กลิ่นแก้วกลรัก ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1 >>>http://ppantip.com/topic/32164131
ตอนที่ 2 >>>http://ppantip.com/topic/32175186
ตอนที่ 3 >>>http://ppantip.com/topic/32226678
ตอนที่ 4 >>>http://ppantip.com/topic/32316165
ตอนที่ 4 (ต่อ) >>>http://ppantip.com/topic/32346960


                                                                                           ตอนที่ 5

เสียงนกร้องระเบ็งเซ็งแซ่อยู่ใกล้ขอบหน้าต่างผสานกับเสียงไก่ขันทำให้ร่างบางที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงต้องลืมตาตื่น ลลิตพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่อย่างกับต้องการหนีความวุ่นวายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก อาการปวดเมื่อยเริ่มคุกคามเธอตั้งแต่เมื่อคืนและดูเหมือนจะทวีความเจ็บปวดมากขึ้นจนเธอไม่อยากขยับร่างกายไปไหน เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นคำรบที่สอง คราวนี้ดังกว่าเก่าและดูท่าว่าจะยาวนานกว่าเดิม ลลิตพลิกตัวมองนาฬิกาบนฝาผนังอย่างยากเย็น หกโมงครึ่งแล้ว ถ้าเป็นที่บ้านชาญเมธีกุลเธอคงหลับต่อไปอย่างสบายโดยไม่ต้องคิดอะไร ถึงเวลาเด็กรับใช้ก็คงมาปลุกพร้อมกับเตรียมน้ำให้เธออาบ ทว่าที่นี่คือบ้านเปรมพัฒน์และที่สำคัญเสียงของยัยสิตายังคงดังกึกก้องอยู่ในหู

    “ที่นี่เราทานอาหารเช้ากันตอนเจ็ดโมงนะคะ หวังว่าคุณคงจะตื่นทัน”

เหอะ !! เธอไม่ได้อยากทานข้าวเช้าสักนิด แต่ในเมื่อเป็นกฎของบ้านนี้และเธอก็เป็นแค่คนอาศัยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ อย่างไรเสียก็คงต้องปฏิบัติตามกฎเสียหน่อยเพื่อไม่ให้เจ้าของบ้านว่าเอาได้


ที่โต๊ะอาหารประจำบ้านเปรมพัฒน์ วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่เว้นแม้กระทั่ง เพชร ซึ่งปกติเขาแทบไม่ได้ร่วมโต๊ะกับบิดาและสิตาไม่ว่าจะเป็นอาหารมื้อไหนเลยด้วยซ้ำ

“แหม นานทีจะพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้นะคะ น่าปลื้มใจจริง ๆ” สิตาเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากอาหารจานสุดท้ายถูกยกมาเสิร์ฟ อินทรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่างกับเพชรที่สีหน้าเครียดขรึม ไม่ต่างกับมุกมาตาที่แสดงสีหน้าบึ้งตึงเช่นเดียวกันกับพี่ชาย

ลลิตปัดผมไปไว้ข้างหลังลวก ๆ และใช้ผ้าคาดผมสีขาวคาดทับพอไม่ให้ผมเผ้าดูแย่นัก วันนี้หล่อนสวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว กับกางเกงยีนส์สีซีดเข้ารูป ใบหน้าถูกทาทับด้วยแป้งเด็กบาง ๆ เพราะถ้าแต่งหน้าจัดเต็มอย่างทุกวันคงจะเสียเวลาอยู่ไม่น้อย ไม่นานหญิงสาวก็พาร่างแบบบางของตัวเองมาหยุดอยู่ที่โต๊ะอาหาร ดูเหมือนทุกคนจะให้ความสนใจกับหล่อนมากเพราะเห็นสายตาทุกคู่จับอยู่ที่หล่อนไม่กะพริบ

