ่มเป็นสัปดาห์แรก ทำให้รายได้หนังนั้นลดลงจากเดิมไปพอสมควร แต่ที่น่าสนใจก็คือ Godzilla เปิดตัวมหาศาลในจีน 36 ล้านเหรียญ เป็นรายได้เปิดตัวสามวันแรกมากที่สุดที่นี่ของวอร์เนอร์ ตอนนี้ Godzilla ทำรายได้นอกอเมริกาไปแล้ว 248.3 ล้านเหรียญ และยังไม่ได้ฉายในญี่ปุ่น ซึ่งจะเปิดตัวกันในเดือนกรกฎาคม

Edge of Tomorrow ได้เงินมาอีก 37.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับเป็น 181 ล้านเหรียญ ตลาดใหญ่ยังเป็นจีนเหมือนเดิม เมื่อได้เงินมาอีก 9.3 ล้านเหรียญ โดยหนังทำรายได้ที่นี่ไปแล้ว 49.7 ล้าน และจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่น 4 กรกฎาคมนี้ เป็นตลาดสุดท้าย

ขณะที่ Maleficent ตามมาไม่ห่างด้วยตัวเลข 37.2 ล้านเหรียญ หนังทำรายได้ทั้งหมด 272.9 ล้านเหรียญนอกอเมริกา และจะเปิดตัวที่จีนสัปดาห์หน้า

กับการเปิดตัวพร้อมอเมริกาในบางตลาด How to Train Your Dragon 2 ทำรายได้มาเพียงหยิบมือ เมื่อรวมกับการเปิดตัวไม่กี่แห่งเมื่อสัปดาห์ก่อน หนังได้เงินมาแล้ว 26.1 ล้านเหรียญ โดยทำรายได้หนักๆ ก็การเปิดตัวที่รัสเซีย 12.8 ล้านเหรียญ และกลายเป็นหนังแอนิเมชันเปิดตัวสูงสุดที่มาเลย์เซีย 2.3 ล้านเหรียญ กับสิงคโปร์ 1.7 ล้านเหรียญ และเป็นหนังแอนิเมชันเปิดตัวสูงสุดอันดับ 2 ที่ฟิลลิปปินส์ 1.9 ล้านเหรียญ กับอินเดีย 1.2 ล้านเหรียญ หนังจะขยายไปอีก 28 ตลาดในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็มีตลาดใหญ่อย่าง ออสเตรเลีย, บราซิล และเม็กซิโก ท้ายที่สุดหนังไม่น่ามีปัญหากับการเอาชนะหนังภาคแรกที่ทำไว้ 277 ล้านเหรียญ

The Fault in our Stars ได้เงินมาอีก 16.3 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ รายได้รวมเป็น 38.8 ล้านเหรียญ โดยเปิดตัวอันดับ 1 ที่เยอรมันนี 1.9 ล้านเหรียญ ขณะที่ X-Men: Days of Future Past ทำรายได้รวมไปแล้ว 456 ล้านเหรียญนอกอเมริกา แซงหน้า Captain America: The Winter Soldier เรียบร้อย

คลิกไลค์ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos และอ่าบทวิจารณ์/ ข่าว หนัง-เพลง ชม MV และตัวอย่างหนังใหม่ๆ ได้ที่ www.sadaos.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่