เสียงเอะอะโวยวายที่ดังมาจากชั้นสองของบ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุง ทำให้หนุ่มใหญ่วัยหกสิบต้องลดหนังสือพิมพ์ในมือลง พร้อมกับตวัดสายตาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ก่อนจะหันมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ขึ้นไปบอกลูกสาวสุดที่รักของคุณด้วยว่าที่นี่เมืองไทย จะมาทำตัวไม่เกรงใจใครเหมือนอยู่เมืองนอกเมืองนาน่ะมันไม่ได้” พูดจบ อรรณพ ชาญเมธีกุล เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ก็ลุกขึ้นเดินฉับ ๆ ออกจากบ้าน ทิ้งให้คุณลดาผู้เป็นภรรยามองตามตาขวางอยู่ตรงนั้น จะต่อว่าสามีก็ทำไม่ทันเพราะขานั้นไวอย่างกับจรวด สุดท้ายคุณลดาเลยได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียว มีอย่างที่ไหนลูกสาวที่ส่งไปร่ำเรียนไกลถึงอังกฤษกลับมาทั้งที แทนที่คนเป็นพ่อจะมาช่วยกันพะเน้าพะนอเอาใจให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันเป็นปี กลับมาคอยแต่จะจิกกัดดุด่าว่ากล่าวอยู่อย่างนี้
“เพล้ง !!!” เสียงแก้วที่กระทบกับอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อึงอลกว่าเดิมเพราะมีทั้งเสียงโวยวาย เสียงกรีดร้องปนกันมั่วไปหมด คุณลดาลุกขึ้นจากที่นั่งเตรียมจะวิ่งขึ้นไปดู หากแต่ไม่นานร่างบางก็เดินกระทืบเท้าโครม ๆ หน้าตาบูดบึ้งลงมาจากบันได ตามติดลงมาด้วยสาวใช้ประจำตัวของหล่อนที่ตอนนี้หน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว
“คุณแม่ดูชุดลิตซีคะ สีตกใส่เลอะเทอะหมดเลย รู้มั๊ยคะว่าชุดนี้ราคาตั้งเท่าไหร่ เด็กรับใช้ของคุณแม่ทำเลอะหมดเลย ดูซีคะ” ลลิตยื่นชุดที่ว่าให้คนเป็นแม่ดู หน้าตางอง้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามบนใบหน้าของหล่อนลดลงแม้แต่น้อย ด้วยใบหน้าเรียวรูปไข่ คิ้วเข้ม จมูกโด่งสวยได้รูป ผิวเนียนละเอียดรับกับผมยาวตรงสีดำสนิท ต่อให้หน้าตาบูดบึ้งอย่างไร หล่อนจึงยังคงดูสวยสง่าอยู่ดี
“ต๊ายยย…เลอะจริง ๆ ด้วย นังพวกนี้นี่สอนไม่รู้จักจำ บอกให้แยกเสื้อผ้าก่อนซักทำไมไม่ทำกันฮึ” คุณลดาทำเสียงเอะอะโวยวายไปด้วยอีกคน สาวใช้ที่ว่าหน้าซีดอยู่แล้วจึงยิ่งซีดเข้าไปอีก ลูกสาวเจ้าของบ้านกลับมาได้ไม่ทันถึงเดือน เธอก็โดนดุแถมโดนหักเงินเดือนจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว
“ราคามันจะสักเท่าไหร่กันล่ะจ๊ะลูก เดี๋ยวแม่ซื้อให้ใหม่ก็ได้นี่” นางพูดปลอบใจ ดึงมือลูกสาวให้เดินตามไปนั่งที่โซฟา
“มันหาซื้อในเมืองไทยไม่ได้หรอกค่ะคุณแม่ พูดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย” ลิต หรือนางสาวลลิต ชาญเมธีกุล ทำสีหน้าหงุดหงิดเมื่อนึกถึงชุดสวยราคาแสนแพงที่หล่อนยอมควักเงินในกระเป๋าจ่ายไปเพียงเพราะมันเป็นชุดที่มีเพียงแค่ไม่กี่คนบนโลกจะได้ครอบครอง และหล่อนคือหนึ่งในนั้น
