หากวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย อวัยวะบางส่วนของร่างกายโดยอุบัติเหตุ
เช่น แขนทั้งสองข้าง และขาทั้งสองข้าง
ถ้าเหตุการณ์ นี้เกิดขึ้นกับเราจริง ๆ แล้วเรา จะรู้สึกอย่างไร
นั่นหมายความว่า เราต้องเจอ กับความทุกข์อย่างมหันต์ เลยที่เดียว ( ทุกข์ จากอวิชชา ที่ไปยึดถือร่างกาย )
แล้ว ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น กับเรานี้ มัน เกิดมาจากไหน ??
เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาถึงเหตุแห่งทุกข์ที่เราได้รับอยู่ขณะนี้ ที่เราแขนขาด ขาขาด
ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากจิตของเรานั่นเอง จิตที่ไป ยึดมั่น ถือมั่นว่าร่างกายนี้ เป็นของเรา
แล้วตอนนี้ ร่างกายของเรามัน ขาขาด แขนขาด หมดแล้ว
จิตที่ไปยึด ไปเกาะ ไปติด ในร่างกายนี้ จึงเป็นเหตุ แห่งทุกข์ ( สมุทัย )
แท้จริงร่างกายเรานั้น มัน เป็นของเรา จริง หรือ ?
หากใช้ ปัญญาพิจารณา ตามความเป็นจริง ร่างกายมัน ก็เป็นเพียง การทำงานของธาตุทั้ง4 ที่ทำงานร่วมกัน ตามเหตุ ปัจจัย
วันหนึ่ง ในที่สุด ร่างกายนี้มันก็ต้องเดินไปสู่ ความแตก สลาย กลายเป็นเถ้าถ่าน คีนกลับสู่ธรรมชาติ ไม่มีอะไรเป็นตัว เป็นตน เหลืออยู่เลย ยังไงเราก็หนีไม่พ้น เมี่อเราหนีความตายไปไม่พ้น ก็อย่าไปกลัวมัน กลัวก็ตาย ไม่กลัว ก็ตาย
เมื่อเราหาเหตุแห่งทุกข์ที่มาจากจิตของเรา ที่ไปยึดมั่นถือมั่น กายนี้ว่าเป็นของเรา แขนขาที่ขาดนั้นเป็นแขน ขาของเรา
เราจึงตกอยู่ในความทุกข์มหันต์
ที่นี้ ก็ให้เรา ปล่อยวางความทุกข์ โดย ปล่อยวาง จากอารมณ์จิต คือ วางเฉยในร่างกาย ไม่ให้คิด ไม่ให้ยึด ไม่ให้ปรุง ไม่ให้แต่ง ไม่ให้เกาะ ไม่ให้ติด ในร่างกาย (นิโรธ ความดับทุกข์ ) นี่คือการเข้าหาความ เป็นจริง โดย ธรรม ดังที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรง ตรัสสอนว่า ทุกข์ เกิดที่ ไหน ก็ ให้ ดับที่นั่น
เมื่อทุกข์เกิดที่ จิต ก็ให้ดับที่จิต ( จิตต้อง ตั้งมั่น มีคุณภาพ ปารศจากนิวรณ์ 5 ฌาน 1 – ฌาน 4 )ยิ่ง จิต มีคุณภาพ มีกำลังมากก็ยิ่ง ก็ใชัดับทุกข์ได้
ถึงร่างกายหยาบ ของเราจะแขนขาด ขาขาด แต่ดวงจิต และสติสัมปชัญญะของเรา ยังอยู่ครบถ้วน บริบูรณ์
ให้เรารักษา ศีล 5 ของเราให้บริสุทธ์ ผุดผ่อง ไม่ให่ด่างพร้อย แม้ร่างกายจะขาขาด แขนขาด เราก็สามารถ ฝึกจิตนี้ให้ ข้ามห้วงสังสารวัฏนี้ไปได้ เพื่อสมบัติอันเป็นทิพย์ และกายอันเป็นทิพย์
แท้จริง อริยสัจ 4 เกิดขึ้นอยู่ในใจเรา ทุกขณะจิต หากเรา กำหนดรู้ทุกข์ หรือ ผัสสะที่มากระทบ หมั่นละอกุศล เจริญกุศล แล้วกลับมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เท่ากับเรากำลังเดินตาม มรรค
เราต้องเห็น สภาวะเกิด ดับ จากจิตด้วยจิตเอง ต้องเข้าไปเห็นสภาวะจริงๆ ไม่ใช่ อ่าน ไม่ใช่คิด เป็น หมื่น เป็นแสน เป็นล้านครั้ง จนจิตยอมจำนน และถอดถอน จนจิตโพล่งออกมา จาก ความ ยึดมั่น ถือมั่น กาย และใจนี้
มาแบ่งปัน อริยสัจ 4 กันเถอะ !!!!!
