เจ้าหญิงในเทพนิยายล้วนแต่เลอโฉม และเป็นที่หมายปองของเจ้าชายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดปฎิเสธว่าแต่ละพระองค์มีความงามที่ต้องตาต้องใจ เสียจนพวกเขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะได้มาเป็นคู่ครอง เช่นนั้นแล้วเนื้อคู่ของเจ้าหญิงจึงได้ถูกลิขิตให้เป็นเพียงแต่เจ้าชายเท่านั้น เจ้าชายยอมปราบแม่มดใจร้าย โค่นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ตามหากุญแจที่สาบสูญ หรือแม้กระทั่งยอมแลกด้วยชีวิตของตนเอง
แม้ฝ่ายเจ้าชายจะลำบากเสียขนาดนั้น แต่ฝ่ายเจ้าหญิงนั้นเล่า กลับไม่ต้องทำสิ่งอื่นใดนอกจากเฝ้ารอ ทุกพระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนสูงส่งเกินกว่าจะยื่นมือช่วยเหลือบรรดาเจ้าชายที่กระ
กระสนมาขึ้นบังลังก์เพื่อเคียงคู่ พระองค์สามารถเลือกที่จะหยิ่ง จะเมิน จะเสวยสุขอย่างไรก็ได้ เพราะเจ้าชายนั้นมีหลายพระองค์ให้เลือก แต่เจ้าหญิงที่เลอโฉมนั้นจะมีสักกี่พระองค์กันเชียว
อาจเพราะเหตุผลนี้ ใครหลายคนถึงได้ยินว่าเจ้าหญิงชอบปลอมตัวเป็นนางซิน คอยล้างถ้วยล้างชามอยู่หลังครัว รอวันที่จะสวมรองเท้าแก้วที่เจ้าชายนำมาให้ บ้างก็ร้องเพลงในป่า เป็นเพื่อนกับคนแคระถึงเจ็ดคน กินแอปเปิ้ลให้หลับชั่วคราว รอวันที่คนแคระจะช่วยกันตามเจ้าชายมาจุมพิต หรืออาจจะตัดปัญหานับวันรอ ด้วยการเอาเข็มปั่นด้ายจิ้มนิ้ว ให้ตัวเองต้องมนตร์นิทราไปเป็นหลายปี ซึ่งในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ ปรากฏว่ามีเพียงเจ้าหญิงเงือกองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นฝ่ายคิดริเริ่มขึ้นฝั่งไปหาเจ้าชายก่อน โดยการแลกเสียงของตนกับแม่มด
แต่ไม่ว่าเหล่าบรรดาเจ้าหญิงจะประพฤติตนเช่นไร นอกจากจะถูกเจ้าชายเลือกแล้ว พระนามของพระองค์ก็ยังเป็นที่จดจำในตำนานเทพนิยาย ถูกเล่าสืบต่อกันไปนานมิรู้ลืม ถูกบันทึกเป็นภาพนิทานให้เด็กเล็กอ่าน ถูกวาดเป็นความเพ้อฝันของหญิงสาว ยิ่งกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปมากเพียงใด พระองค์ก็ยิ่งถูกประทับในใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น
หากแต่มีพระนามของเจ้าหญิงองค์หนึ่งได้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ พระนามนั้นคือ เงา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อองค์ราชินีแห่งอาณาจักรเทพนิยายได้ทรงตั้งครรภ์ ข่าวดีนั้นทำให้องค์กษัตริย์ และเหล่าประชาชนเทพนิยายดีใจกันถ้วนหน้า จัดงานเลี้ยงฉลองกันเสียใหญ่โต บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติต่างเดินทางเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความยินดี และเอ่ยอวยพร หากมีโอรส ขอให้เป็นโอรสที่เติบใหญ่เป็นเจ้าชายที่กล้าหาญ หากเป็นธิดา ขอให้ภายภาคหน้าเป็นเจ้าหญิงเลอโฉม เป็นที่หมายปองของเจ้าชาย