“ถ้าอย่างนั้นทำยังไงดีล่ะจ๊ะ ให้แม่ไล่มันออกไปเลยมั๊ย โทษฐานที่ทำให้ลูกสาวแม่อารมณ์ไม่ดี” คำพูดเอาใจลูกสาวของคุณลดาทำให้ ปาน สาวใช้ประจำตัวลลิตรีบยกมือขึ้นไหว้เจ้านายปรก ๆ นี่นอกจากหล่อนจะไม่มีเงินเดือนใช้แล้ว ยังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกด้วยหรือ แค่คิดปานก็ใจหายวาบ
“ไล่ไปลิตก็ไม่ได้ชุดคืนมาหรอกค่ะ อีกอย่างเดี๋ยวคุณพ่อท่านจะหาว่าลิตใจร้าย ทะเลาะแม้กับกระทั่งคนรับใช้ ลิตขี้เกียจจะเถียงกับท่านค่ะ” พูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นเดินอาด ๆ กลับขึ้นไปบนห้อง คุณลดาได้แต่มองตามร่างบางระหงด้วยความสงสาร ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับความรักเหมือนกับอีกคน คนที่จะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่
*********
คลื่นลูกใหญ่ที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ยามกระทบกับแสงอาทิตย์เกิดเป็นประกายระยิบระยับน่ามอง ทิวมะพร้าวที่ขึ้นอยู่เรียงรายไกลสุดลูกหูลูกตา ต่างก็พร้อมใจกันโอนเอนพัดไหวเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับต้นผักบุ้งทะเลที่พยายามโบกสะบัดไปมาราวกับจะอวดดอกสีม่วงสวยของตัวเองก็ไม่ปาน
เพชรทอดสายตาไปยังแผ่นน้ำเบื้องหน้า อีกไม่นานพระอาทิตย์ดวงกลมโตคงผลุบหายเข้าไปหลังภูเขาลูกใหญ่ลูกโน้น เขาคุ้นเคยกับภาพนี้มาแทบจะสามสิบปีเท่ากับอายุของเขา เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นทั้งบ้าน เป็นทั้งเพื่อน และเป็นทั้งชีวิต ตั้งแต่จำความได้เขาก็เห็นตัวเองวิ่งเล่นอยู่ตรงนี้ จะมีก็แต่ช่วงที่เขาถูกส่งไปเรียนในตัวเมืองหลวงเท่านั้น ที่ทำให้เขาไม่ได้อยู่กับมัน
“ไปทานข้าวกันได้แล้วค่ะคุณหนู คุณมุกเธอรออยู่นะคะ” เสียงป้าอร คนที่เป็นทั้งแม่บ้านและแม่นมในคนเดียวกันตะโกนบอก เพชรหันไปหาป้าอรแล้วยิ้ม ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ถูกปลูกสร้างลึกเข้าไปจากฝั่งราวสองร้อยเมตร มองจากฝั่งจะเห็นแต่เพียงยอดโดมสีขาวที่มีแสงไฟสลัวพอให้เห็นจุดมุ่งหมายเท่านั้น ส่วนรอบข้างนั้นถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงสีขาว นอกกำแพงไล่มาจนถึงชายหาดเป็นสนทะเลสลับกับมะพร้าวต้นสูงลิบลิ่วที่ขึ้นเบียดเสียดจนบดบังคฤหาสน์หลังใหญ่แทบมิด ยามมีลมแรงหรือพายุเข้าเมื่อใดเจ้าไม้ยืนต้นสองชนิดนี้ต่างแข่งกันโบกสะบัดพัดเอนจนน่าใจหาย แต่ยามปกติมันก็เป็นร่มเงาได้ดีทีเดียว
ไม่นานเพชรกับป้าอรก็เดินมาถึงประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่ที่มีป้ายบอกว่า “บ้านเปรมพัฒน์” ภายในรั้วกำแพงสูง คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวนวลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ไฟบนยอดโดมยังคงแลสลัว ส่วนไฟในบ้านถูกเปิดทิ้งไว้เพียงไม่กี่ห้อง บรรยากาศเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ ดีแต่เรือนไม้ด้านข้างยังคงพอมีเสียงเพลงตามสมัยดังมาให้พอใจชื้นบ้าง เพชรปิดประตูรั้วแล้วรีบเดินเข้าไปโดยมีป้าอรเดินตามไปติด ๆ ทางเดินเข้าสู่ตัวคฤหาสน์เป็นสนามขนาดใหญ่ที่ถูกปูด้วยหญ้าพันธุ์ดี มีไม้ดอกไม้ประดับหลากชนิดปลูกเรียงสลับกันไปดูสวยงาม ด้านข้างใกล้กับกำแพงสูงมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่หลายต้นขึ้นเรียงกัน แต่ละต้นต่างก็แข่งกันอวดช่อดอกสีชมพูสะพรั่ง มองไปใต้ต้นก็จะพบช่อดอกสีชมพูร่วงเกลื่อนจนกลบพื้นดินแถบนั้นจนหมด ส่วนด้านหลังคฤหาสน์เป็นสวนดอกแก้วขนาดย่อมที่เพียงแค่เดินเข้ามาในรั้วกำแพงก็ได้กลิ่นหอมตรลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
เพชรเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นห้องรับประทานอาหารประจำบ้าน เด็กสาวอายุสิบสี่ร่างบางผิวขาวจัด เจ้าของผมเปียสวยกำลังนั่งกอดอกมองมาที่เขา
“ว่าไงตัวแสบ รอพี่นานไหมเอ่ย” เขายกไม้ยกมือประกอบการพูด ลูบหัวหล่อนเบา ๆ แล้วนั่งลงข้างกัน คนถูกถามยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าหงิกงอเป็นจวัก ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้จะเคยชินกับอาการแสนงอนและเอาแต่ใจของน้องสาว แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้หล่อนทำแบบนี้บ่อยนัก
“เอาล่ะ ๆ โทษฐานที่พี่มาผิดเวลา พรุ่งนี้ทั้งวันพี่จะไม่ออกไปไหน จะอยู่กับมุกทั้งวันเลยโอเคไหม” เขายกมือประกอบ ยิ้มให้น้องสาวจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ ป้าอรที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ส่ายหน้าแกมอมยิ้ม มีอย่างที่ไหนบอกว่าไม่อยากจะตามใจน้องเพราะกลัวว่าจะเคยตัวจนเสียนิสัย แต่พอมุกมาตาโกรธทีไรเขาก็ตามใจเธอทุกที
คราวนี้มุกมาตายิ้มแก้มปริ รีบเกาะแขนเพชรแล้วซบศีรษะกับไหล่พี่ชายอย่างรักใคร่ เพชรมองมุกมาตาอย่างเอ็นดู เขาเอามือขยี้ผมน้องสาวเบา ๆ หลังจากนั้นกระบวนการรับประทานอาหารของสองพี่น้องจึงเริ่มต้นขึ้น ป้าอรมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ หากคุณผู้หญิงของบ้านไม่ด่วนจากไปเสียก่อน เธอคงจะมีความสุขมากทีเดียว
“วันนี้มีกับข้าวอะไรบ้างรึอร” เสียงแบบที่คุ้นชินดังขึ้นด้านหลังทำให้เพชรต้องวางช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากลงบนจานอย่างเสียไม่ได้ นายหัวอินทรนั่งลงหัวโต๊ะ แม้อายุจะย่างเข้าหกสิบแล้วแต่ก็ยังคงเค้าความคมคายของใบหน้าเอาไว้เต็มเปี่ยม และเพชรก็ได้รับเค้าโครงใบหน้าแบบนี้มาเต็ม ๆ เช่นกัน เพชรเหลือบมองคนเป็นพ่อทีหนึ่งแล้วหันกลับมาทางเดิม ตรงข้ามเขา หญิงวัยสีสิบต้น ๆ แต่งหน้าจัด เดินมานั่งพร้อมส่งยิ้มให้เขาเผยให้เห็นฟันเรียงเป็นระเบียบสวยงาม หล่อนสั่งให้แม่บ้านตักข้าวให้นายหัวรวมทั้งตัวเอง และเลยหันมาทักทายกับลูกเลี้ยงหนุ่ม
