Princess in the shadow เจ้าหญิงเงา





           เจ้าหญิงในเทพนิยายล้วนแต่เลอโฉม และเป็นที่หมายปองของเจ้าชายด้วยกันทั้งสิ้น  ไม่มีผู้ใดปฎิเสธว่าแต่ละพระองค์มีความงามที่ต้องตาต้องใจ เสียจนพวกเขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะได้มาเป็นคู่ครอง  เช่นนั้นแล้วเนื้อคู่ของเจ้าหญิงจึงได้ถูกลิขิตให้เป็นเพียงแต่เจ้าชายเท่านั้น  เจ้าชายยอมปราบแม่มดใจร้าย  โค่นสัตว์ประหลาดตัวยักษ์  ตามหากุญแจที่สาบสูญ  หรือแม้กระทั่งยอมแลกด้วยชีวิตของตนเอง

แม้ฝ่ายเจ้าชายจะลำบากเสียขนาดนั้น   แต่ฝ่ายเจ้าหญิงนั้นเล่า   กลับไม่ต้องทำสิ่งอื่นใดนอกจากเฝ้ารอ  ทุกพระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนสูงส่งเกินกว่าจะยื่นมือช่วยเหลือบรรดาเจ้าชายที่กระยิ้มกระสนมาขึ้นบังลังก์เพื่อเคียงคู่   พระองค์สามารถเลือกที่จะหยิ่ง   จะเมิน   จะเสวยสุขอย่างไรก็ได้  เพราะเจ้าชายนั้นมีหลายพระองค์ให้เลือก   แต่เจ้าหญิงที่เลอโฉมนั้นจะมีสักกี่พระองค์กันเชียว  

อาจเพราะเหตุผลนี้   ใครหลายคนถึงได้ยินว่าเจ้าหญิงชอบปลอมตัวเป็นนางซิน คอยล้างถ้วยล้างชามอยู่หลังครัว  รอวันที่จะสวมรองเท้าแก้วที่เจ้าชายนำมาให้   บ้างก็ร้องเพลงในป่า เป็นเพื่อนกับคนแคระถึงเจ็ดคน  กินแอปเปิ้ลให้หลับชั่วคราว  รอวันที่คนแคระจะช่วยกันตามเจ้าชายมาจุมพิต  หรืออาจจะตัดปัญหานับวันรอ ด้วยการเอาเข็มปั่นด้ายจิ้มนิ้ว  ให้ตัวเองต้องมนตร์นิทราไปเป็นหลายปี  ซึ่งในหนังสือบันทึกเหตุการณ์   ปรากฏว่ามีเพียงเจ้าหญิงเงือกองค์เดียวเท่านั้น   ที่เป็นฝ่ายคิดริเริ่มขึ้นฝั่งไปหาเจ้าชายก่อน  โดยการแลกเสียงของตนกับแม่มด

แต่ไม่ว่าเหล่าบรรดาเจ้าหญิงจะประพฤติตนเช่นไร   นอกจากจะถูกเจ้าชายเลือกแล้ว  พระนามของพระองค์ก็ยังเป็นที่จดจำในตำนานเทพนิยาย  ถูกเล่าสืบต่อกันไปนานมิรู้ลืม  ถูกบันทึกเป็นภาพนิทานให้เด็กเล็กอ่าน  ถูกวาดเป็นความเพ้อฝันของหญิงสาว  ยิ่งกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปมากเพียงใด  พระองค์ก็ยิ่งถูกประทับในใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น

หากแต่มีพระนามของเจ้าหญิงองค์หนึ่งได้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้   พระนามนั้นคือ เงา

            เรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เมื่อองค์ราชินีแห่งอาณาจักรเทพนิยายได้ทรงตั้งครรภ์  ข่าวดีนั้นทำให้องค์กษัตริย์ และเหล่าประชาชนเทพนิยายดีใจกันถ้วนหน้า   จัดงานเลี้ยงฉลองกันเสียใหญ่โต  บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติต่างเดินทางเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความยินดี   และเอ่ยอวยพร  หากมีโอรส  ขอให้เป็นโอรสที่เติบใหญ่เป็นเจ้าชายที่กล้าหาญ  หากเป็นธิดา ขอให้ภายภาคหน้าเป็นเจ้าหญิงเลอโฉม  เป็นที่หมายปองของเจ้าชาย

            ทว่าคำอวยพรเหล่านั้น กลับกลายเป็นยาพิษแก่ราชินี

ด้วยความกังวลว่าจะได้ทายาทไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังทั้งหลาย  ทำให้พระองค์มีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่  ไม่สามารถบรรทมหรือเสวยอะไรได้ เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน  จนสุขภาพกายทรุดลงตามลำดับ    องค์กษัตริย์เห็นดังนั้น  จึงรับสั่งให้หมอหลวงปรุงยารักษาราชินีให้หายเป็นปกติ  มิฉะนั้นจะสั่งต้องโทษประหาร