ทว่าคำอวยพรเหล่านั้น กลับกลายเป็นยาพิษแก่ราชินี
ด้วยความกังวลว่าจะได้ทายาทไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังทั้งหลาย ทำให้พระองค์มีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ ไม่สามารถบรรทมหรือเสวยอะไรได้ เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน จนสุขภาพกายทรุดลงตามลำดับ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้น จึงรับสั่งให้หมอหลวงปรุงยารักษาราชินีให้หายเป็นปกติ มิฉะนั้นจะสั่งต้องโทษประหาร
คำสั่งที่มีโทษถึงตายนั้น ทำให้หมอหลวงต้องรีบเปิดตำรา ใช้วิชาความรู้ทุกอย่างที่มีติดตัว ผนวกเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเกินครึ่งชีวิต คิดหาวิธีปรุงยารักษาองค์ราชินีให้สำเร็จ
แต่อนิจจา -- หมอหลวงไม่สามารถค้นพบวิธีรักษาได้เลย
“ถ้าเช่นนั้นเราจักปรุงยาอมตะ” หมอหลวงบอกกับตัวเองในที่สุด “ถ้ายานี่ไม่สามารถรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ได้ เห็นทีจะเป็นชีวิตของเราที่ต้องแลกกับคมดาบ”
ผลปรากฏว่าไพ่ใบสุดท้ายของหมอหลวงไม่สามารถยื้อชีวิตองค์ราชินีของแผ่นดินไว้ได้ -- แต่ช่วยถือกำเนิดหนึ่งชีวิตได้ก่อนราชินีจะสิ้นลม -- วันนั้น คือวันที่ “เจ้าหญิงเงา” ได้ประสูติขึ้น
ไม่มีใครรู้ ว่าเป็นเพราะยาอมตะที่ราชินีได้เสวย หรือความเครียดที่สั่งสมมานานในจิตใจของพระองค์เอง ที่ทำให้เจ้าหญิงเงาตาบอดสนิท มีใบหน้าอัปลักษณ์ คล้ายเป็นแผลไฟครอก สัดส่วนของจมูก โหนกแก้ม กับปาก เหมือนจะใหญ่โตและบิดเบี้ยว อีกทั้งรูปร่างเตี้ย ไม่สง่าราศี ผิวกายลอกขุ่ยเหมือนกระดาษเปื่อย แต่ที่ทุกคนรู้เหมือนกันก็คือ พวกเขาล้วนแต่รังเกียจการมีตัวตนของ “เงา” นี้
พวกเขาประนามว่าเงานี้คือคำสาปของแผ่นดิน คือความอัปยศของบ้านเมือง -- แม้แต่องค์กษัตริย์เองก็นึกอยากกำจัดธิดาองค์นี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ฤดูตามหาคู่เจ้าหญิงเจ้าชายในแต่ละปีได้ผ่านเข้ามา และผ่านไป --
เจ้าหญิงต่างอาณาจักรล้วนแต่ถูกเจ้าชายมาสู่ขอในวิธีแตกต่างกันไป -- ครั้งแล้ว ครั้งเล่า -- ยกเว้นเจ้าหญิงเงาที่ยังคงไร้คู่
เสียงขับไล่ ความนึกคิดรังเกียจ คำสาปแช่ง กลายเป็นความมืดในจิตใจของเจ้าหญิงเงาขึ้นทุกวัน
ผิวพระองค์หมองคล้ำลงกว่าเดิม ลอกขุ่ยกว่าเดิม เส้นผมเริ่มหงอกและร่วงจนเกือบล้าน นัยน์ตาที่มืดบอดยังคงไม่รู้จักแสงสว่าง หากแต่พระองค์รู้ตัวว่าทรงมีหูที่ไม่เหมือนใครในแผ่นดิน พระองค์ได้ยินทุกสรรพเสียง ไม่เว้นแม้แต่เสียงรำพึงรำพันของหมู่ผีเสื้อ พระองค์สัมผัสได้ถึงเสียงที่ถูกโลกนี้ลืมไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงฮัมของสายลม เสียงร้องของสายฟ้า หรือเสียงครวญของสายน้ำ มันทำให้พระองค์รู้ว่าสวรรค์มิได้ทอดทิ้งพระองค์เสียทีเดียว
เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งดีสิ่งเดียวที่พระองค์มีไว้ครอบครอง สูญสลายไปตามความหดหู่ที่ทุกคนทำแก่พระองค์ พระองค์จึงตัดสินใจเอ่ยกับพระราชบิดาในที่สุด
“โปรดส่งหม่อมฉันไปในที่ที่พระองค์ต้องการ กำจัดหม่อมฉันด้วยวิธีที่พระองค์จักพอพระทัย จะเป็นสถานที่เวิ้งว้างเช่นทะเลทราย หรือจะดำดิ่งสู่ห้วงลึกของท้องทะเล หม่อมฉันก็มิขัดแต่อย่างใด”
แต่สถานที่ที่พระองค์ถูกส่งไปนั้น ไม่ใช่ทะเลทรายหรือมหาสมุทร หากแต่เป็น หอคอยในป่าลึก
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป จากฤดูหนาว สู่ฤดูใบไม้ผลิ จากฤดูใบไม้ผลิ สู่ฤดูใบไม้ร่วง --
สายลม ได้ช่วยนำพาเสียงแห่งธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเจ้าหญิงเงา ผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในหอคอย -- คอยนำเรื่องความงามบนโลกมาเล่า ให้พระองค์สามารถเห็นภาพท้องฟ้า หยดน้ำ และเม็ดทราย คอยกระซิบบอกให้พระองค์สู้หายใจต่อไปเพื่อวันรุ่งขึ้น คอยเฝ้าดูแลไม่ให้เจ้าหญิงตรอมใจตายไปเพราะความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย นานวันเข้า เจ้าหญิงก็สามารถเห็นความงามของสรรพสิ่งผ่านเสียงที่ได้ยิน
เจ้าหญิงผู้อัปลักษณ์จึงตัดสินใจในเช้าวันหนึ่ง ลุกขึ้นจับกระดาษและดินสอ วาดรูปเรื่องราวที่พระองค์เห็นในโลกที่มืดมิดนับแต่ประสูติ พระองค์ฟังเสียงดินสอที่เสียดสีกับกระดาษอย่างตั้งใจ เพื่อที่ว่าจะไม่วาดพลาด พระองค์ใช้ใจกำหนดเรื่องราวบนแผ่นกระดาษอย่างค่อยเป็นค่อยไป บรรจงสร้างสรรค์เรื่องราวให้ค่อยๆถือกำเนิดขึ้น
“ฉันควรจะวาดให้ตนเองมีผมนุ่มยาวเช่นเจ้าหญิงทั่วไป แต่ละเส้นเป็นสีทองคำสุกปลั่งเช่นที่ฉันได้ยินมาจากคำชื่นชมของสาวใช้ ฉันนั้นคือหญิงงามเกินจะพรรณา ก็ทำไมเล่า ในเมื่อ ตาของฉันเป็นสีฟ้าสดเหมือนท้องฟ้ายามฤดูร้อน สีปากฉันแดงดั่งกลีบกุหลาบ ผิวกายฉันขาวดุจหิมะยามฤดูหนาว รูปร่างฉันต้องตาต้องใจใครต่อใครเป็นแน่แท้ ขาฉันเรียวยาว ช่วยเสริมให้ฉันดูดีมีราศี สง่าเสียจนใครต่อใครเป็นต้องเหลียวมองตาม เสื้อผ้านั้นเล่า ต้องแต่งด้วยชุดราตรีหรูหรา ตัดเย็บด้วยฝีมือนางฟ้า มีรองเท้าแก้วระยิบระยับที่เจ้าชายเป็นผู้สวมให้ ฉันคงสามารถหาคู่ครองเป็นเจ้าชายผู้งดงาม ฉันคงสามารถมีความสุข -- -- ”