“แหม อยู่บ้านเดียวกันแต่เหมือนไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเห็นตากันเลยนะคะ” หล่อนยิ้มนัยน์ตามีประกาย บรรจงตักอาหารไปวางในจาน อินทร เปรมพัฒน์ ผู้เป็นเจ้าของเกาะและเจ้าของโรงแรมใหญ่หลายแห่งทางภาคใต้
“ครับ” เพชรตอบเรียบ ๆ ยิ้มเย็นที่มุมปากให้สิตาแม่เลี้ยงของตัวเอง ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มและลุกเดินออกไปเงียบ ๆ
“ดูมันทำกิริยาซิ ขนาดชั้นเป็นพ่อมันยังไม่เคารพเลย” นายหัวอินทรตบโต๊ะเสียงดังจนมุกมาตาสะดุ้ง เด็กสาวมองหน้าพ่อสลับกันไปมากับแม่เลี้ยงแล้ววางช้อนข้าวกระแทกลงบนจานเสียงดัง ก่อนจะส่งสัญญาณให้บัว ลูกสาวป้าอรมาพาเธอออกไป สิตาเบ้ปากใส่ก่อนจะก้มลงกินอาหารต่อไป มีแต่อินทรเท่านั้นที่ใบหน้าเคร่งขรึม หากแต่นัยน์ตาหม่นเศร้า
*********
เสียงปรบมือและคำชื่นชมดังมาไม่ขาดระยะเมื่อนางสาว ลลิล ชาญเมธีกุล จบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เธอคิดค้นและออกแบบขึ้นมาด้วยตัวเอง ภาพเครื่องดื่มในแพคเกจรูปลักษณ์แปลกตาแต่ดูทันสมัยที่ถูกถ่ายทอดอยู่บนโปรเจ็คเตอร์ สร้างความพึงพอใจให้บรรดาหุ้นส่วนและผู้เข้าร่วมประชุมจนถึงกับต้องลุกขึ้นปรบมือและกล่าวชื่นชมเธอกันไม่ขาดปาก ไม่ต่างจากประธานบริษัท อรรณพ ชาญเมธีกุล ที่นั่งมองลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ ตั้งแต่เล็กจนโตหล่อนทำให้เขาภูมิใจได้นับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยเกเร ว่านอนสอนง่าย เรียนดีระดับเกียรตินิยม และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่หล่อนทำให้เขา
“คุณลลิลเก่งอย่างนี้ อีกไม่นานคงได้เลื่อนขั้นเป็นรองประธานบริษัทแล้วมั๊งคะ” พิมพ์พร เลขา ฯ ประธานบริษัทเอ่ยแซวหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง หล่อนอยู่ช่วยลลิลจัดการเอกสารหลังได้รับคำสั่งจากคุณอรรณพ ส่วนผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่น ๆ รวมทั้งคุณอรรณพก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อหมดแล้ว
ลลิลยิ้มในหน้าหากแต่แววตาหมองลงไปนิดหนึ่ง ดวงตากลมโตยังคงจ้องนิ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนพิมพ์พรเกือบคิดไปแล้วว่าลลิลอาจไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“อ้อ…คุณพ่อมีประชุมต่อหรือคะพี่พิมพ์ ทำไมรีบจัง” หล่อนเงยหน้ามาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่แค่เพียงไม่กี่วินาทีก็กลับไปจ้องที่หน้าจออีกครั้ง พิมพ์พรยิ้มพลางส่ายหน้า หล่อนช่างเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทที่ทำงานหนักเสียยิ่งกว่าลูกจ้างอย่างเธอเสียอีก นี่ถ้าลองเธอเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทดูบ้างเธอคงไม่มัวบ้างานขนาดนี้ หากไม่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ก็คงได้นอนอยู่บ้านสบาย ๆ เป็นแน่
