เรื่องเต็มเล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 14/1 วันอังคารที่ 20/05/2557




  นาฬิกาหน้าห้องผ่าตัดชี้บอกเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว บิวตี้นั่งนิ่งซึมเซาอยู่มุมหนึ่ง ใบหน้าสวยและเสื้อยังมีรอยเลอะเลือดของศรีนวลให้เห็น ส้มเช้ง ฝรั่ง องุ่น นั่งจับกลุ่มกัน ท่าทีกระวนกระวาย รอฟังข่าวศรีนวล
      
       “ทำไมแม่ไม่ออกมาซะทีล่ะพี่ส้มเช้ง” องุ่นร้องไห้ “แม่จะตายมั้ย”
       ส้มเช้งกอดปลอบน้อง “อย่าพูดอย่างงั้นสิองุ่น”
       ฝรั่งลูบหลังทั้งพี่และน้อง “แม่ไม่เป็นไรหรอก หมอกำลังเย็บแผลให้ เดี๋ยวแม่ก็หาย” พลางชี้แผลที่ขา “เนี่ย ดูซิ พี่รถคว่ำตั้งหลายครั้งยังไม่เป็นไรเลย”
       บิวตี้มองดูพี่น้องต่างปลอบโยนกันอย่างรักใคร่ ดูอบอุ่น ยิ่งรู้สึกว้าเหว่ ชีวิตนี้ไม่มีใครเลย บิวตี้น้ำตารื้นขึ้นมาอีก
      
       ณ สรวงสวรรค์ นางฟ้าลลิตาเพ่งมองดูบิวตี้จากจอภาพด้วยความเป็นห่วง
       “ลัลน์ลลิตไม่เคยซึมเศร้าเช่นนี้เลย”
       “นางคงสำนึกผิด” องค์เทวีกล่าว
       “แต่ลัลน์ลลิตไม่ได้เป็นคนทำมีดบาดมือมนุษย์นางนั้นนี่คะเทวี”
       “แต่เธอเป็นต้นเหตุ”
       “เช่นนั้นลัลน์ลลิตจะถูกตัดคะแนนหรือไม่” นางฟ้าลลิตาตกใจ รีบดูมาตรวัดความดี
       มาตรวัดนิ่งเฉยอยู่ แล้วค่อยๆ เกิดแสงสีทองแพรวพราวขึ้นมาหลายขีดแต่ยังไม่ถึงครึ่ง
       นางฟ้าลลิตาตื่นเต้นคาดไม่ถึง “ได้คะแนนเพิ่ม”
       ปรมะเทวีเพ่งพิจารณาดูที่มาตรวัด “นางคิดถึงคนอื่นจนลืมนึกถึงตนเอง”
       นางฟ้าลลิตาดีใจ “จริงด้วยสิ ลัลน์ลลิตไม่ห่วงแม้กระทั่งความงาม ติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
       ปรมะเทวีบอกกับบิวตี้ในจอภาพ “ทำต่อไป ลัลน์ลลิต วางตัวเองลงแล้วนึกถึงผู้อื่น เช่นนี้ต่อไปเถิด” พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ
      
       บ่ายเกือบเย็น
       บิวตี้มองส้มเช้ง ฝรั่ง และองุ่น ตาละห้อย นึกอิจฉาความรักความอบอุ่นที่ครอบครัวนี้มีให้กัน ธีภพเข้ามาทางด้านหลัง
       บิวตี้เบือนหน้าหนีจากภาพของสามพี่น้อง มาเห็นธีภพมาดีใจ “พี่ธี”
       ธีภพไม่ทันได้มองบิวตี้เพราะร้อนใจ ห่วงลูกๆ และ ศรีนวล จึงเดินผ่านบิวตี้ไปโดยไม่ทันสังเกต บิวตี้ยืนเก้อ น้อยใจ ธีภพทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ
       ส้มเช้งเห็นธีภพ “ท่านประธาน” รีบไหว้ และบอกน้องๆ “เจ้านายของพี่กับแม่ ไหว้ซะ”
       องุ่น ไหว้ ฝรั่งยังข้องใจไม่ยอมไหว้ พูดยวน
       “เห็นแม่ผมเป็นแค่คนงานในโรงงาน ใช่ไหมถึงได้เพิ่งมา”
       ส้มเช้งเอ็ด “เฮ้ย หรั่ง พูดอย่างงั้นกับท่านประธานได้ไง”
       ธีภพไม่ถือสา “ไม่เป็นไร ผมตรวจงานอยู่ที่ลาดหลุมแก้ว พอรู้ข่าวก็รีบมาเลย”
       “แล้วค่ารักษาแม่ผมจะว่าไง”
       ส้มเช้งดุ “ไอ้หรั่ง”
       ธีภพบอก “ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ถามตรงๆ ค่ารักษาพยาบาล บริษัทจะรับผิดชอบทั้งหมด”
       “ค่อยยังชั่วหน่อย เรามันคนจน” ฝรั่งว่า
       “ขอบคุณท่านประธานค่ะ” ส้มเช้งไหว้ แล้วดึงฝรั่ง และองุ่น ให้ไหว้ตาม
      
