มีเพื่อนสมาชิกหลังไมค์มาตามภาพประกอบครับ
ผมขอตอบทางหน้าไมค์ เผื่อนักลงทุนคนอื่นๆ ได้อ่าน
ส่วนอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์หรือไม่ ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เพราะมันเหมือนกับการเล่าเรื่องส่วนตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการลงทุน
ขึ้นอยู่กับ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคนเป็นสำคัญ
ส่วนความรู้ที่ใครๆก็หาได้จากสารพัดแหล่ง ผมกลับให้ความสำคัญน้อยกว่า
ผมมีความเชื่อดังนี้
๑ สิ่งที่คนอื่นทำได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้
๒ สิ่งที่เราทำได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำได้
๓ อะไรที่เราทำได้หรือคนอื่นทำได้
มันขึ้นอยู่ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคน ?????
คำถามอยู่ในกรอบแดงตามภาพประกอบ ข้อความบางส่วนที่ชื่นชมกันเป็นส่วนตัว ขอปิดเอาไว้ครับ
++++++++++++++
คำถาม
1 ตอนช่วงที่เฮียยังพอร์ทไม่ใหญ่มาก เฮียทำไงบ้างครับ คือซื้อขายหมุนรอบ หรือว่าใส่เงินใหม่เข้าไปเรื่อยๆ รวมทั้งปันผล[/center]
คำตอบ
คำถามข้อนี้ ผมเชื่อว่า แต่ละคนจะตอบไม่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคน
ก. มีหน้าตักไม่เท่ากัน ต่อให้มีจำนวนเงินหน้าตักเท่ากัน อำนาจซื้อของหน้าตักก็ยังไม่เท่ากัน
และต่อให้มีจำนวนเงินหน้าตักเท่ากัน อำนาจซื้อของเงินตอนเริ่มต้นมีเท่ากัน
ความรู้ ความสามารถก็ยังมีไม่เท่ากันอยู่ดี
เท่ากับว่า สิ่งที่จะตัดสินอำนาจซื้อที่แท้จริง ของเงินบนหน้าตัก
ก็คือ ความรู้ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคน
ข. มีแหล่งรายได้ไม่เหมือนกัน
ลองอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
๑ คนที่เริ่มเข้าตลาดหุ้น ตอนอำนาจซื้อของเงินสูง อำนาจขายของหุ้นต่ำ
ยอมได้เปรียบ คนที่เข้ามาตอนที่อำนาจซื้อของเงินต่ำ อำนาจขายของหุ้นสูง
เหมือนกับท่านดร.นิเวศน์เข้าซื้อ เซเว่นที่หุ้นละ สี่บาท เราเข้าไปซื้อที่หุ้นละ สี่สิบบาท
จำนวนเงินหนึ่งล้านเท่าๆกัน หุ้นที่ได้จะมีจำนวนแตกต่างกันถึงสิบเท่า
คือเงินหนึ่งล้านบาทบนหน้าตักของดร.นิเวศน์ เมื่อใส่ความรู้ความสามารถที่มีมากกว่าคนอื่นเข้าไป
มันให้อำนาจซื้อของเงิน จากจุดเริ่มต้นที่สิบเท่า ขึ้นไปถึงร้อยเท่าหรืออาจจะพันเท่าจากจุดเรื่มต้น
๒ คนที่มีแหล่งรายได้แน่นอน จากนอกตลาดหุ้น ย่อมได้เปรียบคนที่ไม่มีแหล่งรายได้แน่นอน จากนอกตลาดหุ้น
ข้อสอง มันตอบคำถามได้เลยว่า ตอนพอร์ตยังเล็กอยู่
พอร์ตหุ้นของผม จะไม่สามารถเติบโตได้เท่าคนทื่มีแหล่งรายได้อื่นๆ นอกจากตลาดหุ้น
ทั้งๆที่ให้มีจำนวนเงินหน้าตักตอนเริ่มต้นเท่ากัน มีความรู้ ความสามารถเท่ากัน