“เปล่าหรอกค่ะ คุณลดาเธอโทรมาบอกว่ามีธุระด่วน นี่เธอก็มารออยู่ที่ห้องทำงานคุณอรรณพนะคะ” พิมพ์พรตอบพลางเก็บเอกสารบนโต๊ะไปด้วย
“งั้นหรือคะ” ลลิลตอบ ตายังจ้องอยู่ที่เดิม หากแต่ความคิดของเธอได้หลุดลอยไปไกลเสียแล้ว
กลิ่นแก้วกลรัก ตอนที่ 1
“ขึ้นไปบอกลูกสาวสุดที่รักของคุณด้วยว่าที่นี่เมืองไทย จะมาทำตัวไม่เกรงใจใครเหมือนอยู่เมืองนอกเมืองนาน่ะมันไม่ได้” พูดจบ อรรณพ ชาญเมธีกุล เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ก็ลุกขึ้นเดินฉับ ๆ ออกจากบ้าน ทิ้งให้คุณลดาผู้เป็นภรรยามองตามตาขวางอยู่ตรงนั้น จะต่อว่าสามีก็ทำไม่ทันเพราะขานั้นไวอย่างกับจรวด สุดท้ายคุณลดาเลยได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียว มีอย่างที่ไหนลูกสาวที่ส่งไปร่ำเรียนไกลถึงอังกฤษกลับมาทั้งที แทนที่คนเป็นพ่อจะมาช่วยกันพะเน้าพะนอเอาใจให้สมกับที่ไม่ได้เจอกันเป็นปี กลับมาคอยแต่จะจิกกัดดุด่าว่ากล่าวอยู่อย่างนี้
“เพล้ง !!!” เสียงแก้วที่กระทบกับอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อึงอลกว่าเดิมเพราะมีทั้งเสียงโวยวาย เสียงกรีดร้องปนกันมั่วไปหมด คุณลดาลุกขึ้นจากที่นั่งเตรียมจะวิ่งขึ้นไปดู หากแต่ไม่นานร่างบางก็เดินกระทืบเท้าโครม ๆ หน้าตาบูดบึ้งลงมาจากบันได ตามติดลงมาด้วยสาวใช้ประจำตัวของหล่อนที่ตอนนี้หน้าหดเหลือแค่สองนิ้ว
“คุณแม่ดูชุดลิตซีคะ สีตกใส่เลอะเทอะหมดเลย รู้มั๊ยคะว่าชุดนี้ราคาตั้งเท่าไหร่ เด็กรับใช้ของคุณแม่ทำเลอะหมดเลย ดูซีคะ” ลลิตยื่นชุดที่ว่าให้คนเป็นแม่ดู หน้าตางอง้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความงดงามบนใบหน้าของหล่อนลดลงแม้แต่น้อย ด้วยใบหน้าเรียวรูปไข่ คิ้วเข้ม จมูกโด่งสวยได้รูป ผิวเนียนละเอียดรับกับผมยาวตรงสีดำสนิท ต่อให้หน้าตาบูดบึ้งอย่างไร หล่อนจึงยังคงดูสวยสง่าอยู่ดี
“ต๊ายยย…เลอะจริง ๆ ด้วย นังพวกนี้นี่สอนไม่รู้จักจำ บอกให้แยกเสื้อผ้าก่อนซักทำไมไม่ทำกันฮึ” คุณลดาทำเสียงเอะอะโวยวายไปด้วยอีกคน สาวใช้ที่ว่าหน้าซีดอยู่แล้วจึงยิ่งซีดเข้าไปอีก ลูกสาวเจ้าของบ้านกลับมาได้ไม่ทันถึงเดือน เธอก็โดนดุแถมโดนหักเงินเดือนจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว
“ราคามันจะสักเท่าไหร่กันล่ะจ๊ะลูก เดี๋ยวแม่ซื้อให้ใหม่ก็ได้นี่” นางพูดปลอบใจ ดึงมือลูกสาวให้เดินตามไปนั่งที่โซฟา
“มันหาซื้อในเมืองไทยไม่ได้หรอกค่ะคุณแม่ พูดแล้วก็เจ็บใจไม่หาย” ลิต หรือนางสาวลลิต ชาญเมธีกุล ทำสีหน้าหงุดหงิดเมื่อนึกถึงชุดสวยราคาแสนแพงที่หล่อนยอมควักเงินในกระเป๋าจ่ายไปเพียงเพราะมันเป็นชุดที่มีเพียงแค่ไม่กี่คนบนโลกจะได้ครอบครอง และหล่อนคือหนึ่งในนั้น
“ถ้าอย่างนั้นทำยังไงดีล่ะจ๊ะ ให้แม่ไล่มันออกไปเลยมั๊ย โทษฐานที่ทำให้ลูกสาวแม่อารมณ์ไม่ดี” คำพูดเอาใจลูกสาวของคุณลดาทำให้ ปาน สาวใช้ประจำตัวลลิตรีบยกมือขึ้นไหว้เจ้านายปรก ๆ นี่นอกจากหล่อนจะไม่มีเงินเดือนใช้แล้ว ยังจะไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกด้วยหรือ แค่คิดปานก็ใจหายวาบ
