สิงห์+ชล ตอนที่ 12
“แม่”
ชลนาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะรีบวิ่งลงจากรถ ใช้มือทั้งสองจับมือของผู้เป็นมารดาไว้แน่น ก่อนจะสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกที่สุมอยู่มากมาย ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีประดังเข้ามาก่อนเป็นอันดับแรก เธอทำตามใจตัวเองไปแล้ว กลัวท่านเสียใจและผิดหวัง ก็กลัว แม้จะทำใจกล้าบินหนีออกมาจากรัง แต่ในใจของผู้เป็นลูกก็ยังกังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..เพราะการเป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องคนเล็กของบ้าน ทำให้เธอถูกทุ่มเทความรักมาให้จนเต็ม เธอไม่เคยรู้สึกขาด เพราะฉะนั้น การที่เธอตัดสินใจหนีออกจากบ้าน..ใครจะรู้เล่า ว่าเธอนั้นแสนจะรู้สึกเคว้งคว้างปานใด เหมือนเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน..ช่างอ้างว้าง เดียวดาย และกลัว เพียงเพราะอยากเอาชนะสายตาของผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดา เท่านั้นเอง…
หญิงสาวยังจำสายตานั้นได้ไม่รู้ลืม แต่เล็กจนโต ท่านมักจะมองว่าเธอเป็นเด็กเสมอ ในสายตาของท่านคงมีเพียงพี่น้ำ และพี่ภูผาพี่ชายของหล่อนเท่านั้น ที่สามารถดูแลตัวเองได้และมีท่านเฝ้ามองอยู่ด้วยสายตาชื่นชม ส่วนเธอ…เธอคือลูกสาวที่ไม่เคยจะได้รับความไว้วางใจสักครั้ง โดยเฉพาะด้านการใช้ชีวิต นั่นคงเป็นสาเหตุที่ท่านคิดจะคลุมถุงชนเธอ มันยิ่งเป็นการตอกย้ำ ว่าลูกสาวคนนี้ ไม่เคยได้รับการยอมรับจากท่านเลย
“แม่…น้องขอโทษ”
ชลนากระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นไม่แพ้ผู้เป็นแม่ เธอไม่อยากจะปล่อย.. ไม่อยากจะให้ผู้เป็นแม่เห็นน้ำตาของเธอ แล้วมีความคิดว่าเธอเป็นเด็กอย่างไรก็อย่างนั้น.. แต่คนบ่อน้ำตาตื้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แถมยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ผู้เป็นแม่ได้ยินอีกด้วย..
เพียงได้ยินเสียงร้องให้ของลูก ก็เหมือนกับมีคนถือมีดมากรีดกลางใจของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาอย่างทะนุถนอมทั้งชีวิต จึงมีร่างกายที่กำลังสั่นเทาไม่แพ้กัน
ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ลูกสาวคนเล็กคนนี้ร้องให้แล้วผู้เป็นแม่จะไม่ร้องตาม เพราะวันใดที่ลูกเจ็บ ผู้ที่เจ็บกว่านั้นคือแม่..แม่ที่เฝ้าดูลูกให้เติบใหญ่ด้วยความรักทั้งหมดที่มีและพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างเพื่อให้ลูกไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
“แม่โกรธน้องหรือเปล่า”
“แม่ไม่โกรธ แม่เข้าใจน้อง แต่แม่แค่เป็นห่วง ชลออกจากบ้านไปปุบปับแบบนั้น หัวใจแม่จะวาย”
“น้องไม่ได้ตั้งใจ น้องขอโทษ แม่รู้ไหมคะว่าน้องคิดถึงแม่ที่สุดเลย”ชลนาผละออกมาบอกมารดา ก่อนจะสวมกอดท่านอีกครั้ง ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พร้อมกับสูดจมูกฟุดฟิดไปด้วยเพราะน้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างคนมีอารมณ์อ่อนไหว บวกกับความคิดถึงมารดาเป็นที่สุด
“แม่ก็คิดถึงน้อง นี่ถ้าไม่ได้พ่อสิงห์คอยรายงานข่าวคราว แม่คงจะแย่” เมื่อปลอบประโลมกันจนสบายใจขึ้นแล้ว ผู้เป็นแม่ก็หันไปมองคนที่ตัวเองเลือกให้ลูกสาวด้วยสีหน้าภูมิใจ ส่วนผู้เป็นลูกก็เพิ่งจะนึกได้ว่าไม่ได้อยู่กับมารดาสองคน
“น้องชล นี่ แม่ของพ่อสิงห์ เป็นเพื่อนสนิทของแม่ เรียกว่า แม่กานดา สิ” ผู้เป็นแม่แนะนำให้เสร็จสรรพ ออกแนวมัดมือชกลูกสาวนิดๆ แต่ยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า ชลนารีบยกมือไว้ผู้ใหญ่ที่ดูน่าเคารพนับถือและใจดีตรงหน้าทันที
ส่วน ‘’แม่กานดา’’ ที่ชลนาต้องเรียก ก็รีบรับไหว้ลูกสาวของเพื่อนรักด้วยรอยยิ้มที่เจือแววเอ็นดู ส่วนลูกชายน่ะหรือ…ยิ้มเตรียมไว้ก่อนแล้วเมื่อเห็นสายตาของมารดาตน รู้ว่าแม่ของเขารู้ใจเขามากที่สุด..
