แถลงการณ์ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ หยุด ลิดรอนสิทธิ เสรีภาพ

กระทู้ข่าว
http://www.thairath.co.th/content/398146


แถลงการณ์ 4 องค์กรวิชาชีพสื่อ เรียกร้องหยุด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลิดรอนสิทธิ เสรีภาพสื่อ...

การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) โดยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อ้างเหตุการชุมนุมที่เกินขอบเขต ก่อความรุนแรงโดยกลุ่มผู้ที่ไม่ประสงค์ดี จนประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต อีกทั้งการเสนอข้อมูลข่าวสารในสื่อต่างๆ ในทางที่ยุยง บิดเบือน สร้างความแตกแยก ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ นับเป็นการส่งสัญญาณที่รัฐบาลอาจออกข้อกำหนดในลักษณะที่เป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชน เช่น การห้ามนำเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือข้ออ้างว่า สื่อฯ มีเจตนาบิดเบือนข้อมูล ข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 4 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มีความเห็นร่วมกันว่า การใช้อำนาจเช่นนี้ ยิ่งจะสร้างความขัดแย้งให้สังคมมากขึ้น และอาจนำไปสู่การลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง

เมื่อเหตุที่รัฐบาลอ้างในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังมีข้อโต้แย้ง ยังมีข้อสงสัยว่า เป็น "สถานการณ์ที่มีความร้ายแรงอย่างยิ่ง" หรือไม่ ข้ออ้างดังกล่าวจึงยังไม่เพียงพอที่รัฐบาลจะอาศัยเป็นข้อยกเว้นในการจำกัดเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 ที่ให้การรับรองว่า "บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่น เพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรานี้ จะกระทำมิได้ การให้นำข่าวหรือบทความไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่น จะกระทำมิได้"

ดังนั้น การดำเนินการใดๆ ของรัฐบาล ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พึงต้องระมัดระวังมิให้ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน แต่ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนก็ต้องระมัดระวังในการใช้เสรีภาพภายในขอบเขตความรับผิดชอบด้วย

รัฐบาลอ้างเหตุการทำหน้าที่ของสื่อที่อาจสร้างความแตกแยก ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขยายความถึงความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อำนาจแบบครอบจักรวาลเช่นนี้ หากผู้ใช้อำนาจไม่มีความเที่ยงธรรม หรือใช้อำนาจโดยไม่สุจริต ใช้อำนาจโดยเลือกปฏิบัติแล้ว ก็จะก่อให้เกิดการรับรู้ข้อมูล ข่าวสารแต่เพียงด้านเดียว เป็นการปิดหูปิดตาประชาชน โดยอาศัยกฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือจัดการสื่อที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติเท่านั้น

โดยเฉพาะสื่อของรัฐ ที่รัฐบาลได้ใช้เป็นสื่อในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง พูดข้างเดียวโดยไม่เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันให้กับฝ่ายอื่นๆ ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสื่อของรัฐ หรือเอกชน ประเด็นสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางของบ้านเมือง ความอ่อนไหวในเรื่องของอารมณ์ และความรู้สึกของประชาชนทุกฝ่ายในขณะนี้ คือ การถ่ายทอดวาทกรรม การกระทำซ้ำ ที่สร้างและสั่งสมความเกลียดชัง หรือ hate speech ที่แม้มิได้ส่งผลกระทบในทันที แต่ในระยะเวลาหนึ่งจะนำมาสู่ความโกรธแค้น และลงมือกระทำต่ออีกฝ่ายหนึ่งด้วยความรุนแรงในที่สุด

เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลได้ใช้ความละเอียด รอบคอบในการตราข้อกำหนดใดๆ ในลักษณะที่จะเป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของสื่อและประชาชน รัฐบาลพึงต้องตระหนักว่า เสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจึงมิอาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในทุกกรณี ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องใส่ใจในบทบาท การแถลง หรือเผยแพร่ข้อมูลใดๆ จากรัฐบาลหรือหน่วยงานในกำกับ จะต้องไม่บิดเบือน ยั่วยุ สร้างความโกรธแค้น ไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชน ผู้ชุมนุมก็ไม่ควรกระทำการยั่วยุ หรือสุ่มเสี่ยงให้เกิดการเผชิญหน้า เช่นเดียวกับสื่อมวลชนทุกแขนงก็ต้องระวังไม่รายงานข่าวที่กระตุ้นให้เกิดความเกลียดชัง ต้องรับผิดชอบ และช่วยสร้างสังคมให้มีสติ ร่วมกันหาทางออกจากปัญหาความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง



สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ

วันที่ 22 มกราคม 2557



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่