“ไล่ไปลิตก็ไม่ได้ชุดคืนมาหรอกค่ะ อีกอย่างเดี๋ยวคุณพ่อท่านจะหาว่าลิตใจร้าย ทะเลาะแม้กับกระทั่งคนรับใช้ ลิตขี้เกียจจะเถียงกับท่านค่ะ” พูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นเดินอาด ๆ กลับขึ้นไปบนห้อง คุณลดาได้แต่มองตามร่างบางระหงด้วยความสงสาร ทั้ง ๆ ที่เป็นลูกสาวแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับความรักเหมือนกับอีกคน คนที่จะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่
*********
คลื่นลูกใหญ่ที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ยามกระทบกับแสงอาทิตย์เกิดเป็นประกายระยิบระยับน่ามอง ทิวมะพร้าวที่ขึ้นอยู่เรียงรายไกลสุดลูกหูลูกตา ต่างก็พร้อมใจกันโอนเอนพัดไหวเป็นจังหวะ เช่นเดียวกับต้นผักบุ้งทะเลที่พยายามโบกสะบัดไปมาราวกับจะอวดดอกสีม่วงสวยของตัวเองก็ไม่ปาน
เพชรทอดสายตาไปยังแผ่นน้ำเบื้องหน้า อีกไม่นานพระอาทิตย์ดวงกลมโตคงผลุบหายเข้าไปหลังภูเขาลูกใหญ่ลูกโน้น เขาคุ้นเคยกับภาพนี้มาแทบจะสามสิบปีเท่ากับอายุของเขา เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นทั้งบ้าน เป็นทั้งเพื่อน และเป็นทั้งชีวิต ตั้งแต่จำความได้เขาก็เห็นตัวเองวิ่งเล่นอยู่ตรงนี้ จะมีก็แต่ช่วงที่เขาถูกส่งไปเรียนในตัวเมืองหลวงเท่านั้น ที่ทำให้เขาไม่ได้อยู่กับมัน
“ไปทานข้าวกันได้แล้วค่ะคุณหนู คุณมุกเธอรออยู่นะคะ” เสียงป้าอร คนที่เป็นทั้งแม่บ้านและแม่นมในคนเดียวกันตะโกนบอก เพชรหันไปหาป้าอรแล้วยิ้ม ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ถูกปลูกสร้างลึกเข้าไปจากฝั่งราวสองร้อยเมตร มองจากฝั่งจะเห็นแต่เพียงยอดโดมสีขาวที่มีแสงไฟสลัวพอให้เห็นจุดมุ่งหมายเท่านั้น ส่วนรอบข้างนั้นถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงสีขาว นอกกำแพงไล่มาจนถึงชายหาดเป็นสนทะเลสลับกับมะพร้าวต้นสูงลิบลิ่วที่ขึ้นเบียดเสียดจนบดบังคฤหาสน์หลังใหญ่แทบมิด ยามมีลมแรงหรือพายุเข้าเมื่อใดเจ้าไม้ยืนต้นสองชนิดนี้ต่างแข่งกันโบกสะบัดพัดเอนจนน่าใจหาย แต่ยามปกติมันก็เป็นร่มเงาได้ดีทีเดียว
ไม่นานเพชรกับป้าอรก็เดินมาถึงประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่ที่มีป้ายบอกว่า “บ้านเปรมพัฒน์” ภายในรั้วกำแพงสูง คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวนวลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ไฟบนยอดโดมยังคงแลสลัว ส่วนไฟในบ้านถูกเปิดทิ้งไว้เพียงไม่กี่ห้อง บรรยากาศเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ ดีแต่เรือนไม้ด้านข้างยังคงพอมีเสียงเพลงตามสมัยดังมาให้พอใจชื้นบ้าง เพชรปิดประตูรั้วแล้วรีบเดินเข้าไปโดยมีป้าอรเดินตามไปติด ๆ ทางเดินเข้าสู่ตัวคฤหาสน์เป็นสนามขนาดใหญ่ที่ถูกปูด้วยหญ้าพันธุ์ดี