       บิวตี้ยืนเคว้งคว้างไม่มีใครใส่ใจ จังหวะนี้หมอออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี
       ส้มเช้งปราดเข้าไปถาม ท่าทีร้อนใจ “แม่เป็นไงบ้างคะหมอ”
       “การผ่าตัดเรียบร้อยดีคนไข้ปลอดภัยครับ ตอนนี้อยู่ในห้องพักฟื้น”
       บิวตี้ฟังแล้วโล่งใจ แต่ก็ยังรู้สึกผิด มองมือตัวเองที่เปื้อนเลือดศรีนวล ด้วยความเสียใจ
       ธีภพมองบิวตี้ด้วยสายตาตำหนิ ว่าทำไมไม่ล้างมือ แต่บิวตี้มองประสานสายตากับธีภพ เห็นแววตาตำหนิ กลับเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องที่ทำศรีนวลเจ็บ น้ำตาคลอ เวลานี้หล่อนต้องการกำลังใจจากใครสักคน
       ส้มเช้งถามเจือเสียงสะอื้นไห้ “แม่...ต้องตัดมือ...มั้ยคะหมอ”
       ธีภพเบือนหน้าจากบิวตี้มาฟังคำตอบหมอ เลยดูคล้ายเมินหน้าหนีไม่อยากมองหน้าบิวตี้
       องุ่นขวัญเสียร้องไห้อีก “แม่จ๋า”
       ธีภพปลอบองุ่น “ไม่ต้องร้อง หมอไม่ได้ตัดมือแม่หนูหรอก ใช่ไหมครับหมอ”
       “ไม่ตัดครับ แต่ต้องใส่เฝือกไว้ระยะหนึ่ง เพื่อให้เส้นเอ็น และแผล สมานติดกัน”
       ส้มเช้งดีใจยิ้มทั้งน้ำตา กอดกับองุ่น และฝรั่ง “แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว ฮือๆ”
       ธีภพบอกกับหมอ “ผมจะขอเป็นเจ้าของไข้รายนี้ครับ”
       “เชิญติดต่อที่เคาน์เตอร์เลย” หมอบอกธีภพ
       ธีภพปล่อยให้พี่น้องปลอบใจกัน ตัวเองเดินตรงไปติดต่อที่เคาน์เตอร์พยาบาล บิวตี้รู้สึกเจ็บปวดสุดทน น้ำตาเอ่อท้นขึ้นมาอีก ตัดสินใจเดินหนีไปจากตรงนั้น
      
       ที่ห้องทำงานฝ่ายขาย พักตร์พิมลทำเป็นสนใจทำงาน แต่ครุ่นคิดกังวล ภาพเหตุการณ์ตอนที่ศรีนวลถูกเครื่องตัดบาดมือยังฝังใจ
       “คนอย่างฉันไม่มีวันโดนหลอก อย่าเอาสมองของฉันไปเทียบกับสมองเล็กๆ ของเธอ”
       “นี่เธอว่าฉันโง่เหรอ”
       “ก็แล้วแต่ว่าสมองเล็กๆ ของเธอจะแปลความหมายออกมาได้รึเปล่า”
       พักตร์พิมลปรี๊ด “มันจะมากไปแล้วนะ” ทุบโต๊ะเปรี้ยง
       เครื่องตัดในมือศรีนวล กระเด้งด้วยแรงสะเทือน เลือดสาดกระเด็นมาโดนหน้าและตัวบิวตี้
       พักตร์พิมลดึงตัวกลับมายังปัจจุบัน กระตั้วเปิดประตูเข้ามาเสียงดัง พักตร์พิมลสะดุ้งสุดตัว ดุกระตั้ว
       “เปิดประตูค่อยๆ หน่อยได้ไหม หัดมีมรรยาทซะบ้าง”
       “อุ๊ย ขอโทษค่ะ” เห็นท่าทีพักตร์พิมลกังวลใจ “กระตั้วแค่จะมาถามว่าคุณแพ็ตจะไปเยี่ยมป้าศรีนวลไหมคะ
       พักตร์พิมลหงุดหงิด “ทำไมต้องไปด้วย ฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย”
       “นั่นสิคะ เราไม่เกี่ยว ไม่ไปดีกว่า”
       “ปี เอาคลิปที่ถ่ายในห้องตัดมาดูอีกทีซิ”
       ปีวราเอาคลิปให้พักตร์พิมลดู พบว่าในมุมที่ปีวราถ่าย เห็นแต่ข้างหลังศรีนวล จึงไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
       “คุณแพ็ตไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย ตั้วเป็นพยานได้ค่ะ แล้วเราก็ เรามีหลักฐานยืนยัน” กระตั้วปลอบ
       “ปีวรา เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม” พักตร์พิมลกำชับ
       ปีวรากลัวลนลานใหญ่ “ถึงให้พูดปีก็พูดไม่ได้ค่ะ เพราะตอนถ่ายคลิป ปีไม่เห็นอะไรเลยค่ะ”
       พักตร์พิมลพยักหน้าอย่างพอใจ ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
      