“ไหว้พระเถอะลูก..อ้อ สิงห์ นี่แม่ของลูกชล สิงห์คงรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว เรียกแม่วดีสิลูก” ฝ่ายลูกชายก็รู้งาน ก้มลงไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
“แม่เดินทางเหนื่อยไหมครับ”
“โถ พ่อคุณ แม่ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ ก็ลูกส่งคนไปรับแม่ตั้งแต่แม่แยกกับพ่อของน้องชลที่สนามบิน แม่เลยนั่งสบายมาตลอดทาง” กานดา ตอบลูกชายของเพื่อนอย่างรักใคร่และเอ็นดูชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เด็กๆมากขึ้น ยิ่งมองก็คิดว่าตัวเองช่างตาถึงและคิดไม่ผิด
“ที่เหนื่อยน่ะ เห็นจะเป็นลูกชล ดูสิ ตัวก็บอบบางนิดเดียว จะมีแรงแค่ไหนเชียว เพลียแย่เลยสิลูก ไปๆ แม่ๆเตรียมข้าวปลาไว้ให้หนูแล้ว มีทั้งของโปรดของลูกสาว ของโปรดของลูกชาย ใช่ไหมแม่วดี”
แม่ของฝ่ายชายหันมาหาลูกคู่ แม่ของฝ่ายหญิงก็รีบเป็นลูกรับอย่างดี
“จ้ะ ไปลูก ไปกินข้าวกันได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นหมด ดูสิ พ่อสิงห์ขับรถมาเหนื่อยๆ..เอ ฉันว่าให้ลูกๆไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนดีกว่า”
“จริงสิ ฉันตื่นเต้นเจอหน้าลูกก็ลืมไป..ถ้าอย่างนั้นให้ลูกไปอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว ส่วนเราสองคน ก็ไปอุ่นกับข้าวรอ แหม..วดีฉันไม่มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว”
แล้วแม่ๆทั้งสองต่างก็เดินคุยหัวร่อต่อกระซิกนำหน้าไป ปล่อยให้สองหนุ่มสาวเดินตามอย่างตั้งตัวไม่ค่อยทันกับพวกท่าน
แต่เสียงหัวเราะที่เกิดจากแม่ของตัวเองและแม่ของสิงห์ที่ได้ยิน ก็ทำให้ชลนามีความสุขอย่างประหลาดและรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวอีกครั้ง ทางด้านสิงห์ก็เดินตามหญิงสาวมาเงียบ ไม่พูดอะไร แต่มือปลาหมึกก็ยังไม่สิ้นลาย แกว่งไปมาจนชนกับมือของเธอเข้าอย่างตั้งใจ ทว่า ก่อนจะได้จับมือนาง ผู้สูงวัยทั้งสองต่างก็หันมาเสียก่อน ทำให้มือที่กำลังจะยื่นถึงอีกฝ่าย ต้องชักกลับอย่างเกรงใจ
“นี่ชลไปอาบน้ำห้องแม่”
“ส่วนสิงห์ก็ไปอาบน้ำห้องสิงห์”
บรรดาแม่ๆชี้ไปคนละทาง
“แต่…ชลไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยค่ะ” หญิงสาวหมายความถึงของใช้ส่วนตัวนั่นเอง
“ชลอยากใส่เสื้อของแม่ไหมล่ะลูก” ผู้เป็นแม่กระเซ้า แต่ลูกสาวรีบสั่นหน้า ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ นึกถึงตอนเด็กๆที่แอบเอาเสื้อของท่านไปใส่แล้วดูตลกพิกล
“น้องรักแม่นะ แต่น้องไม่ชอบใส่เสื้อแบบของแม่แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่อยากจะใส่เสื้อของแม่ด้วย…แหม งั้นใส่ของสิงห์ก็แล้วกันนะลูก น่าจะพอใส่ได้ คนวัยหนุ่มสาวก็ต้องคู่กับคนวัยเดียวกัน ส่วนเราสองคน..แก่แล้วก็ต้องจับคู่กันไปเตรียมกับข้าวให้ลูก ไปกันเถอะวดี” กานดาแตะแขนเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะหันไปทางลูกชายคนเดียว
“แม่ฝากดูแลลูกชลด้วยนะตาสิงห์ อย่าขาด อย่าเกิน”
ประโยคหลังตั้งใจจะสอนลูกชายโดยรู้กัน ว่าไม่ควรจะทำอะไรที่เสื่อมเสียต่อฝ่ายหญิง
สิงห์ตอบรับอย่างเข้าใจ แม่ทั้งสองจึงได้พยักหน้ากันคนละทีแล้วเดินลงไปเตรียมอาหารด้วยกัน เวลานี้จึงเหลือเพียงสองหนุ่มสาว
“รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวนะ ผมจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้”
ว่าแล้วก็เดินไปอีกทาง ปล่อยให้ชลนายืนรออยู่เพียงสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับเสื้อยืดผู้หญิงใหม่เอี่ยมกับกางเกงขายาว แล้วยื่นให้หญิงสาว ชลนารับมาดูก็เห็นว่าใส่ได้กำลังดี
“เสื้อผู้หญิง”
สายตาคมเงยขึ้นไปมองคนสูงกว่า
“เสื้อนี่เขาแจก ผมได้มาผิดไซส์ เก็บไว้นานแล้วไม่เคยใส่เลย ถ้าไม่เชื่อก็ดูข้างหลังเสื้อสิ มีสโลแกนอยู่”
ชลนมองหน้าเขาก่อนจะพูดโดย ไม่คิดจะดูว่ามีตามที่เขาว่าหรือเปล่า
“ไม่ได้ถาม”
ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องฝั่งของตัวเองอย่างไม่คิดรอดูปฏิกิริยาของคนที่จัดการอธิบายโดยไม่ต้องมีคำถาม ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง..
ก็ยืนอึ้งไปครึ่งนาทีก็เท่านั้น…
ทางด้านคนถูกอธิบาย เมื่อแสร้งทำหน้านิ่งได้ไม่นาน ก็รีบพลิกเสื้อดูสโลแกนว่ามีจริงหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีตามที่ว่า จึงได้เดินเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาไม่นานก็เดินออกมาจากห้อง แล้วเดินรี่ลงบันไดไปคนเดียวอย่างไม่คิดรอใคร
หรือบางทีเขาอาจจะลงไปก่อนเธอแล้วก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าเปอร์เซ็นที่เขาจะลงไปคนเดียวมันจะน้อยมากๆก็ตาม และเมื่อหญิงสาวเดินลงมาก็พอดีเจอกับแม่ตัวเองยืนรออยู่ใต้บันไดอยู่แล้ว
“ไปกินข้าวได้แล้วจ้ะ ดูสิให้พ่อสิงห์รอตั้งหลายนาทีแล้ว”
“คุณสิงห์ลงมาแล้วเหรอคะแม่”ถามอย่างแปลกใจ เมื่อเหตุการณ์กลับตารปัตรไม่เป็นตามที่คิดและถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่คิดรอเขาเช่นกัน แต่ใจของเธอกลับรู้สึกผิดหวังลึกๆ
“จ้ะ นี่ถ้าไม่รีบอดไม่รู้ด้วยนา เพราะพ่อสิงห์เริ่มชิมไปแล้ว เห็นติดใจใหญ่เลย” ผู้เป็นแม่ตอบยิ้มๆ มือประสานเข้ากับมือของลูกเหมือนกับที่เคยทำมาตั้งแต่ลูกสาวเล็กๆจนเติบโตเป็นสาวสะพรั่งอยู่ตอนนี้
ชลนายิ้มรับรอยยิ้มของแม่ บางที มันอาจไม่แน่นอนเสมอไป ที่เขาจะต้องสนใจเธอตลอดเวลา
ส่วนทางด้านมารดานั้น แอบชำเลืองดูสีหน้าลูกสาวที่เงียบไป ไม่บ่อยครั้งนักที่ลูกสาวคนเล็กของเธอจะเก็บเรื่องของคนอื่นมาใส่ไว้ในหัวใจ เพราะถ้าเป็นปรกตินั้น ก็คงจะมีการโวยวายแค่นิดหน่อย แล้วเลิกสนใจไม่นิ่งไปเช่นนี้..นี่อาจจะเป็นสัญญาณบางอย่าง ผู้เป็นแม่คิด