มาถึงตรงนี้ เจ้าหญิงเงาก็หยุดวาด พระองค์รู้ว่ารูปสวยงามเหล่านั้น ไม่ใช่แม้แต่เงาสะท้อนของพระองค์ พระองค์ไม่ใช่หญิงงาม ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครต่อใคร ตลอดชีวิตที่ผ่านมาพระองค์ถูกกระทำเช่น “เงา” ถูกมองข้ามและเพิกเฉย ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆ สิ่งใดที่เจ้าหญิงพึงมี พระองค์ไม่เคยมีโอกาสจับต้อง พระองค์เรียนรู้ความโหดร้ายผ่านการกระทำของผู้อื่นตลอดมา เพราะเช่นนั้น ถ้ามีเรื่องจะต้องบันทึกไว้ ก็ควรจะเป็นส่วนที่เป็น “ความจริง” ของพระองค์ และพระองค์ต้องลงมือทำมันเอง
นับจากวันนั้น หอคอยที่เคยว่างเปล่า มีเพียงกองกระดาษ ดินสอ ปากกาขนนก และขวดน้ำหมึก ก็ได้ถูกเติมเต็มเปลี่ยนแปลง เป็นกองกระดาษที่ถูกแต่งแต้มเป็นเรื่องราว
มันเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น --
เจ้าหญิงเงายังทรงมุ่งมานะสร้างผลงานผ่านกระดาษต่อไป -- ทรงลืมวันลืมคืน ลืมความร้อนและความเหน็บหนาว ลืมความรู้สึกหิวกระหาย และความง่วง -- พระองค์ยินยอมให้กาลเวลาครอบงำพระองค์ตามที่ต้องการ ทรงไม่หวั่นว่าจะถูกฝังอยู่ภายใต้กองกระดาษ ตราบใดที่พระองค์ยังคงสามารถทรงงานจนบรรลุเป็นผลสำเร็จได้
แต่สำหรับโลกภายนอก ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีใครยินดียินร้ายกับการหายตัวไปของเจ้าหญิงเงา
จากวันนี้ กลายเป็นพรุ่งนี้ และอดีตก็ถูกลืมอย่างง่ายดาย -- ง่ายเสียจนใครต่อใครก็ลืมไปแล้ว ว่าเคยมีเจ้าหญิงเงาผู้ถูกพวกเขาขับไล่มาก่อน
Princess In The Shadow . " เจ้าหญิงเงา "
เจ้าหญิงในเทพนิยายล้วนแต่เลอโฉม และเป็นที่หมายปองของเจ้าชายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดปฎิเสธว่าแต่ละพระองค์มีความงามที่ต้องตาต้องใจ เสียจนพวกเขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะได้มาเป็นคู่ครอง เช่นนั้นแล้วเนื้อคู่ของเจ้าหญิงจึงได้ถูกลิขิตให้เป็นเพียงแต่เจ้าชายเท่านั้น เจ้าชายยอมปราบแม่มดใจร้าย โค่นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ตามหากุญแจที่สาบสูญ หรือแม้กระทั่งยอมแลกด้วยชีวิตของตนเอง
แม้ฝ่ายเจ้าชายจะลำบากเสียขนาดนั้น แต่ฝ่ายเจ้าหญิงนั้นเล่า กลับไม่ต้องทำสิ่งอื่นใดนอกจากเฝ้ารอ ทุกพระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนสูงส่งเกินกว่าจะยื่นมือช่วยเหลือบรรดาเจ้าชายที่กระกระสนมาขึ้นบังลังก์เพื่อเคียงคู่ พระองค์สามารถเลือกที่จะหยิ่ง จะเมิน จะเสวยสุขอย่างไรก็ได้ เพราะเจ้าชายนั้นมีหลายพระองค์ให้เลือก แต่เจ้าหญิงที่เลอโฉมนั้นจะมีสักกี่พระองค์กันเชียว