       บิวตี้เดินมาเพียงลำพังตามทางเดินโล่งๆ ในโรงพยาบาล รู้สึกว้าเหว่และหดหู่ ตรงทางเดินมีเก้าอี้ตั้งอยู่ บิวตี้ทรุดตัวลงนั่ง ไหล่งอ ก้มหน้า มองมือที่ยังมีรอยเลือดกระเด็นหลงเหลืออยู่ น้ำตาของบิวตี้ หยดรินลงตรงรอยเลือดนั้น
       บิวตี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
       มือธีภพยื่นผ้าขนหนูของโรงพยาบาล ที่ชุบน้ำหมาดๆ ส่งให้
       “มือยังเลอะอยู่เลย เช็ดซะ”
       บิวตี้เงยหน้าขึ้นเห็นธีภพ
       “ผ้าสะอาด ผมขอมาจากพยาบาล”
       “ขอบคุณค่ะ” บิวตี้ใช้ผ้าขนหนู เช็ดมือตัวเองช้าๆ ท่าทีหงอยๆ ซึมๆ
       ธีภพลอบมองหน้าเศร้าของบิวตี้ ให้นึกสงสาร “ผมให้ฝ่ายบุคคลจัดการตามที่คุณขอแล้วนะ บริษัทจะออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาทของป้าเอง ที่ไม่ใส่ถุงมือป้องกัน”
       บิวตี้ไม่เห็นด้วย เล่าด้วยความโกรธ เช็ดมือแรงๆ “ยัยแพ็ตมาหาเรื่องจนฉันตัดผ้าผิด ป้าศรีนวลก็ช่วยแก้ ยัยแพ็ตก็ยังไม่ยอมเลิก ฉันทนไม่ไหวเลยว่าเขากลับไปมั่ง”
       “คงไม่ได้ว่าเฉยๆ หรอก” ธีภพย้อนแย้ง
       บิวตี้ฉุนขึ้นเสียง “ก็ได้ ฉันว่าเขาแรงๆ เขาเลยโกรธแล้วก็ตบที่แท่นตัด ป้าศรีนวลคงตกใจก็เลย...” พูดแล้วนึกสะเทือนใจจนเสียงสั่น ภาพสยองยังติดตา มองธีภพ สีหน้าทุกข์ ตรม
       “พอกันทั้งคู่” ธีภพว่า
       บิวตี้น้ำตาคลอ “ถ้าฉันเชื่อป้านวล ไม่ใส่ใจคำพูดของยัยแพ็ต ป้าก็คงไม่เจ็บตัว”
       “แพ็ตมาหาเรื่องก่อน แน่หรือ” ธีภพถามพลางมองบิวตี้อย่างไม่แน่ใจ ราวกับจะค้นหาความจริง
       บิวตี้นึกน้อยใจ “ไม่เชื่อที่ฉันพูดละสิ” แล้วเปลี่ยนกิริยาเป็นยิ้มหยัน น้ำเสียงห้วน “ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่เคยเชื่อในตัวฉันเลย ฉันพูดอะไร ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด สำหรับคุณแล้วฉันคงเป็นมารร้ายเลยใช่ไหม”
       บิวตี้มองจ้องธีภพอย่างน้อยใจ ธีภพจ้องตอบ ไม่พูดอะไร
       บิวตี้กลับคิดว่าการที่ธีภพเงียบเพราะยอมรับ น้ำตาคลอขึ้นมาอีกหน อยากลุกหนีแต่สับสนอ่อนล้า ได้แต่เบือนหน้าหนี กลบเกลื่อนอาการด้วยการเช็ดนิ้วแรงๆ ทีละนิ้ว
       ธีภพทอดเสียงอ่อนโยน “เช็ดไม่หมดหรอก ยังเลอะอยู่เลย มา...เช็ดให้”
       แล้วดึงผ้าไปจากมือ เช็ดรอยเลือดที่หน้าบิวตี้
       ธีภพจับบิวตี้ไว้ให้ตรง เอาผ้าสะอาดเช็ดหน้าให้ อย่างอ่อนโยนละมุนละไม บิวตี้มองหน้าธีภพ สายตาสองคนมาประสานกันพอดี บิวตี้รู้สึกอบอุ่นหวั่นไหว
       ธีภพอ้อยอิ่งเช็ดหน้าบิวตี้อยู่ จนหยุดเช็ด ใบหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้บิวตี้จนเกือบจะสัมผัสกัน
       ธีภพเองก็รู้สึกหวั่นไหวไปกับนัยน์ตาเหงา เศร้า และโดดเดี่ยว คู่นั้น มันเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากลัลน์ลลิต
       ธีภพชะงัก ตัดใจ ถอยออกห่าง น้ำเสียงห่างเหินดังเดิม “ท่าทางคุณเหนื่อยมาก กลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่า ผมจะไปส่ง”
       บิวตี้หมางเมินพอกัน “ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้” บิวตี้ลุกขึ้นอย่างเร็ว แล้วหน้ามืดจนซวนเซ
       “ระวัง” ธีภพประคองกอดบิวตี้ไว้ทัน
      