เช่น แขนทั้งสองข้าง และขาทั้งสองข้าง
ถ้าเหตุการณ์ นี้เกิดขึ้นกับเราจริง ๆ แล้วเรา จะรู้สึกอย่างไร
นั่นหมายความว่า เราต้องเจอ กับความทุกข์อย่างมหันต์ เลยที่เดียว ( ทุกข์ จากอวิชชา ที่ไปยึดถือร่างกาย )
แล้ว ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น กับเรานี้ มัน เกิดมาจากไหน ??
เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาถึงเหตุแห่งทุกข์ที่เราได้รับอยู่ขณะนี้ ที่เราแขนขาด ขาขาด
ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากจิตของเรานั่นเอง จิตที่ไป ยึดมั่น ถือมั่นว่าร่างกายนี้ เป็นของเรา
แล้วตอนนี้ ร่างกายของเรามัน ขาขาด แขนขาด หมดแล้ว
จิตที่ไปยึด ไปเกาะ ไปติด ในร่างกายนี้ จึงเป็นเหตุ แห่งทุกข์ ( สมุทัย )
แท้จริงร่างกายเรานั้น มัน เป็นของเรา จริง หรือ ?
หากใช้ ปัญญาพิจารณา ตามความเป็นจริง ร่างกายมัน ก็เป็นเพียง การทำงานของธาตุทั้ง4 ที่ทำงานร่วมกัน ตามเหตุ ปัจจัย
วันหนึ่ง ในที่สุด ร่างกายนี้มันก็ต้องเดินไปสู่ ความแตก สลาย กลายเป็นเถ้าถ่าน คีนกลับสู่ธรรมชาติ ไม่มีอะไรเป็นตัว เป็นตน เหลืออยู่เลย ยังไงเราก็หนีไม่พ้น เมี่อเราหนีความตายไปไม่พ้น ก็อย่าไปกลัวมัน กลัวก็ตาย ไม่กลัว ก็ตาย
เมื่อเราหาเหตุแห่งทุกข์ที่มาจากจิตของเรา ที่ไปยึดมั่นถือมั่น กายนี้ว่าเป็นของเรา แขนขาที่ขาดนั้นเป็นแขน ขาของเรา
เราจึงตกอยู่ในความทุกข์มหันต์
ที่นี้ ก็ให้เรา ปล่อยวางความทุกข์ โดย ปล่อยวาง จากอารมณ์จิต คือ วางเฉยในร่างกาย ไม่ให้คิด ไม่ให้ยึด ไม่ให้ปรุง ไม่ให้แต่ง ไม่ให้เกาะ ไม่ให้ติด ในร่างกาย (นิโรธ ความดับทุกข์ ) นี่คือการเข้าหาความ เป็นจริง โดย ธรรม ดังที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรง ตรัสสอนว่า ทุกข์ เกิดที่ ไหน ก็ ให้ ดับที่นั่น
เมื่อทุกข์เกิดที่ จิต ก็ให้ดับที่จิต ( จิตต้อง ตั้งมั่น มีคุณภาพ ปารศจากนิวรณ์ 5 ฌาน 1 – ฌาน 4 )ยิ่ง จิต มีคุณภาพ มีกำลังมากก็ยิ่ง ก็ใชัดับทุกข์ได้
ถึงร่างกายหยาบ ของเราจะแขนขาด ขาขาด แต่ดวงจิต และสติสัมปชัญญะของเรา ยังอยู่ครบถ้วน บริบูรณ์
ให้เรารักษา ศีล 5 ของเราให้บริสุทธ์ ผุดผ่อง ไม่ให่ด่างพร้อย แม้ร่างกายจะขาขาด แขนขาด เราก็สามารถ ฝึกจิตนี้ให้ ข้ามห้วงสังสารวัฏนี้ไปได้ เพื่อสมบัติอันเป็นทิพย์ และกายอันเป็นทิพย์
แท้จริง อริยสัจ 4 เกิดขึ้นอยู่ในใจเรา ทุกขณะจิต หากเรา กำหนดรู้ทุกข์ หรือ ผัสสะที่มากระทบ หมั่นละอกุศล เจริญกุศล แล้วกลับมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เท่ากับเรากำลังเดินตาม มรรค
เราต้องเห็น สภาวะเกิด ดับ จากจิตด้วยจิตเอง ต้องเข้าไปเห็นสภาวะจริงๆ ไม่ใช่ อ่าน ไม่ใช่คิด เป็น หมื่น เป็นแสน เป็นล้านครั้ง จนจิตยอมจำนน และถอดถอน จนจิตโพล่งออกมา จาก ความ ยึดมั่น ถือมั่น กาย และใจนี้