ดังนั้น ตอนพอร์ตยังเล็กอยู่ เงินปันผลรับในแต่ละปี
จึงไม่สามารถจะรองรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้
ต้องอาศัยกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นและเงินปันผลรับ มาเป็นเงินค่าใช้จ่าย
ผมจึงเชื่อว่า ถ้าจำนวนเงินหน้าตักของเรายังต่ำอยู่ และยีลด์ที่ได้จากพอร์ตหุ้น
ต่อให้ได้จากเงินปันผลสิบเปอร์เซนต์ และกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ซื้อแล้วขายอีกยี่สิบเปอร์เซนต์
แต่ความรู้ ความสามารถในการล่ากำไรส่วนต่างราคาหุ้นมีไม่มาก แถมตลาดหุ้นดันไม่เป็นใจซ้ำเข้าไปอีก
ยังไงก็ไม่สามารถจะทำผลงานพอร์ต ได้เหมือนคนที่มีแหล่งรายได้หลายๆแหล่ง
เพราะกำไรส่วนต่างนั้นๆ จะต้องกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีของเรา
ถ้าผมมีแหล่งรายได้อื่นๆ นอกตลาดหุ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต
เชื่อว่ามูลค่าพอร์ตอาจจะสูงกว่านี้อีกหนึ่งเท่าตัว ?????
ดังนั้น จึงไม่ค่อยเห็นด้วย ที่ใครจะอออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว
ตราบใดที่จำนวนเงินหน้าตักของพอร์ตยังเล็ก และไม่มีแหล่งรายได้อื่นๆ
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในจำนวนเงินที่จะสามารถดำรงชีพได้ตามต้องการ
บ่อยครั้ง จะเป็นแรงกดดัน ให้เราต้องตัดสินใจทำ ในสิ่งที่ไม่อยากทำกับพอร์ตหุ้นของเรา
* การกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายประจำปี และสามารถทำตามที่กำหนดอย่างเด็ดขาดแน่นอน
จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยตัดสินได้ว่า เราจะสามารถดำรงชีวิต จากการเป็นนักลงทุนอาชีพหรือไม่
คำถาม
2 จากประสบการ์เฮีย เฮียใช้เวลานานกี่ปีครับ ที่จะดับเบิ้ลพอร์ท และปันผล ให้เพิ่มขี้น3-4เท่าตัว คือส่วนตัวผม ได้กำไรหุ้นเปนเด้งๆก็มี2-3ตัว แต่พอร์ทก็ยังไม่โต
คำตอบ
เคยเล่าไว้บ้างแล้ว ในกระทู้นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/31729641
ขอเพิ่มเติมดังนี้
ผมเชื่อว่า เวลากี่ปี ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า
พอร์ตเราโตแบบก้าวกระโดดได้จาก"หุ้นตัวไหน" ตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงไหน
บอกตามตรงเลยว่า ตอนซับไพร์ม ยังหวังไว้แค่ว่า
ขอมีพอร์ตซักสิบล้านบาท ได้ยีลด์ห้าเปอร์เซนต์ของมูลค่าพอรต์
ก็น่าจะพออยู่ได้อย่างไม่ต้องเป็นหนี้
พอร์ตผมเริ่มโตแบบก้าวกระโดดด้านจำนวนเงินอย่างจริงจัง
จากการถือ ประกันคุ้มภัยเอาไว้ยี่สิบห้าเปอร์เซนต์ของพอร์ต และหุ้นโดนเทนเดอร์ออฟเฟอร์ออกจากตลาดไปแล้ว
มันกลายเป็นเงินหน้าตักก้อนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมา แล้าสามารถเอาไปซื้อสะสมหุ้นตัวอื่นๆ