อาจเพราะเหตุผลนี้ ใครหลายคนถึงได้ยินว่าเจ้าหญิงชอบปลอมตัวเป็นนางซิน คอยล้างถ้วยล้างชามอยู่หลังครัว รอวันที่จะสวมรองเท้าแก้วที่เจ้าชายนำมาให้ บ้างก็ร้องเพลงในป่า เป็นเพื่อนกับคนแคระถึงเจ็ดคน กินแอปเปิ้ลให้หลับชั่วคราว รอวันที่คนแคระจะช่วยกันตามเจ้าชายมาจุมพิต หรืออาจจะตัดปัญหานับวันรอ ด้วยการเอาเข็มปั่นด้ายจิ้มนิ้ว ให้ตัวเองต้องมนตร์นิทราไปเป็นหลายปี ซึ่งในหนังสือบันทึกเหตุการณ์ ปรากฏว่ามีเพียงเจ้าหญิงเงือกองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นฝ่ายคิดริเริ่มขึ้นฝั่งไปหาเจ้าชายก่อน โดยการแลกเสียงของตนกับแม่มด
แต่ไม่ว่าเหล่าบรรดาเจ้าหญิงจะประพฤติตนเช่นไร นอกจากจะถูกเจ้าชายเลือกแล้ว พระนามของพระองค์ก็ยังเป็นที่จดจำในตำนานเทพนิยาย ถูกเล่าสืบต่อกันไปนานมิรู้ลืม ถูกบันทึกเป็นภาพนิทานให้เด็กเล็กอ่าน ถูกวาดเป็นความเพ้อฝันของหญิงสาว ยิ่งกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปมากเพียงใด พระองค์ก็ยิ่งถูกประทับในใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น
หากแต่มีพระนามของเจ้าหญิงองค์หนึ่งได้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้ พระนามนั้นคือ เงา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อองค์ราชินีแห่งอาณาจักรเทพนิยายได้ทรงตั้งครรภ์ ข่าวดีนั้นทำให้องค์กษัตริย์ และเหล่าประชาชนเทพนิยายดีใจกันถ้วนหน้า จัดงานเลี้ยงฉลองกันเสียใหญ่โต บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติต่างเดินทางเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความยินดี และเอ่ยอวยพร หากมีโอรส ขอให้เป็นโอรสที่เติบใหญ่เป็นเจ้าชายที่กล้าหาญ หากเป็นธิดา ขอให้ภายภาคหน้าเป็นเจ้าหญิงเลอโฉม เป็นที่หมายปองของเจ้าชาย
ทว่าคำอวยพรเหล่านั้น กลับกลายเป็นยาพิษแก่ราชินี
ด้วยความกังวลว่าจะได้ทายาทไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังทั้งหลาย ทำให้พระองค์มีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ ไม่สามารถบรรทมหรือเสวยอะไรได้ เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน จนสุขภาพกายทรุดลงตามลำดับ องค์กษัตริย์เห็นดังนั้น จึงรับสั่งให้หมอหลวงปรุงยารักษาราชินีให้หายเป็นปกติ มิฉะนั้นจะสั่งต้องโทษประหาร
คำสั่งที่มีโทษถึงตายนั้น ทำให้หมอหลวงต้องรีบเปิดตำรา ใช้วิชาความรู้ทุกอย่างที่มีติดตัว ผนวกเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเกินครึ่งชีวิต คิดหาวิธีปรุงยารักษาองค์ราชินีให้สำเร็จ
แต่อนิจจา -- หมอหลวงไม่สามารถค้นพบวิธีรักษาได้เลย
“ถ้าเช่นนั้นเราจักปรุงยาอมตะ” หมอหลวงบอกกับตัวเองในที่สุด “ถ้ายานี่ไม่สามารถรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ได้ เห็นทีจะเป็นชีวิตของเราที่ต้องแลกกับคมดาบ”
ผลปรากฏว่าไพ่ใบสุดท้ายของหมอหลวงไม่สามารถยื้อชีวิตองค์ราชินีของแผ่นดินไว้ได้ -- แต่ช่วยถือกำเนิดหนึ่งชีวิตได้ก่อนราชินีจะสิ้นลม -- วันนั้น คือวันที่ “เจ้าหญิงเงา” ได้ประสูติขึ้น