“มา ชลมานั่งตรงนี้กับแม่”วดีเรียกลูกสาวให้นั่งเมื่อเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวแล้วแต่ลูกสาวยังยืนนิ่ง
“ค่ะ”
หญิงสาวนั่งลงตามที่มารดาบอก ซึ่งเป็นที่นั่งตรงข้ามกับที่สิงห์นั่งพอดี สายตาของหล่อนมองไปยังจานกับข้าวที่วางอยู่สามสี่อย่าง หูได้ยินเสียงคนบอกให้ตักอย่างนู้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก่อนที่มันจะอื้อ ทว่ามือของเธอมันเลื่อนไปตักกับข้าวกินเรื่อยๆ ใครชวนคุยอะไร รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง เธอก็ทำเพียงตอบรับสั้นๆ และพยักหน้าเท่านั้น
ก่อนที่ชลนาจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยุ่งกับเท้าของเธอ เมื่อเหล่มองก็เห็นเท้าของเขากำลังเตะเท้าเธออยู่ จึงเสสายตาขึ้นมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังบุ้ยใบ้ไปทางแม่ของเขาที่กำลังมองหน้าเธออยู่เช่นกัน
“กับข้าวฝีมือแม่เป็นยังไงมั่งลูก”
“อร่อยมากเลยค่ะ คุณป้า” ชลนายิ้มจริงใจไปให้ แถมสรรพนามที่ใช้เรียกแม่ของเขาก็ทำให้ทำให้คนที่เหลือต้องหันมามองเธอเป็นตาเดียว แต่ก่อนที่จะมีใครได้ท้วงอะไรขึ้น แม่ของชลนาก็เป็นคนห้ามไว้เสียก่อน แล้วหันไปคุยกับลูกสาวตัวเองอย่างรู้นิสัยดี
“ชลกินเยอะๆเลยลูก ของโปรดน้องทั้งนั้น แม่ทำสุดฝีมือ”
“ค่ะแม่” ชลนายิ้มรับบางๆแม้ว่าจะรู้สึกว่าจู่ๆปากของเธอกลับรู้สึกหนักๆ หน่วงๆ ไม่อยากจะพูดอะไรขึ้นมาเสียดื้อๆก็ตาม เมื่อไม่มีใครถาม เธอก็เงียบไปอีกครั้ง จนแรงสั่นใต้โต๊ะเรียกสติเธออีกครั้ง คราวนี้บุ้ยใบ้ไปที่แม่ของเธอเอง
แม้จะไม่ชอบใจวิธีการเตือนโดยการใช้ ‘เท้า’ ของสิงห์ แต่ก็จำต้องปล่อยไว้แล้วหันไปมองผู้เป็นแม่ก่อน
“แม่ถามว่านั่งคนข้าวตั้งนานแล้วไม่กินเหรอลูก”
“กิน…ค่ะ”ยิ้มรับแหยๆ แล้วแสร้งทำเป็นตักกับข้าวตรงหน้าแก้เก้อ เมื่อทุกสายตาพากันจ้องมาที่เธอ
“นั่นของโปรดของสิงห์จ้ะ แม่ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นของโปรดของชลด้วย ไม่น่าล่ะแม่ถึงเห็นสิงห์ไม่ค่อยตักกินเลย ท่าจะตั้งใจเก็บไว้ให้หนูนะ ตักเยอะๆนะจ้ะ” ผู้เป็นมารดาของสิงห์พูดขึ้นอย่างใจดี ชลนาจึงตอบรับสั้นๆแล้วตักกับข้าวตรงหน้ามาชิมเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกลายเป็นส่วนผสมให้เธอคนเข้ากับข้าวจนเละอีกเช่นเคย
“ชลอิ่มหรือยังลูก”
“อิ่มแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เราไปนอนคุยกันดีกว่า” ชลนามองหน้าแม่แล้วพยักหน้าเบาๆ วดีจึงหันไปฝั่งตรงข้าม กระเซ้าเพื่อน“กานดา ฉันขอตัวก่อนนะ แล้วเธอกับพ่อสิงห์จะนอนรึยังล่ะ ปรกติเธอจะนอนก่อนสี่ทุ่มนี่นา นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนา ไม่กลัวจะหน้าแก่เหมือนเมื่อตอนสาวๆเรอะ”
“โอ๊ย แก่แล้วไม่กลัวหน้าแก่แล้ว แต่ฉันจะต้องคุยกับลูกชายฉันก่อนน่ะวดี!”