จนพอร์ตโตกว่าที่เคยหวังไว้ถึงห้าเท่า
และมีจำนวนหุ้นมากพอ
ที่จะได้ปันผลมาใช้จ่ายประจำปี โดยไม่ต้องอาศัยการทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตอนนี้จะมีปันผลเพิ่มขึ้นมาก
ผมก็ยังไม่สามารถเอาปันผลใส่กับเข้าพอร์ต เพื่อให้พอร์ตโตมากขึ้น
ความต้องการทางวัตถุของคนเรานั้น
มันค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ตามปริมาณเงินที่มีให้เราใช้
ความต้องการความสะดวกสบายทางวัตถุ มันไม่ยอมหยุดอยู่กับที่
เมื่อสิบปีก่อนคิดว่า เดือนละสองหมื่นบาท ใช้ได้สบายมาก
กลายเป็นว่าตอนนี้ แม้แต่เดือนละแสนบาท ก็อาจจะไม่มีเหลือ
ดังนั้นพอร์ตจะโตต่อไปหรือไม่ ยอมรับเลยว่าไม่มั่นใจ
มันเหมือนกับว่า เราได้เดินทางแสวงหาเงิน
มาจนเกินปลายทางฝันของเราแล้ว ไปต่อไม่ไหว
เพราะความรู้ ความสามารถมีไม่มากพอจะทำให้พอร์ตโต ในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจเหมือนสองสามปีก่อนปีนี้
และวันเวลาที่จะดำรงชีพได้จากตลาดหุ้น ก็น้อยลงเรื่อยๆ
เลยต้องแบ่งรายได้ออกเป็น ขายหุ้นทิ้งบางส่วน เอาเงินไปกินดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
และหุ้นที่เหลือจากคลายเครียดเรโช ก็ถือกินเงินปันผลรับต่อไปเรื่อยๆ
พอร์ตจะโตได้ ก็คงต้องรอให้ตลาดหุ้นมีวิกฤตหนัก แล้วหุ้นที่ถืออยู่ ลงน้อยกว่าตลาด
เหมือนกับเกิดช่องว่างแต้มต่อทีมีสูงมาก ในปีที่เกิดซับไพร์ม
ได้ขายหุ้นแต้มต่อที่เชื่อว่าเหลือน้อย หันไปซื้อและถือหุ้นที่เชื่อว่า มีแต้มต่อมากกว่าแทน
ผมชอบคิดเล่นๆแบบนี้
คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต แต่ก่อนฟ้าจะลิขิต คนต้องคำนวณมาก่อนฟ้า
ไม่งั้นฟ้าจะไม่ลิขิต
+
๙ แล่ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ตอบคำถามหลังไมค์แบบผู้เดินทางแสวงหาเงินมาจนสุดปลายฝัน หรือสุดทางตัน ????
ผมขอตอบทางหน้าไมค์ เผื่อนักลงทุนคนอื่นๆ ได้อ่าน
ส่วนอ่านแล้ว จะได้ประโยชน์หรือไม่ ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เพราะมันเหมือนกับการเล่าเรื่องส่วนตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการลงทุน
ขึ้นอยู่กับ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคนเป็นสำคัญ
ส่วนความรู้ที่ใครๆก็หาได้จากสารพัดแหล่ง ผมกลับให้ความสำคัญน้อยกว่า
ผมมีความเชื่อดังนี้
๑ สิ่งที่คนอื่นทำได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำได้
๒ สิ่งที่เราทำได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำได้
๓ อะไรที่เราทำได้หรือคนอื่นทำได้
มันขึ้นอยู่ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคน ?????