“ขอโทษนะคะที่ให้รอ” ลลิตบอกพลางเดินไปนั่งข้างสิตาซึ่งเป็นที่ว่างที่เดียวที่มีจานวางรออยู่ หัวโต๊ะเป็นอินทรซึ่งดูจะเป็นคนเดียวในที่นั้นที่แย้มยิ้มเชื้อเชิญให้เธอนั่ง ตรงข้ามเธอเป็นมุกมาตา เด็กสาวผู้มีใบหน้าเคร่งเครียด และที่ทำให้เธอตกใจมากที่สุดคือบุรุษร่างสูงหน้าขรึมที่นั่งถัดจากมุกมาตานั่นเอง

บ้านนี้ให้เกียรติคนขับเรือมากจนถึงขั้นให้ร่วมโต๊ะอาหารเชียวหรือ

ลลิตคิดในใจ ไม่ว่าวันนี้เขาจะแต่งตัวดีราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อวานแต่อย่างไรเสียหล่อนก็จำเขาได้แม่น คนขับเรือจอมกวนประสาทคนนั้น เธอไม่มีวันลืม

ลลิตส่งยิ้มให้อินทรและทุกคน หากแต่ภายในใจรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หล่อนภาวนาให้เวลาอาหารเช้าที่แสนทรมานนี่หมดไปเร็ว ๆ แต่ทว่าดูเหมือนเวลาจะยิ่งเดินช้ากว่าปกติด้วยซ้ำ

“ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะจ๊ะหนูลลิต ทำตัวตามสบายให้เหมือนอยู่บ้านหนูเถอะ” อินทรบอกใบหน้ายิ้มแย้มซึ่งทำให้ลลิตผ่อนความอึดอัดลงได้บ้าง หลังจากนั้นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการของคนในบ้านจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ลลิตอดขันกับกิริยายืดอกภูมิใจของสิตายามเมื่อแนะนำสถานะของตัวเองไม่ได้ นางจะรู้ตัวไหมนะว่าหล่อนก็พอรู้มาบ้างว่าสิตาเป็นแค่เมียที่ไม่ได้จดทะเบียน ดีหน่อยก็แค่ได้รับการยกย่องเชิดชูว่าเป็นเมียและพาออกงานสังคมบ้างก็เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ลลิตแทบผงะคือสถานะของบุรุษร่างสูงนั่นต่างหาก ที่แท้เขาคือ เพชร เปรมพัฒน์ ลูกชายของอินทร แถมยังพ่วงตำแหน่งเจ้าของสวนมะพร้าวหลายร้อยไร่นั่นอีก ลลิตรู้สึกเหมือนโดนตีกลางแสกหน้า เธอโดนเขาต้มจนเปื่อย และดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดกับที่โกหกเธอเลยสักนิด แววตาและสีหน้าเขาเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอเสียด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นเวลาแห่งการรับประทานอาหารก็เริ่มต้นขึ้น เรื่องราวช่วงชีวิตสมัยหนุ่มของอินทรและอรรณพ พ่อของเธอถูกถ่ายทอดออกมาเป็นระยะ ดูเหมือนอินทรจะมีความสุขกับการได้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ทุกคนรับฟัง ลลิตเองก็ฟังอย่างเพลิดเพลินเพราะได้รู้ประวัติอีกหลายอย่างของพ่อที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน

สมัยยังหนุ่มอินทรได้โควต้าไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับพ่อของเธอ แต่เขาโชคร้ายตรงที่ไม่มีญาติพี่น้องที่นั่น และเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาที่ไม่ได้มีฐานะอะไร ออกจะค่อนไปทางยากจนเสียด้วยซ้ำ โชคดีที่มีอรรณพคอยช่วยเหลือจึงทำให้อินทรเรียนจบและสร้างเนื้อสร้างตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ เขาทั้งสองคนจึงรักกันมากและยังคงช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนถึงปัจจุบัน

ลลิตนั่งฟังอย่างตั้งใจเพราะเป็นเรื่องราวของพ่อ หญิงสาวลอบมองมุกมาตากับ เขา ซึ่งดูเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องเล่าของคนเป็นพ่อสักนิด หลายครั้งที่เธอเห็นเพชรคอยตักอาหารให้มุกมาตาและคอยเอาใจน้องสาวทุกอย่าง ผิดกับคนเป็นพ่อที่ดูเหมือนเพชรแทบไม่ค่อยสนใจ ไม่แม้แต่จะมองหน้าหรือพูดคุยด้วยเธอคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด เพชรไม่ถูกกับพ่อของเขา และสัญชาตญาณของเธอยังบอกอีกว่ามุกมาตาก็คงไม่ค่อยถูกกับพ่อตัวเองเช่นกัน

    “ทานนี่ซีคะน้องมุก พี่ว่าอร่อยดีนะ” ลลิตตักอาหารจานที่เธอคิดว่าอร่อยถูกปากใส่จานให้มุกมาตาหวังเพียงเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเด็กสาวผู้เคร่งขรึมคนนี้ ทว่ามุกมาตากลับเขี่ยอาหารที่เธอตักให้ออกไปข้างจานและมองหน้าเธออย่างไม่พอใจ ลลิตรู้สึกว่าหน้าตัวเองหดเหลือแค่สองนิ้ว และที่แย่ไปกว่าคือเธอแอบเห็น เขา ยิ้มที่มุมปากราวกับเยาะเย้ยเธอเสียด้วยสิ

    เวลาแห่งการรับประทานอาหารผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเล อินทรบอกกับเธอว่าจะพาไปดูโรงแรมในเมืองก่อนเริ่มทำงานจริงในช่วงบ่าย สิตาออกตัวว่าจะขอติดสอยห้อยตามเข้าเมืองไปด้วยเพื่อจะไปซื้อของ ส่วนมุกมาตาก็เห็นบัวประคองพากลับขึ้นไปบนห้อง ส่วนเพชร หล่อนเห็นเขาเดินหายเข้าไปในสวนดอกแก้วหลังบ้าน ลลิตตัดสินใจว่าจะต้องตามเขาไป หล่อนต้องการรู้ว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องปลอมตัวเพื่อไปรับหล่อนที่สนามบิน และต้องการรู้ว่าหล่อนทำอะไรผิดเขาถึงได้ทำท่าทางราวกับแค้นเคืองหล่อนนัก

    ที่บ้านชาญเมธีกุล คุณลดานั่งหงอยเหงาอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรด นางไม่มีอารมณ์แม้แต่จะขัดเครื่องเพชรอันเป็นงานอดิเรกที่ชอบทำเพียงเพราะคิดถึงลลิต แม้อรรณพจะคอยปลอบใจนางแต่นางก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่ดี

    “คิดถึงลูกนะคะ ต้องจากบ้านไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดิฉันสงสารลูกเหลือเกิน” คุณลดาว่าพลางน้ำตาซึม

    “ลูกโตแล้วนะคุณ ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกโตมาแบบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คุณก็ต้องอดทนเข้าใจไหม” อรรณพบอกภรรยาเป็นครั้งที่ร้อย เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่ห่วงลูกแต่เพราะคนที่ลูกไปอาศัยอยู่ด้วยเป็นอินทร เลยคลายความกังวลไปได้มาก

    “เอาเถอะ ถ้าคุณเป็นห่วงลูกมากสักวันหนึ่งเราจะไปเยี่ยมลูกกัน” อรรณพบอกเพื่อให้ภรรยาคลายเศร้าลง นั่นเองจึงทำให้คุณลดายิ้มได้ ส่วนลลิลเองก็แอบเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเหตุเพราะลลิตไม่เหมือนคนอื่น หล่อนไม่เคยลำบากมาก่อน ไม่เคยใช้ชีวิตในเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวก จึงไม่รู้ว่าลลิตจะปรับตัวได้สักแค่ไหน

    ชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นใหญ่หลายต้นแผ่กิ่งให้ร่มเงาแก่อาณาบริเวณโดยรอบช่วยบดบังแสงอาทิตย์ยามสายไปได้มาก ลลิตก้มลงเก็บดอกสีชมพูมาถือเล่นในมือแล้วเดินเรื่อยไปตามริมกำแพงจนถึงสวนดอกแก้วหลังบ้าน

    “สวยเหลือเกิน” ลลิตพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปโน้มกิ่งต้นแก้วมากิ่งหนึ่ง จมูกโด่งสวยก้มลงแตะที่พวงดอกแก้วพวงหนึ่งอย่างแผ่วเบา ดอกแก้วมีเต็มต้นหากหล่อนจะขอสักช่อไปวางในห้องคงไม่มีใครว่าอะไร

    “หยุดนะ !! ” เสียงตวาดดังขึ้นพร้อมกันกับที่กิ่งต้นแก้วถูกกระชากออกไปจากมือ ลลิตสะดุ้งตกใจ และเมื่อเงยหน้าขึ้นหล่อนก็พบ เขา ยืนทำหน้าถทึงอยู่ตรงนั้นแล้ว

    “คุณทำบ้าอะไรเนี่ย มือฉันครูดกับกิ่งต้นแก้วเป็นรอยแดงหมดเลยเห็นไหม” หล่อนว่าพลางก้มลงมองฝ่ามือที่มีรอยแดงเป็นปื้นผลจากการที่เขาดึงกิ่งต้นแก้วออกไปจากมือของเธอ

    “คุณไม่มีสิทธิ์มาเด็ดดอกแก้วในสวนนี้” เพชรตอบเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงเครียดขรึมจนลลิตอดคิดไม่ได้ว่าเขากับพ่อหนุ่มจอมกวนประสาทที่ไปรับเธอที่สนามบินเป็นคนละคนกัน

    “นี่คุณอำฉันเล่นใช่ไหม กับแค่ดอกแก้วช่อเดียวเนี่ยนะ” ลลิตถามย้ำอีกครั้งและใบหน้าเคร่งขรึมของเขาก็ทำให้หล่อนมั่นใจว่าเขาพูดจริง ผู้ชายคนนี้คงจะไม่ชอบหล่อนแต่ถึงอย่างนั้นลลิตก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาไม่ชอบหล่อนเพราะอะไร

    “ฉันไม่เอาก็ได้ค่ะดอกแก้วของคุณเนี่ย แต่ถามหน่อยเถอะว่าทำไมคุณต้องปลอมตัวไปรับฉันที่สนามบิน คุณมีเหตุผลอะไรคะ” ลลิตสบตาเขารอฟังคำตอบ แต่สิ่งที่หล่อนได้รับคือการสั่งห้ามไม่ให้หล่อนมายุ่งกับต้นแก้วในสวนนี้และเขาก็ก้าวฉับ ๆ ออกไปโดยไม่พูดอะไร ลลิตมองตามเจ้าของแผ่นหลังกว้างด้วยความมึนงง อะไรทำให้เขาแสดงอาการแบบนี้กับหล่อน และหล่อนผิดมากนักหรือที่จะขอเด็ดดอกแก้วเพียงแค่ช่อเดียวจากดอกแก้วนับร้อย ๆ ช่อพวกนี้

    ป้าอรลอบถอนใจหลังจากฟังคำบอกเล่าคร่าว ๆ ของลลิต นางไม่รู้ว่าลลิตจะทนคนบ้านนี้ได้นานสักแค่ไหน คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าหญิงสาวจะเข้าใจ และบางทีลลิตอาจอยู่ไม่ถึงเวลานั้นก็ได้

    “โอ๊ย คุณเพชรเธอก็เป็นของเธอแบบนี้แหละค่ะ บทจะอารมณ์ดีก็ดีใจหาย บทจะขรึมก็เงียบจนน่ากลัวเชียวล่ะค่ะ” ศรีว่าพลางทำหน้าจริงจังจนป้าอรต้องหันไปดุ