เล่ห์รัก ตอนที่ 12 ( เร่เข้ามาค่า เร่เข้ามาเจ้าข้าเอ๊ย 55555)
“แม่”
ชลนาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะรีบวิ่งลงจากรถ ใช้มือทั้งสองจับมือของผู้เป็นมารดาไว้แน่น ก่อนจะสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกที่สุมอยู่มากมาย ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีประดังเข้ามาก่อนเป็นอันดับแรก เธอทำตามใจตัวเองไปแล้ว กลัวท่านเสียใจและผิดหวัง ก็กลัว แม้จะทำใจกล้าบินหนีออกมาจากรัง แต่ในใจของผู้เป็นลูกก็ยังกังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..เพราะการเป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องคนเล็กของบ้าน ทำให้เธอถูกทุ่มเทความรักมาให้จนเต็ม เธอไม่เคยรู้สึกขาด เพราะฉะนั้น การที่เธอตัดสินใจหนีออกจากบ้าน..ใครจะรู้เล่า ว่าเธอนั้นแสนจะรู้สึกเคว้งคว้างปานใด เหมือนเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสน..ช่างอ้างว้าง เดียวดาย และกลัว เพียงเพราะอยากเอาชนะสายตาของผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดา เท่านั้นเอง…
หญิงสาวยังจำสายตานั้นได้ไม่รู้ลืม แต่เล็กจนโต ท่านมักจะมองว่าเธอเป็นเด็กเสมอ ในสายตาของท่านคงมีเพียงพี่น้ำ และพี่ภูผาพี่ชายของหล่อนเท่านั้น ที่สามารถดูแลตัวเองได้และมีท่านเฝ้ามองอยู่ด้วยสายตาชื่นชม ส่วนเธอ…เธอคือลูกสาวที่ไม่เคยจะได้รับความไว้วางใจสักครั้ง โดยเฉพาะด้านการใช้ชีวิต นั่นคงเป็นสาเหตุที่ท่านคิดจะคลุมถุงชนเธอ มันยิ่งเป็นการตอกย้ำ ว่าลูกสาวคนนี้ ไม่เคยได้รับการยอมรับจากท่านเลย
“แม่…น้องขอโทษ”
ชลนากระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นไม่แพ้ผู้เป็นแม่ เธอไม่อยากจะปล่อย.. ไม่อยากจะให้ผู้เป็นแม่เห็นน้ำตาของเธอ แล้วมีความคิดว่าเธอเป็นเด็กอย่างไรก็อย่างนั้น.. แต่คนบ่อน้ำตาตื้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แถมยังมีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาให้ผู้เป็นแม่ได้ยินอีกด้วย..
เพียงได้ยินเสียงร้องให้ของลูก ก็เหมือนกับมีคนถือมีดมากรีดกลางใจของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาอย่างทะนุถนอมทั้งชีวิต จึงมีร่างกายที่กำลังสั่นเทาไม่แพ้กัน
ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่ลูกสาวคนเล็กคนนี้ร้องให้แล้วผู้เป็นแม่จะไม่ร้องตาม เพราะวันใดที่ลูกเจ็บ ผู้ที่เจ็บกว่านั้นคือแม่..แม่ที่เฝ้าดูลูกให้เติบใหญ่ด้วยความรักทั้งหมดที่มีและพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างเพื่อให้ลูกไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
“แม่โกรธน้องหรือเปล่า”
“แม่ไม่โกรธ แม่เข้าใจน้อง แต่แม่แค่เป็นห่วง ชลออกจากบ้านไปปุบปับแบบนั้น หัวใจแม่จะวาย”
“น้องไม่ได้ตั้งใจ น้องขอโทษ แม่รู้ไหมคะว่าน้องคิดถึงแม่ที่สุดเลย”ชลนาผละออกมาบอกมารดา ก่อนจะสวมกอดท่านอีกครั้ง ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พร้อมกับสูดจมูกฟุดฟิดไปด้วยเพราะน้ำหูน้ำตาไหลออกมาอย่างคนมีอารมณ์อ่อนไหว บวกกับความคิดถึงมารดาเป็นที่สุด
“แม่ก็คิดถึงน้อง นี่ถ้าไม่ได้พ่อสิงห์คอยรายงานข่าวคราว แม่คงจะแย่” เมื่อปลอบประโลมกันจนสบายใจขึ้นแล้ว ผู้เป็นแม่ก็หันไปมองคนที่ตัวเองเลือกให้ลูกสาวด้วยสีหน้าภูมิใจ ส่วนผู้เป็นลูกก็เพิ่งจะนึกได้ว่าไม่ได้อยู่กับมารดาสองคน
“น้องชล นี่ แม่ของพ่อสิงห์ เป็นเพื่อนสนิทของแม่ เรียกว่า แม่กานดา สิ” ผู้เป็นแม่แนะนำให้เสร็จสรรพ ออกแนวมัดมือชกลูกสาวนิดๆ แต่ยังคงรอยยิ้มบนใบหน้า ชลนารีบยกมือไว้ผู้ใหญ่ที่ดูน่าเคารพนับถือและใจดีตรงหน้าทันที
ส่วน ‘’แม่กานดา’’ ที่ชลนาต้องเรียก ก็รีบรับไหว้ลูกสาวของเพื่อนรักด้วยรอยยิ้มที่เจือแววเอ็นดู ส่วนลูกชายน่ะหรือ…ยิ้มเตรียมไว้ก่อนแล้วเมื่อเห็นสายตาของมารดาตน รู้ว่าแม่ของเขารู้ใจเขามากที่สุด..