คำถามอยู่ในกรอบแดงตามภาพประกอบ ข้อความบางส่วนที่ชื่นชมกันเป็นส่วนตัว ขอปิดเอาไว้ครับ
++++++++++++++
1 ตอนช่วงที่เฮียยังพอร์ทไม่ใหญ่มาก เฮียทำไงบ้างครับ คือซื้อขายหมุนรอบ หรือว่าใส่เงินใหม่เข้าไปเรื่อยๆ รวมทั้งปันผล[/center]
คำถามข้อนี้ ผมเชื่อว่า แต่ละคนจะตอบไม่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคน
ก. มีหน้าตักไม่เท่ากัน ต่อให้มีจำนวนเงินหน้าตักเท่ากัน อำนาจซื้อของหน้าตักก็ยังไม่เท่ากัน
และต่อให้มีจำนวนเงินหน้าตักเท่ากัน อำนาจซื้อของเงินตอนเริ่มต้นมีเท่ากัน
เท่ากับว่า สิ่งที่จะตัดสินอำนาจซื้อที่แท้จริง ของเงินบนหน้าตัก
ก็คือ ความรู้ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคน
ข. มีแหล่งรายได้ไม่เหมือนกัน
ลองอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
๑ คนที่เริ่มเข้าตลาดหุ้น ตอนอำนาจซื้อของเงินสูง อำนาจขายของหุ้นต่ำ
ยอมได้เปรียบ คนที่เข้ามาตอนที่อำนาจซื้อของเงินต่ำ อำนาจขายของหุ้นสูง
เหมือนกับท่านดร.นิเวศน์เข้าซื้อ เซเว่นที่หุ้นละ สี่บาท เราเข้าไปซื้อที่หุ้นละ สี่สิบบาท
จำนวนเงินหนึ่งล้านเท่าๆกัน หุ้นที่ได้จะมีจำนวนแตกต่างกันถึงสิบเท่า
คือเงินหนึ่งล้านบาทบนหน้าตักของดร.นิเวศน์ เมื่อใส่ความรู้ความสามารถที่มีมากกว่าคนอื่นเข้าไป
มันให้อำนาจซื้อของเงิน จากจุดเริ่มต้นที่สิบเท่า ขึ้นไปถึงร้อยเท่าหรืออาจจะพันเท่าจากจุดเรื่มต้น
๒ คนที่มีแหล่งรายได้แน่นอน จากนอกตลาดหุ้น ย่อมได้เปรียบคนที่ไม่มีแหล่งรายได้แน่นอน จากนอกตลาดหุ้น
ข้อสอง มันตอบคำถามได้เลยว่า ตอนพอร์ตยังเล็กอยู่
พอร์ตหุ้นของผม จะไม่สามารถเติบโตได้เท่าคนทื่มีแหล่งรายได้อื่นๆ นอกจากตลาดหุ้น
ทั้งๆที่ให้มีจำนวนเงินหน้าตักตอนเริ่มต้นเท่ากัน มีความรู้ ความสามารถเท่ากัน
ดังนั้น ตอนพอร์ตยังเล็กอยู่ เงินปันผลรับในแต่ละปี
จึงไม่สามารถจะรองรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้
ผมจึงเชื่อว่า ถ้าจำนวนเงินหน้าตักของเรายังต่ำอยู่ และยีลด์ที่ได้จากพอร์ตหุ้น
ต่อให้ได้จากเงินปันผลสิบเปอร์เซนต์ และกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ซื้อแล้วขายอีกยี่สิบเปอร์เซนต์
แต่ความรู้ ความสามารถในการล่ากำไรส่วนต่างราคาหุ้นมีไม่มาก แถมตลาดหุ้นดันไม่เป็นใจซ้ำเข้าไปอีก
ยังไงก็ไม่สามารถจะทำผลงานพอร์ต ได้เหมือนคนที่มีแหล่งรายได้หลายๆแหล่ง
ถ้าผมมีแหล่งรายได้อื่นๆ นอกตลาดหุ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต
เชื่อว่ามูลค่าพอร์ตอาจจะสูงกว่านี้อีกหนึ่งเท่าตัว ?????