มีไม้ดอกไม้ประดับหลากชนิดปลูกเรียงสลับกันไปดูสวยงาม ด้านข้างใกล้กับกำแพงสูงมีต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่หลายต้นขึ้นเรียงกัน แต่ละต้นต่างก็แข่งกันอวดช่อดอกสีชมพูสะพรั่ง มองไปใต้ต้นก็จะพบช่อดอกสีชมพูร่วงเกลื่อนจนกลบพื้นดินแถบนั้นจนหมด ส่วนด้านหลังคฤหาสน์เป็นสวนดอกแก้วขนาดย่อมที่เพียงแค่เดินเข้ามาในรั้วกำแพงก็ได้กลิ่นหอมตรลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
เพชรเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นห้องรับประทานอาหารประจำบ้าน เด็กสาวอายุสิบสี่ร่างบางผิวขาวจัด เจ้าของผมเปียสวยกำลังนั่งกอดอกมองมาที่เขา
“ว่าไงตัวแสบ รอพี่นานไหมเอ่ย” เขายกไม้ยกมือประกอบการพูด ลูบหัวหล่อนเบา ๆ แล้วนั่งลงข้างกัน คนถูกถามยังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าหงิกงอเป็นจวัก ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้จะเคยชินกับอาการแสนงอนและเอาแต่ใจของน้องสาว แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้หล่อนทำแบบนี้บ่อยนัก
“เอาล่ะ ๆ โทษฐานที่พี่มาผิดเวลา พรุ่งนี้ทั้งวันพี่จะไม่ออกไปไหน จะอยู่กับมุกทั้งวันเลยโอเคไหม” เขายกมือประกอบ ยิ้มให้น้องสาวจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ ป้าอรที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ส่ายหน้าแกมอมยิ้ม มีอย่างที่ไหนบอกว่าไม่อยากจะตามใจน้องเพราะกลัวว่าจะเคยตัวจนเสียนิสัย แต่พอมุกมาตาโกรธทีไรเขาก็ตามใจเธอทุกที
คราวนี้มุกมาตายิ้มแก้มปริ รีบเกาะแขนเพชรแล้วซบศีรษะกับไหล่พี่ชายอย่างรักใคร่ เพชรมองมุกมาตาอย่างเอ็นดู เขาเอามือขยี้ผมน้องสาวเบา ๆ หลังจากนั้นกระบวนการรับประทานอาหารของสองพี่น้องจึงเริ่มต้นขึ้น ป้าอรมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มน้อย ๆ หากคุณผู้หญิงของบ้านไม่ด่วนจากไปเสียก่อน เธอคงจะมีความสุขมากทีเดียว
“วันนี้มีกับข้าวอะไรบ้างรึอร” เสียงแบบที่คุ้นชินดังขึ้นด้านหลังทำให้เพชรต้องวางช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากลงบนจานอย่างเสียไม่ได้ นายหัวอินทรนั่งลงหัวโต๊ะ แม้อายุจะย่างเข้าหกสิบแล้วแต่ก็ยังคงเค้าความคมคายของใบหน้าเอาไว้เต็มเปี่ยม และเพชรก็ได้รับเค้าโครงใบหน้าแบบนี้มาเต็ม ๆ เช่นกัน เพชรเหลือบมองคนเป็นพ่อทีหนึ่งแล้วหันกลับมาทางเดิม ตรงข้ามเขา หญิงวัยสีสิบต้น ๆ แต่งหน้าจัด เดินมานั่งพร้อมส่งยิ้มให้เขาเผยให้เห็นฟันเรียงเป็นระเบียบสวยงาม หล่อนสั่งให้แม่บ้านตักข้าวให้นายหัวรวมทั้งตัวเอง และเลยหันมาทักทายกับลูกเลี้ยงหนุ่ม
“แหม อยู่บ้านเดียวกันแต่เหมือนไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเห็นตากันเลยนะคะ” หล่อนยิ้มนัยน์ตามีประกาย บรรจงตักอาหารไปวางในจาน อินทร เปรมพัฒน์ ผู้เป็นเจ้าของเกาะและเจ้าของโรงแรมใหญ่หลายแห่งทางภาคใต้