“ไหว้พระเถอะลูก..อ้อ สิงห์ นี่แม่ของลูกชล สิงห์คงรู้จักเป็นอย่างดีแล้ว เรียกแม่วดีสิลูก” ฝ่ายลูกชายก็รู้งาน ก้มลงไหว้ผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
“แม่เดินทางเหนื่อยไหมครับ”
“โถ พ่อคุณ แม่ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ ก็ลูกส่งคนไปรับแม่ตั้งแต่แม่แยกกับพ่อของน้องชลที่สนามบิน แม่เลยนั่งสบายมาตลอดทาง” กานดา ตอบลูกชายของเพื่อนอย่างรักใคร่และเอ็นดูชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เด็กๆมากขึ้น ยิ่งมองก็คิดว่าตัวเองช่างตาถึงและคิดไม่ผิด
“ที่เหนื่อยน่ะ เห็นจะเป็นลูกชล ดูสิ ตัวก็บอบบางนิดเดียว จะมีแรงแค่ไหนเชียว เพลียแย่เลยสิลูก ไปๆ แม่ๆเตรียมข้าวปลาไว้ให้หนูแล้ว มีทั้งของโปรดของลูกสาว ของโปรดของลูกชาย ใช่ไหมแม่วดี”
แม่ของฝ่ายชายหันมาหาลูกคู่ แม่ของฝ่ายหญิงก็รีบเป็นลูกรับอย่างดี
“จ้ะ ไปลูก ไปกินข้าวกันได้แล้ว เดี๋ยวจะเย็นหมด ดูสิ พ่อสิงห์ขับรถมาเหนื่อยๆ..เอ ฉันว่าให้ลูกๆไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อนดีกว่า”
“จริงสิ ฉันตื่นเต้นเจอหน้าลูกก็ลืมไป..ถ้าอย่างนั้นให้ลูกไปอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว ส่วนเราสองคน ก็ไปอุ่นกับข้าวรอ แหม..วดีฉันไม่มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว”
แล้วแม่ๆทั้งสองต่างก็เดินคุยหัวร่อต่อกระซิกนำหน้าไป ปล่อยให้สองหนุ่มสาวเดินตามอย่างตั้งตัวไม่ค่อยทันกับพวกท่าน
แต่เสียงหัวเราะที่เกิดจากแม่ของตัวเองและแม่ของสิงห์ที่ได้ยิน ก็ทำให้ชลนามีความสุขอย่างประหลาดและรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวอีกครั้ง ทางด้านสิงห์ก็เดินตามหญิงสาวมาเงียบ ไม่พูดอะไร แต่มือปลาหมึกก็ยังไม่สิ้นลาย แกว่งไปมาจนชนกับมือของเธอเข้าอย่างตั้งใจ ทว่า ก่อนจะได้จับมือนาง ผู้สูงวัยทั้งสองต่างก็หันมาเสียก่อน ทำให้มือที่กำลังจะยื่นถึงอีกฝ่าย ต้องชักกลับอย่างเกรงใจ
“นี่ชลไปอาบน้ำห้องแม่”
“ส่วนสิงห์ก็ไปอาบน้ำห้องสิงห์”
บรรดาแม่ๆชี้ไปคนละทาง
“แต่…ชลไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยค่ะ” หญิงสาวหมายความถึงของใช้ส่วนตัวนั่นเอง
“ชลอยากใส่เสื้อของแม่ไหมล่ะลูก” ผู้เป็นแม่กระเซ้า แต่ลูกสาวรีบสั่นหน้า ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ นึกถึงตอนเด็กๆที่แอบเอาเสื้อของท่านไปใส่แล้วดูตลกพิกล
“น้องรักแม่นะ แต่น้องไม่ชอบใส่เสื้อแบบของแม่แล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่อยากจะใส่เสื้อของแม่ด้วย…แหม งั้นใส่ของสิงห์ก็แล้วกันนะลูก น่าจะพอใส่ได้ คนวัยหนุ่มสาวก็ต้องคู่กับคนวัยเดียวกัน ส่วนเราสองคน..แก่แล้วก็ต้องจับคู่กันไปเตรียมกับข้าวให้ลูก ไปกันเถอะวดี” กานดาแตะแขนเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะหันไปทางลูกชายคนเดียว
“แม่ฝากดูแลลูกชลด้วยนะตาสิงห์ อย่าขาด อย่าเกิน”
ประโยคหลังตั้งใจจะสอนลูกชายโดยรู้กัน ว่าไม่ควรจะทำอะไรที่เสื่อมเสียต่อฝ่ายหญิง
สิงห์ตอบรับอย่างเข้าใจ แม่ทั้งสองจึงได้พยักหน้ากันคนละทีแล้วเดินลงไปเตรียมอาหารด้วยกัน เวลานี้จึงเหลือเพียงสองหนุ่มสาว
“รออยู่ตรงนี้เดี๋ยวนะ ผมจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้”
ว่าแล้วก็เดินไปอีกทาง ปล่อยให้ชลนายืนรออยู่เพียงสักครู่ก็กลับออกมาพร้อมกับเสื้อยืดผู้หญิงใหม่เอี่ยมกับกางเกงขายาว แล้วยื่นให้หญิงสาว ชลนารับมาดูก็เห็นว่าใส่ได้กำลังดี
“เสื้อผู้หญิง”
สายตาคมเงยขึ้นไปมองคนสูงกว่า
“เสื้อนี่เขาแจก ผมได้มาผิดไซส์ เก็บไว้นานแล้วไม่เคยใส่เลย ถ้าไม่เชื่อก็ดูข้างหลังเสื้อสิ มีสโลแกนอยู่”
ชลนมองหน้าเขาก่อนจะพูดโดย ไม่คิดจะดูว่ามีตามที่เขาว่าหรือเปล่า
“ไม่ได้ถาม”
ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องฝั่งของตัวเองอย่างไม่คิดรอดูปฏิกิริยาของคนที่จัดการอธิบายโดยไม่ต้องมีคำถาม ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง..
ก็ยืนอึ้งไปครึ่งนาทีก็เท่านั้น…
ทางด้านคนถูกอธิบาย เมื่อแสร้งทำหน้านิ่งได้ไม่นาน ก็รีบพลิกเสื้อดูสโลแกนว่ามีจริงหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีตามที่ว่า จึงได้เดินเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาไม่นานก็เดินออกมาจากห้อง แล้วเดินรี่ลงบันไดไปคนเดียวอย่างไม่คิดรอใคร
หรือบางทีเขาอาจจะลงไปก่อนเธอแล้วก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าเปอร์เซ็นที่เขาจะลงไปคนเดียวมันจะน้อยมากๆก็ตาม และเมื่อหญิงสาวเดินลงมาก็พอดีเจอกับแม่ตัวเองยืนรออยู่ใต้บันไดอยู่แล้ว
“ไปกินข้าวได้แล้วจ้ะ ดูสิให้พ่อสิงห์รอตั้งหลายนาทีแล้ว”
“คุณสิงห์ลงมาแล้วเหรอคะแม่”ถามอย่างแปลกใจ เมื่อเหตุการณ์กลับตารปัตรไม่เป็นตามที่คิดและถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่คิดรอเขาเช่นกัน แต่ใจของเธอกลับรู้สึกผิดหวังลึกๆ
“จ้ะ นี่ถ้าไม่รีบอดไม่รู้ด้วยนา เพราะพ่อสิงห์เริ่มชิมไปแล้ว เห็นติดใจใหญ่เลย” ผู้เป็นแม่ตอบยิ้มๆ มือประสานเข้ากับมือของลูกเหมือนกับที่เคยทำมาตั้งแต่ลูกสาวเล็กๆจนเติบโตเป็นสาวสะพรั่งอยู่ตอนนี้
ชลนายิ้มรับรอยยิ้มของแม่ บางที มันอาจไม่แน่นอนเสมอไป ที่เขาจะต้องสนใจเธอตลอดเวลา
ส่วนทางด้านมารดานั้น แอบชำเลืองดูสีหน้าลูกสาวที่เงียบไป ไม่บ่อยครั้งนักที่ลูกสาวคนเล็กของเธอจะเก็บเรื่องของคนอื่นมาใส่ไว้ในหัวใจ เพราะถ้าเป็นปรกตินั้น ก็คงจะมีการโวยวายแค่นิดหน่อย แล้วเลิกสนใจไม่นิ่งไปเช่นนี้..นี่อาจจะเป็นสัญญาณบางอย่าง ผู้เป็นแม่คิด