       บิวตี้อบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก เสียงโทรศัพท์ดัง ทำลายห้วงเวลาอันแสนหวานของสองคน
เป็นธนาซึ่งยังอยู่ในร้านอาหารกับครอบครัวอรวิภา ที่โทร.หาธีภพ
      
       “ธี พ่อกับแม่อยู่ที่ร้านกับหนูอรแล้วนะ ที่โรงพยาบาลเป็นยังไงบ้าง”
       “ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วครับ คนไข้อยู่ในห้องพักฟื้น”
       “พรุ่งนี้พ่อจะไปเยี่ยม แล้วบิวตี้ล่ะเป็นยังไงบ้าง ธีช่วยดูแลด้วยนะแกคงตกใจมาก”
       “ครับ บิวตี้อยู่กับผมตรงนี้ กำลังจะพาไปส่งบ้าน”
       บิวตี้แอบตั้งใจฟัง เมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง
       ภาวินีพูดแทรกเข้ามาในสาย “ธี รีบๆ หน่อยนะ อย่าให้น้องอรเขารอนาน”
       “ได้ครับ” ธีภพพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝากพ่อกับแม่ช่วยขอโทษน้องอรด้วยนะครับ พอดีมันฉุกเฉินจริงๆ ผมจะรีบไปนะครับ”
       บิวตี้หน้าสลดเมื่อได้ยินธีภพพูดว่าจะไปหาอรวิภา จึงเดินหนีจากตรงนั้น
       ธีภพเห็นบิวตี้เดินหนี รีบวางสาย “เดี๋ยวเจอกันครับ”
       ธีภพรีบเดินตามพลางร้องถาม “บิวตี้ จะไปไหน”
       “กลับบ้าน”
       “ก็บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง”
       บิวตี้หันกลับมา ปรับวีหน้าหม่นเป็นยิ้มแย้ม พูดดีๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันกลับเองได้ อย่าปล่อยให้คุณน้องอรเค้ารอเลย รีบไปหาเค้าซะเถอะ บ๊ายบาย Have fun” พยายามทำร่าเริงไม่ใส่ใจ แต่สายตาเศร้า และเดียวดาย รีบจ้ำเดินหนี ไปที่ลิฟท์
       “เดี๋ยว บิวตี้...” ธีภพก้าวตาม
       ลิฟท์มาพอดี บิวตี้เข้าไปในลิฟท์คนเดียว ลิฟท์ปิดลง เห็นหน้าธีภพที่ค่อยๆ หายไปพร้อมกับประตูลิฟท์ปิดสนิท
      
       บิวตี้ทั้งเสียใจ น้อยใจ ว้าวุ่น สับสนไปหมด ยืนหลับตาพิงผนังลิฟท์อย่างท้อแท้ ความเจ็บปวดอาการก่อนแปลงร่างแผ่ซ่านไปทั่วทุกรูขุมขน
       บิวตี้ลืมตาขึ้นอย่างตกใจ “ลืมได้ยังไง ไม่นะ ทำไมต้องมาเกิดตอนนี้ด้วย”
       บิวตี้มือสั่นรีบกดลิฟท์ชั้นใกล้ที่สุด ความเจ็บปวดทบทวีขึ้น
       ประตูลิฟท์เปิด บิวตี้วิ่งโซเซจากลิฟท์ ไปตามทางเดินหน้าห้องผู้ป่วย มองเห็นป้ายสัญลักษณ์ห้องน้ำ บิวตี้ใกล้แปลงกายเต็มที่ พยายามลากขาไปให้ถึงห้องน้ำ
       บิวตี้รวบรวมพลังผลักประตูเข้าไปด้วยแรงมนุษย์ เฮือกสุดท้าย พร้อมๆ กับสายฝนที่โปรยลงมา โดยไม่มีเค้ามาก่อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่