ไม่มีใครรู้ ว่าเป็นเพราะยาอมตะที่ราชินีได้เสวย หรือความเครียดที่สั่งสมมานานในจิตใจของพระองค์เอง ที่ทำให้เจ้าหญิงเงาตาบอดสนิท มีใบหน้าอัปลักษณ์ คล้ายเป็นแผลไฟครอก สัดส่วนของจมูก โหนกแก้ม กับปาก เหมือนจะใหญ่โตและบิดเบี้ยว อีกทั้งรูปร่างเตี้ย ไม่สง่าราศี ผิวกายลอกขุ่ยเหมือนกระดาษเปื่อย แต่ที่ทุกคนรู้เหมือนกันก็คือ พวกเขาล้วนแต่รังเกียจการมีตัวตนของ “เงา” นี้
พวกเขาประนามว่าเงานี้คือคำสาปของแผ่นดิน คือความอัปยศของบ้านเมือง -- แม้แต่องค์กษัตริย์เองก็นึกอยากกำจัดธิดาองค์นี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ฤดูตามหาคู่เจ้าหญิงเจ้าชายในแต่ละปีได้ผ่านเข้ามา และผ่านไป --
เจ้าหญิงต่างอาณาจักรล้วนแต่ถูกเจ้าชายมาสู่ขอในวิธีแตกต่างกันไป -- ครั้งแล้ว ครั้งเล่า -- ยกเว้นเจ้าหญิงเงาที่ยังคงไร้คู่
เสียงขับไล่ ความนึกคิดรังเกียจ คำสาปแช่ง กลายเป็นความมืดในจิตใจของเจ้าหญิงเงาขึ้นทุกวัน
ผิวพระองค์หมองคล้ำลงกว่าเดิม ลอกขุ่ยกว่าเดิม เส้นผมเริ่มหงอกและร่วงจนเกือบล้าน นัยน์ตาที่มืดบอดยังคงไม่รู้จักแสงสว่าง หากแต่พระองค์รู้ตัวว่าทรงมีหูที่ไม่เหมือนใครในแผ่นดิน พระองค์ได้ยินทุกสรรพเสียง ไม่เว้นแม้แต่เสียงรำพึงรำพันของหมู่ผีเสื้อ พระองค์สัมผัสได้ถึงเสียงที่ถูกโลกนี้ลืมไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงฮัมของสายลม เสียงร้องของสายฟ้า หรือเสียงครวญของสายน้ำ มันทำให้พระองค์รู้ว่าสวรรค์มิได้ทอดทิ้งพระองค์เสียทีเดียว
เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งดีสิ่งเดียวที่พระองค์มีไว้ครอบครอง สูญสลายไปตามความหดหู่ที่ทุกคนทำแก่พระองค์ พระองค์จึงตัดสินใจเอ่ยกับพระราชบิดาในที่สุด
“โปรดส่งหม่อมฉันไปในที่ที่พระองค์ต้องการ กำจัดหม่อมฉันด้วยวิธีที่พระองค์จักพอพระทัย จะเป็นสถานที่เวิ้งว้างเช่นทะเลทราย หรือจะดำดิ่งสู่ห้วงลึกของท้องทะเล หม่อมฉันก็มิขัดแต่อย่างใด”
แต่สถานที่ที่พระองค์ถูกส่งไปนั้น ไม่ใช่ทะเลทรายหรือมหาสมุทร หากแต่เป็น หอคอยในป่าลึก
วันเวลาล่วงเลยผ่านไป จากฤดูหนาว สู่ฤดูใบไม้ผลิ จากฤดูใบไม้ผลิ สู่ฤดูใบไม้ร่วง --
สายลม ได้ช่วยนำพาเสียงแห่งธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเจ้าหญิงเงา ผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในหอคอย -- คอยนำเรื่องความงามบนโลกมาเล่า ให้พระองค์สามารถเห็นภาพท้องฟ้า หยดน้ำ และเม็ดทราย คอยกระซิบบอกให้พระองค์สู้หายใจต่อไปเพื่อวันรุ่งขึ้น คอยเฝ้าดูแลไม่ให้เจ้าหญิงตรอมใจตายไปเพราะความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย นานวันเข้า เจ้าหญิงก็สามารถเห็นความงามของสรรพสิ่งผ่านเสียงที่ได้ยิน