            คำสั่งที่มีโทษถึงตายนั้น   ทำให้หมอหลวงต้องรีบเปิดตำรา   ใช้วิชาความรู้ทุกอย่างที่มีติดตัว ผนวกเข้ากับประสบการณ์ที่สั่งสมมานานเกินครึ่งชีวิต คิดหาวิธีปรุงยารักษาองค์ราชินีให้สำเร็จ

แต่อนิจจา -- หมอหลวงไม่สามารถค้นพบวิธีรักษาได้เลย

“ถ้าเช่นนั้นเราจักปรุงยาอมตะ”   หมอหลวงบอกกับตัวเองในที่สุด   “ถ้ายานี่ไม่สามารถรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ได้  เห็นทีจะเป็นชีวิตของเราที่ต้องแลกกับคมดาบ”

            ผลปรากฏว่าไพ่ใบสุดท้ายของหมอหลวงไม่สามารถยื้อชีวิตองค์ราชินีของแผ่นดินไว้ได้ -- แต่ช่วยถือกำเนิดหนึ่งชีวิตได้ก่อนราชินีจะสิ้นลม -- วันนั้น คือวันที่ “เจ้าหญิงเงา”  ได้ประสูติขึ้น

            ไม่มีใครรู้ ว่าเป็นเพราะยาอมตะที่ราชินีได้เสวย   หรือความเครียดที่สั่งสมมานานในจิตใจของพระองค์เอง ที่ทำให้เจ้าหญิงเงาตาบอดสนิท  มีใบหน้าอัปลักษณ์ คล้ายเป็นแผลไฟครอก   สัดส่วนของจมูก โหนกแก้ม กับปาก เหมือนจะใหญ่โตและบิดเบี้ยว  อีกทั้งรูปร่างเตี้ย ไม่สง่าราศี  ผิวกายลอกขุ่ยเหมือนกระดาษเปื่อย  แต่ที่ทุกคนรู้เหมือนกันก็คือ  พวกเขาล้วนแต่รังเกียจการมีตัวตนของ “เงา” นี้

พวกเขาประนามว่าเงานี้คือคำสาปของแผ่นดิน   คือความอัปยศของบ้านเมือง -- แม้แต่องค์กษัตริย์เองก็นึกอยากกำจัดธิดาองค์นี้ให้รู้แล้วรู้รอด

            ฤดูตามหาคู่เจ้าหญิงเจ้าชายในแต่ละปีได้ผ่านเข้ามา  และผ่านไป --

เจ้าหญิงต่างอาณาจักรล้วนแต่ถูกเจ้าชายมาสู่ขอในวิธีแตกต่างกันไป -- ครั้งแล้ว  ครั้งเล่า -- ยกเว้นเจ้าหญิงเงาที่ยังคงไร้คู่

            เสียงขับไล่  ความนึกคิดรังเกียจ  คำสาปแช่ง กลายเป็นความมืดในจิตใจของเจ้าหญิงเงาขึ้นทุกวัน

ผิวพระองค์หมองคล้ำลงกว่าเดิม ลอกขุ่ยกว่าเดิม  เส้นผมเริ่มหงอกและร่วงจนเกือบล้าน   นัยน์ตาที่มืดบอดยังคงไม่รู้จักแสงสว่าง  หากแต่พระองค์รู้ตัวว่าทรงมีหูที่ไม่เหมือนใครในแผ่นดิน  พระองค์ได้ยินทุกสรรพเสียง  ไม่เว้นแม้แต่เสียงรำพึงรำพันของหมู่ผีเสื้อ  พระองค์สัมผัสได้ถึงเสียงที่ถูกโลกนี้ลืมไป  ไม่ว่าจะเป็นเสียงฮัมของสายลม   เสียงร้องของสายฟ้า  หรือเสียงครวญของสายน้ำ   มันทำให้พระองค์รู้ว่าสวรรค์มิได้ทอดทิ้งพระองค์เสียทีเดียว

            เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งดีสิ่งเดียวที่พระองค์มีไว้ครอบครอง สูญสลายไปตามความหดหู่ที่ทุกคนทำแก่พระองค์  พระองค์จึงตัดสินใจเอ่ยกับพระราชบิดาในที่สุด

“โปรดส่งหม่อมฉันไปในที่ที่พระองค์ต้องการ  กำจัดหม่อมฉันด้วยวิธีที่พระองค์จักพอพระทัย  จะเป็นสถานที่เวิ้งว้างเช่นทะเลทราย  หรือจะดำดิ่งสู่ห้วงลึกของท้องทะเล หม่อมฉันก็มิขัดแต่อย่างใด”

            แต่สถานที่ที่พระองค์ถูกส่งไปนั้น   ไม่ใช่ทะเลทรายหรือมหาสมุทร  หากแต่เป็น หอคอยในป่าลึก



วันเวลาล่วงเลยผ่านไป  จากฤดูหนาว สู่ฤดูใบไม้ผลิ  จากฤดูใบไม้ผลิ สู่ฤดูใบไม้ร่วง --