“ครับ” เพชรตอบเรียบ ๆ ยิ้มเย็นที่มุมปากให้สิตาแม่เลี้ยงของตัวเอง ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มและลุกเดินออกไปเงียบ ๆ
“ดูมันทำกิริยาซิ ขนาดชั้นเป็นพ่อมันยังไม่เคารพเลย” นายหัวอินทรตบโต๊ะเสียงดังจนมุกมาตาสะดุ้ง เด็กสาวมองหน้าพ่อสลับกันไปมากับแม่เลี้ยงแล้ววางช้อนข้าวกระแทกลงบนจานเสียงดัง ก่อนจะส่งสัญญาณให้บัว ลูกสาวป้าอรมาพาเธอออกไป สิตาเบ้ปากใส่ก่อนจะก้มลงกินอาหารต่อไป มีแต่อินทรเท่านั้นที่ใบหน้าเคร่งขรึม หากแต่นัยน์ตาหม่นเศร้า
*********
เสียงปรบมือและคำชื่นชมดังมาไม่ขาดระยะเมื่อนางสาว ลลิล ชาญเมธีกุล จบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เธอคิดค้นและออกแบบขึ้นมาด้วยตัวเอง ภาพเครื่องดื่มในแพคเกจรูปลักษณ์แปลกตาแต่ดูทันสมัยที่ถูกถ่ายทอดอยู่บนโปรเจ็คเตอร์ สร้างความพึงพอใจให้บรรดาหุ้นส่วนและผู้เข้าร่วมประชุมจนถึงกับต้องลุกขึ้นปรบมือและกล่าวชื่นชมเธอกันไม่ขาดปาก ไม่ต่างจากประธานบริษัท อรรณพ ชาญเมธีกุล ที่นั่งมองลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ ตั้งแต่เล็กจนโตหล่อนทำให้เขาภูมิใจได้นับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยเกเร ว่านอนสอนง่าย เรียนดีระดับเกียรตินิยม และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่หล่อนทำให้เขา
“คุณลลิลเก่งอย่างนี้ อีกไม่นานคงได้เลื่อนขั้นเป็นรองประธานบริษัทแล้วมั๊งคะ” พิมพ์พร เลขา ฯ ประธานบริษัทเอ่ยแซวหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นลง หล่อนอยู่ช่วยลลิลจัดการเอกสารหลังได้รับคำสั่งจากคุณอรรณพ ส่วนผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่น ๆ รวมทั้งคุณอรรณพก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อหมดแล้ว
ลลิลยิ้มในหน้าหากแต่แววตาหมองลงไปนิดหนึ่ง ดวงตากลมโตยังคงจ้องนิ่งไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนพิมพ์พรเกือบคิดไปแล้วว่าลลิลอาจไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด
“อ้อ…คุณพ่อมีประชุมต่อหรือคะพี่พิมพ์ ทำไมรีบจัง” หล่อนเงยหน้ามาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่แค่เพียงไม่กี่วินาทีก็กลับไปจ้องที่หน้าจออีกครั้ง พิมพ์พรยิ้มพลางส่ายหน้า หล่อนช่างเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทที่ทำงานหนักเสียยิ่งกว่าลูกจ้างอย่างเธอเสียอีก นี่ถ้าลองเธอเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทดูบ้างเธอคงไม่มัวบ้างานขนาดนี้ หากไม่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ก็คงได้นอนอยู่บ้านสบาย ๆ เป็นแน่
“เปล่าหรอกค่ะ คุณลดาเธอโทรมาบอกว่ามีธุระด่วน นี่เธอก็มารออยู่ที่ห้องทำงานคุณอรรณพนะคะ” พิมพ์พรตอบพลางเก็บเอกสารบนโต๊ะไปด้วย
“งั้นหรือคะ” ลลิลตอบ ตายังจ้องอยู่ที่เดิม หากแต่ความคิดของเธอได้หลุดลอยไปไกลเสียแล้ว