เจ้าหญิงผู้อัปลักษณ์จึงตัดสินใจในเช้าวันหนึ่ง ลุกขึ้นจับกระดาษและดินสอ วาดรูปเรื่องราวที่พระองค์เห็นในโลกที่มืดมิดนับแต่ประสูติ พระองค์ฟังเสียงดินสอที่เสียดสีกับกระดาษอย่างตั้งใจ เพื่อที่ว่าจะไม่วาดพลาด พระองค์ใช้ใจกำหนดเรื่องราวบนแผ่นกระดาษอย่างค่อยเป็นค่อยไป บรรจงสร้างสรรค์เรื่องราวให้ค่อยๆถือกำเนิดขึ้น
“ฉันควรจะวาดให้ตนเองมีผมนุ่มยาวเช่นเจ้าหญิงทั่วไป แต่ละเส้นเป็นสีทองคำสุกปลั่งเช่นที่ฉันได้ยินมาจากคำชื่นชมของสาวใช้ ฉันนั้นคือหญิงงามเกินจะพรรณา ก็ทำไมเล่า ในเมื่อ ตาของฉันเป็นสีฟ้าสดเหมือนท้องฟ้ายามฤดูร้อน สีปากฉันแดงดั่งกลีบกุหลาบ ผิวกายฉันขาวดุจหิมะยามฤดูหนาว รูปร่างฉันต้องตาต้องใจใครต่อใครเป็นแน่แท้ ขาฉันเรียวยาว ช่วยเสริมให้ฉันดูดีมีราศี สง่าเสียจนใครต่อใครเป็นต้องเหลียวมองตาม เสื้อผ้านั้นเล่า ต้องแต่งด้วยชุดราตรีหรูหรา ตัดเย็บด้วยฝีมือนางฟ้า มีรองเท้าแก้วระยิบระยับที่เจ้าชายเป็นผู้สวมให้ ฉันคงสามารถหาคู่ครองเป็นเจ้าชายผู้งดงาม ฉันคงสามารถมีความสุข -- -- ”
มาถึงตรงนี้ เจ้าหญิงเงาก็หยุดวาด พระองค์รู้ว่ารูปสวยงามเหล่านั้น ไม่ใช่แม้แต่เงาสะท้อนของพระองค์ พระองค์ไม่ใช่หญิงงาม ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครต่อใคร ตลอดชีวิตที่ผ่านมาพระองค์ถูกกระทำเช่น “เงา” ถูกมองข้ามและเพิกเฉย ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆ สิ่งใดที่เจ้าหญิงพึงมี พระองค์ไม่เคยมีโอกาสจับต้อง พระองค์เรียนรู้ความโหดร้ายผ่านการกระทำของผู้อื่นตลอดมา เพราะเช่นนั้น ถ้ามีเรื่องจะต้องบันทึกไว้ ก็ควรจะเป็นส่วนที่เป็น “ความจริง” ของพระองค์ และพระองค์ต้องลงมือทำมันเอง
นับจากวันนั้น หอคอยที่เคยว่างเปล่า มีเพียงกองกระดาษ ดินสอ ปากกาขนนก และขวดน้ำหมึก ก็ได้ถูกเติมเต็มเปลี่ยนแปลง เป็นกองกระดาษที่ถูกแต่งแต้มเป็นเรื่องราว
มันเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น --
เจ้าหญิงเงายังทรงมุ่งมานะสร้างผลงานผ่านกระดาษต่อไป -- ทรงลืมวันลืมคืน ลืมความร้อนและความเหน็บหนาว ลืมความรู้สึกหิวกระหาย และความง่วง -- พระองค์ยินยอมให้กาลเวลาครอบงำพระองค์ตามที่ต้องการ ทรงไม่หวั่นว่าจะถูกฝังอยู่ภายใต้กองกระดาษ ตราบใดที่พระองค์ยังคงสามารถทรงงานจนบรรลุเป็นผลสำเร็จได้
แต่สำหรับโลกภายนอก ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีใครยินดียินร้ายกับการหายตัวไปของเจ้าหญิงเงา
จากวันนี้ กลายเป็นพรุ่งนี้ และอดีตก็ถูกลืมอย่างง่ายดาย -- ง่ายเสียจนใครต่อใครก็ลืมไปแล้ว ว่าเคยมีเจ้าหญิงเงาผู้ถูกพวกเขาขับไล่มาก่อน