“มา ชลมานั่งตรงนี้กับแม่”วดีเรียกลูกสาวให้นั่งเมื่อเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวแล้วแต่ลูกสาวยังยืนนิ่ง
“ค่ะ”
หญิงสาวนั่งลงตามที่มารดาบอก ซึ่งเป็นที่นั่งตรงข้ามกับที่สิงห์นั่งพอดี สายตาของหล่อนมองไปยังจานกับข้าวที่วางอยู่สามสี่อย่าง หูได้ยินเสียงคนบอกให้ตักอย่างนู้นบ้างอย่างนี้บ้าง ก่อนที่มันจะอื้อ ทว่ามือของเธอมันเลื่อนไปตักกับข้าวกินเรื่อยๆ ใครชวนคุยอะไร รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง เธอก็ทำเพียงตอบรับสั้นๆ และพยักหน้าเท่านั้น
ก่อนที่ชลนาจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยุ่งกับเท้าของเธอ เมื่อเหล่มองก็เห็นเท้าของเขากำลังเตะเท้าเธออยู่ จึงเสสายตาขึ้นมองเขา ก็เห็นว่าเขากำลังบุ้ยใบ้ไปทางแม่ของเขาที่กำลังมองหน้าเธออยู่เช่นกัน
“กับข้าวฝีมือแม่เป็นยังไงมั่งลูก”
“อร่อยมากเลยค่ะ คุณป้า” ชลนายิ้มจริงใจไปให้ แถมสรรพนามที่ใช้เรียกแม่ของเขาก็ทำให้ทำให้คนที่เหลือต้องหันมามองเธอเป็นตาเดียว แต่ก่อนที่จะมีใครได้ท้วงอะไรขึ้น แม่ของชลนาก็เป็นคนห้ามไว้เสียก่อน แล้วหันไปคุยกับลูกสาวตัวเองอย่างรู้นิสัยดี
“ชลกินเยอะๆเลยลูก ของโปรดน้องทั้งนั้น แม่ทำสุดฝีมือ”
“ค่ะแม่” ชลนายิ้มรับบางๆแม้ว่าจะรู้สึกว่าจู่ๆปากของเธอกลับรู้สึกหนักๆ หน่วงๆ ไม่อยากจะพูดอะไรขึ้นมาเสียดื้อๆก็ตาม เมื่อไม่มีใครถาม เธอก็เงียบไปอีกครั้ง จนแรงสั่นใต้โต๊ะเรียกสติเธออีกครั้ง คราวนี้บุ้ยใบ้ไปที่แม่ของเธอเอง
แม้จะไม่ชอบใจวิธีการเตือนโดยการใช้ ‘เท้า’ ของสิงห์ แต่ก็จำต้องปล่อยไว้แล้วหันไปมองผู้เป็นแม่ก่อน
“แม่ถามว่านั่งคนข้าวตั้งนานแล้วไม่กินเหรอลูก”
“กิน…ค่ะ”ยิ้มรับแหยๆ แล้วแสร้งทำเป็นตักกับข้าวตรงหน้าแก้เก้อ เมื่อทุกสายตาพากันจ้องมาที่เธอ
“นั่นของโปรดของสิงห์จ้ะ แม่ก็เพิ่งรู้ว่าเป็นของโปรดของชลด้วย ไม่น่าล่ะแม่ถึงเห็นสิงห์ไม่ค่อยตักกินเลย ท่าจะตั้งใจเก็บไว้ให้หนูนะ ตักเยอะๆนะจ้ะ” ผู้เป็นมารดาของสิงห์พูดขึ้นอย่างใจดี ชลนาจึงตอบรับสั้นๆแล้วตักกับข้าวตรงหน้ามาชิมเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกลายเป็นส่วนผสมให้เธอคนเข้ากับข้าวจนเละอีกเช่นเคย
“ชลอิ่มหรือยังลูก”
“อิ่มแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เราไปนอนคุยกันดีกว่า” ชลนามองหน้าแม่แล้วพยักหน้าเบาๆ วดีจึงหันไปฝั่งตรงข้าม กระเซ้าเพื่อน“กานดา ฉันขอตัวก่อนนะ แล้วเธอกับพ่อสิงห์จะนอนรึยังล่ะ ปรกติเธอจะนอนก่อนสี่ทุ่มนี่นา นี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนา ไม่กลัวจะหน้าแก่เหมือนเมื่อตอนสาวๆเรอะ”
“โอ๊ย แก่แล้วไม่กลัวหน้าแก่แล้ว แต่ฉันจะต้องคุยกับลูกชายฉันก่อนน่ะวดี!”