ดังนั้น จึงไม่ค่อยเห็นด้วย ที่ใครจะอออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในจำนวนเงินที่จะสามารถดำรงชีพได้ตามต้องการ
บ่อยครั้ง จะเป็นแรงกดดัน ให้เราต้องตัดสินใจทำ ในสิ่งที่ไม่อยากทำกับพอร์ตหุ้นของเรา
* การกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายประจำปี และสามารถทำตามที่กำหนดอย่างเด็ดขาดแน่นอน
จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยตัดสินได้ว่า เราจะสามารถดำรงชีวิต จากการเป็นนักลงทุนอาชีพหรือไม่
2 จากประสบการ์เฮีย เฮียใช้เวลานานกี่ปีครับ ที่จะดับเบิ้ลพอร์ท และปันผล ให้เพิ่มขี้น3-4เท่าตัว คือส่วนตัวผม ได้กำไรหุ้นเปนเด้งๆก็มี2-3ตัว แต่พอร์ทก็ยังไม่โต
เคยเล่าไว้บ้างแล้ว ในกระทู้นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/31729641
ขอเพิ่มเติมดังนี้
ผมเชื่อว่า เวลากี่ปี ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า
พอร์ตเราโตแบบก้าวกระโดดได้จาก"หุ้นตัวไหน" ตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงไหน
บอกตามตรงเลยว่า ตอนซับไพร์ม ยังหวังไว้แค่ว่า
ขอมีพอร์ตซักสิบล้านบาท ได้ยีลด์ห้าเปอร์เซนต์ของมูลค่าพอรต์
ก็น่าจะพออยู่ได้อย่างไม่ต้องเป็นหนี้
พอร์ตผมเริ่มโตแบบก้าวกระโดดด้านจำนวนเงินอย่างจริงจัง
จากการถือ ประกันคุ้มภัยเอาไว้ยี่สิบห้าเปอร์เซนต์ของพอร์ต และหุ้นโดนเทนเดอร์ออฟเฟอร์ออกจากตลาดไปแล้ว
มันกลายเป็นเงินหน้าตักก้อนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมา แล้าสามารถเอาไปซื้อสะสมหุ้นตัวอื่นๆ
จนพอร์ตโตกว่าที่เคยหวังไว้ถึงห้าเท่า
และมีจำนวนหุ้นมากพอ
ที่จะได้ปันผลมาใช้จ่ายประจำปี โดยไม่ต้องอาศัยการทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตอนนี้จะมีปันผลเพิ่มขึ้นมาก
ผมก็ยังไม่สามารถเอาปันผลใส่กับเข้าพอร์ต เพื่อให้พอร์ตโตมากขึ้น
มันค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ตามปริมาณเงินที่มีให้เราใช้
ความต้องการความสะดวกสบายทางวัตถุ มันไม่ยอมหยุดอยู่กับที่
เมื่อสิบปีก่อนคิดว่า เดือนละสองหมื่นบาท ใช้ได้สบายมาก
กลายเป็นว่าตอนนี้ แม้แต่เดือนละแสนบาท ก็อาจจะไม่มีเหลือ
ดังนั้นพอร์ตจะโตต่อไปหรือไม่ ยอมรับเลยว่าไม่มั่นใจ
มันเหมือนกับว่า เราได้เดินทางแสวงหาเงิน
มาจนเกินปลายทางฝันของเราแล้ว ไปต่อไม่ไหว
เพราะความรู้ ความสามารถมีไม่มากพอจะทำให้พอร์ตโต ในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจเหมือนสองสามปีก่อนปีนี้
และวันเวลาที่จะดำรงชีพได้จากตลาดหุ้น ก็น้อยลงเรื่อยๆ
เลยต้องแบ่งรายได้ออกเป็น ขายหุ้นทิ้งบางส่วน เอาเงินไปกินดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
และหุ้นที่เหลือจากคลายเครียดเรโช ก็ถือกินเงินปันผลรับต่อไปเรื่อยๆ
พอร์ตจะโตได้ ก็คงต้องรอให้ตลาดหุ้นมีวิกฤตหนัก แล้วหุ้นที่ถืออยู่ ลงน้อยกว่าตลาด
เหมือนกับเกิดช่องว่างแต้มต่อทีมีสูงมาก ในปีที่เกิดซับไพร์ม
ได้ขายหุ้นแต้มต่อที่เชื่อว่าเหลือน้อย หันไปซื้อและถือหุ้นที่เชื่อว่า มีแต้มต่อมากกว่าแทน
ผมชอบคิดเล่นๆแบบนี้
คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต แต่ก่อนฟ้าจะลิขิต คนต้องคำนวณมาก่อนฟ้า
ไม่งั้นฟ้าจะไม่ลิขิต
+