สายลม ได้ช่วยนำพาเสียงแห่งธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเจ้าหญิงเงา ผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในหอคอย -- คอยนำเรื่องความงามบนโลกมาเล่า  ให้พระองค์สามารถเห็นภาพท้องฟ้า  หยดน้ำ  และเม็ดทราย   คอยกระซิบบอกให้พระองค์สู้หายใจต่อไปเพื่อวันรุ่งขึ้น   คอยเฝ้าดูแลไม่ให้เจ้าหญิงตรอมใจตายไปเพราะความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย  นานวันเข้า เจ้าหญิงก็สามารถเห็นความงามของสรรพสิ่งผ่านเสียงที่ได้ยิน

            เจ้าหญิงผู้อัปลักษณ์จึงตัดสินใจในเช้าวันหนึ่ง   ลุกขึ้นจับกระดาษและดินสอ   วาดรูปเรื่องราวที่พระองค์เห็นในโลกที่มืดมิดนับแต่ประสูติ   พระองค์ฟังเสียงดินสอที่เสียดสีกับกระดาษอย่างตั้งใจ  เพื่อที่ว่าจะไม่วาดพลาด  พระองค์ใช้ใจกำหนดเรื่องราวบนแผ่นกระดาษอย่างค่อยเป็นค่อยไป   บรรจงสร้างสรรค์เรื่องราวให้ค่อยๆถือกำเนิดขึ้น

            “ฉันควรจะวาดให้ตนเองมีผมนุ่มยาวเช่นเจ้าหญิงทั่วไป  แต่ละเส้นเป็นสีทองคำสุกปลั่งเช่นที่ฉันได้ยินมาจากคำชื่นชมของสาวใช้   ฉันนั้นคือหญิงงามเกินจะพรรณา  ก็ทำไมเล่า ในเมื่อ ตาของฉันเป็นสีฟ้าสดเหมือนท้องฟ้ายามฤดูร้อน   สีปากฉันแดงดั่งกลีบกุหลาบ  ผิวกายฉันขาวดุจหิมะยามฤดูหนาว   รูปร่างฉันต้องตาต้องใจใครต่อใครเป็นแน่แท้  ขาฉันเรียวยาว  ช่วยเสริมให้ฉันดูดีมีราศี สง่าเสียจนใครต่อใครเป็นต้องเหลียวมองตาม  เสื้อผ้านั้นเล่า  ต้องแต่งด้วยชุดราตรีหรูหรา  ตัดเย็บด้วยฝีมือนางฟ้า  มีรองเท้าแก้วระยิบระยับที่เจ้าชายเป็นผู้สวมให้   ฉันคงสามารถหาคู่ครองเป็นเจ้าชายผู้งดงาม ฉันคงสามารถมีความสุข -- -- ”

            มาถึงตรงนี้   เจ้าหญิงเงาก็หยุดวาด   พระองค์รู้ว่ารูปสวยงามเหล่านั้น  ไม่ใช่แม้แต่เงาสะท้อนของพระองค์  พระองค์ไม่ใช่หญิงงาม  ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครต่อใคร   ตลอดชีวิตที่ผ่านมาพระองค์ถูกกระทำเช่น “เงา”   ถูกมองข้ามและเพิกเฉย  ไม่เคยได้รับความสนใจใดๆ  สิ่งใดที่เจ้าหญิงพึงมี  พระองค์ไม่เคยมีโอกาสจับต้อง  พระองค์เรียนรู้ความโหดร้ายผ่านการกระทำของผู้อื่นตลอดมา  เพราะเช่นนั้น  ถ้ามีเรื่องจะต้องบันทึกไว้  ก็ควรจะเป็นส่วนที่เป็น “ความจริง” ของพระองค์  และพระองค์ต้องลงมือทำมันเอง

            นับจากวันนั้น  หอคอยที่เคยว่างเปล่า  มีเพียงกองกระดาษ  ดินสอ ปากกาขนนก และขวดน้ำหมึก ก็ได้ถูกเติมเต็มเปลี่ยนแปลง เป็นกองกระดาษที่ถูกแต่งแต้มเป็นเรื่องราว

มันเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น --

เจ้าหญิงเงายังทรงมุ่งมานะสร้างผลงานผ่านกระดาษต่อไป -- ทรงลืมวันลืมคืน   ลืมความร้อนและความเหน็บหนาว  ลืมความรู้สึกหิวกระหาย และความง่วง -- พระองค์ยินยอมให้กาลเวลาครอบงำพระองค์ตามที่ต้องการ  ทรงไม่หวั่นว่าจะถูกฝังอยู่ภายใต้กองกระดาษ   ตราบใดที่พระองค์ยังคงสามารถทรงงานจนบรรลุเป็นผลสำเร็จได้

แต่สำหรับโลกภายนอก   ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป  ไม่มีใครยินดียินร้ายกับการหายตัวไปของเจ้าหญิงเงา

จากวันนี้ กลายเป็นพรุ่งนี้  และอดีตก็ถูกลืมอย่างง่ายดาย -- ง่ายเสียจนใครต่อใครก็ลืมไปแล้ว ว่าเคยมีเจ้าหญิงเงาผู้ถูกพวกเขาขับไล่มาก่อน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่