    “ที่จริงคุณหนู เอ้อ ดิฉันหมายถึงคุณเพชรน่ะค่ะ เธอเป็นคนน่ารักนะคะ เพียงแต่เธอออกจะขรึมหน่อยเพราะว่าเครียดเรื่องงานน่ะค่ะ” ป้าอรตอบขณะที่มือกำลังสาละวนกับการทำขนม

    “แล้วเรื่องดอกแก้วพวกนั้นล่ะคะ” ลลิตถามต่อ ใบหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

    “คุณอย่าไปเด็ดมาเชียวนะคะ คุณเพชรน่ะเธอหวงดอกแก้วพวกนั้นอย่างกับจงอางหวงไข่ ก็คุณผู้หญิงคุณแม่ของเธอน่ะ…..” ศรีพูดได้เพียงเท่านั้นก็ถูกป้าอรเอาขนมยัดปาก ป้าอรชี้แจงต่อว่า “ดอกไม้จะสวยก็ต่อเมื่อได้ชูช่ออยู่บนต้นของมัน หากไปเด็ดมาก็รังแต่จะเหี่ยวเฉาเสียเปล่า ๆ”  เพียงเท่านี้ลลิตก็เข้าใจว่าป้าอรคงไม่อยากให้ถามอะไรต่อ หล่อนจึงล้มเลิกความคิดที่จะซักไซร้ไล่เรียง เพราะถามไปก็คงไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่สักวันหนึ่งหล่อนจะต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้หวงดอกแก้วพวกนี้นัก



เพชรยืนมองคนงานช่วยกันขนมะพร้าวขึ้นลำเรือแล้วยิ้มอย่างพอใจ หลายวันมานี้มีลูกค้ามารับซื้อมะพร้าวไม่ขาดสายทั้งลูกค้าใหม่และเก่าจนเตรียมสินค้าแทบไม่ทัน จนทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าเขาเพิ่งอารมณ์เสียมาจากบ้านจนต้องพาตัวเองมาที่สวนมะพร้าวแห่งนี้

“แหม ยิ้มใหญ่เลยนะครับนายหัว เห็นเมื่อกี๊ยังอารมณ์เสียอยู่เลย” ชาญเดินเข้ามาแซวหลังจากตรวจสอบจำนวนสินค้าและลงบันทึกพร้อมทั้งรับเงินเสร็จเรียบร้อย เพชรหันไปมองหน้าลูกน้องแล้วทำหน้านิ่งใส่ เพียงแค่นั้นชาญก็รีบวิ่งปร๋อไปตรวจสินค้าให้ลูกค้ารายต่อไป เพชรส่ายศีรษะกับความทะเล้นของลูกน้องแล้วเดินกลับเข้าไปเคลียร์งานที่บ้านพัก มีงานเอกสารทางด้านการเงินหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ตรวจสอบ อีกทั้งต้องคอยควบคุมการจัดเตรียมสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า และปัญหาของคนงานอีกมากมายสารพัดที่รอเขาจัดการ

“แกมันโง่ ให้เป็นผู้จัดการโรงแรมใหญ่ ๆ สบาย ๆ ไม่ชอบ ดันมาคลุกดินคลุกทรายอยู่กับสวนมะพร้าวบ้า ๆ เหมือนแม่แก” คำพูดของพ่อยังคงดังกึกก้องอยู่ในหูนับตั้งแต่วันที่เขาเรียนจบและพ่อบอกให้เขาไปดูแลกิจการโรงแรม แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะสานฝันของแม่ให้เป็นจริง แม่เคยบอกว่าอยากมีสวนมะพร้าวเพื่อจะได้สร้างอาชีพให้คนบนเกาะ และแม่ก็ตั้งใจทำมันถึงแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นแค่สวนมะพร้าวเล็ก ๆ แต่ตอนนี้เขาอยากให้แม่ได้เห็นและรับรู้ว่ามันกว้างใหญ่และทำประโยชน์ให้คนงานบนเกาะมากเพียงใด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่