เขากันเล่าว่า...หอนี้มีกระสือ [นิยาย]

กระทู้สนทนา
เขาเล่ากันว่า...หอนี้มีกระสือ//ปากกาขนไก่



   ปึก!!

   เสียงวิทยุกระแทกโต๊ะดังก้องไปทั่วราตรี ความมืดสนิทชนิดที่แทบมองไม่เห็นฝ่ามือตัวเองทำให้เขาหงุดหงิดเล็กน้อย เขาเปิดไฟฉายคู่ใจส่องไปยังกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทำงานที่มีรายชื่อคนพร้อมเวลากำกับเอาไว้ ปากกาจรดลงบนกระดาษพร้อมเขียนชื่อหวัดๆสองพยางค์ ก่อนลงเวลากำกับเอาไว้ที่สองทุ่ม



   ทุกวันเขาต้องเข้าประจำเพื่อเฝ้าของสำคัญบางอย่างบนตึกนี้ แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ความหงุดหงิดของเขากลับเทไปที่คำสั่งห้ามใช้ไฟฟ้าในอาคารโดยเด็ดขาด เขาอยากจะถามเหตุผล แต่ฐานะไม่เอื้ออำนวยให้อ้าปาก จึงได้แต่ทำตามคำสั่ง



   เขาเปิดวิทยุเครื่องเก่าที่ตกทอดจากพ่อด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเช่นทุกวัน แต่มันกลับไม่มีสัญญาณว่าตัวมันเป็นวิทยุแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงจุดหมุนปรับสัญญาณที่ครางด้วยอาการฝืดตามอายุเครื่อง ฝ่ามือพิฆาตหมายปราบอาการพยศที่เกิดขึ้น แต่ไม่เลย มันยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น



   เขายกมันขึ้นเขย่าพลางเงี่ยหูฟังสำเนียงที่อาจสืบเสาะได้ว่าเสียตรงไหน  เพียงยกมันขึ้นจากโต๊ะเขาก็รับรู้ได้ถึงความจริงที่น่ากลัวบางอย่าง เขาพลิกดูด้านล่างของวิทยุเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาคิดถูก



   ...ไม่ได้ใส่ถ่าน...



   เสียงจิ๊ปากเบาๆอย่างไม่พอใจดังขึ้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถือไฟฉายซึ่งยังเปิดค้างอยู่เดินตรงไปยังแผงควบคุมวงจรไฟฟ้าของตึก

  ...ห้ามเปิดคัทเอาท์...



   เขามองดูป้ายนั้นพลางถอนหายใจ สุดท้ายเขาก็ต้องฝ่าฝืนคำสั่งอีกแล้ว แม้จะไม่ได้ตกใจอะไรมาก เพราะเขาทำมันเป็นประจำอยู่แล้ว...ทุกวัน



   เสียงหลอดไฟบนเพดานครางยาว ก่อนที่แสงสว่างจะปรากฏ เขารีบปิดไฟชั้นล่างจนหมดให้เหลือแต่ดวงที่อยู่เหนือโต๊ะทำงานเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอก หรือในหลักใหญ่คือเจ้านายของเขารู้ว่า เขาฝ่าฝืนคำสั่ง

  

   เขากลับมาที่โต๊ะพร้อมลากปลั๊กวิทยาไปเสียบอย่างมิได้ทุกข์ร้อนนัก เพราะการที่หลอดไฟชั้นล่างติดทุกดวง หมายความว่ายามกะก่อนหน้านี้ก็ฝ่าฝืนคำสั่งเช่นกัน



    เจ้าวิทยุโบราณไอค่อกแค่กในจังหวะที่หมุนหาคลื่นเพลงลูกทุ่ง เสียงจากแหบพร่ากลายเป็นกังวานซ้อนแต่เมื่อหมุนเพิ่มกลับเป็นเสียงซ่าราวห่าฝนพายุ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็แอบปลอบใจตัวเองว่า



   ...ที่มันยังมีเสียงอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว...



   เขานั่งลงผ่อนอารมณ์กับบทเพลงที่ชวนคิดถึงบ้าน โดยไม่รู้เลยว่า มีไฟสีส้มหลายดวงกำลังลอยไปมาอยู่บนตึกที่เขารับหน้าที่ดูแลอยู่





   "สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วง ผ้าล้าถี"

   "ล่าท้าผี"

   เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอีกฝากของถนน ในความมืดมิดของอาคารยาวชั้นเดียวฝั่งตรงข้าม แต่เวลาห่างกันเกือบห้าสิบชั่วโมง วัยรุ่นสามคนย่องอย่างเงียบกริบอยู่ในความมืดของทิวไม้ที่ขึ้นรกชัฏ แต่กลับไม่ได้ระวังเสียงพูดคุยที่ดังโฉงเฉงไปทั่วเลยแม้แต่น้อย

   "ไหนตอนแรกบอกไม่เอาด้วยไง ทีงี้แก้มุกให้กูทันที" หนึ่งในสามหัวเราะชอบใจ

   "คุณโจ้ครับ ก็คุณไม่ใช่เหรอครับที่บังคับกูมาอ่ะ" อีกคนกล่าวประชดชัน

   "กูเปล่าเสียหน่อย แค่บอกว่าถ้าไม่มาหนี้ที่กูติดหายกัน" โจ้แก้ตัว

   "มันต่างกันตรงไหน ที่ติดกูนี่ซื้อไอโฟนได้เป็นเครื่องเลยนะแสรส!!" เสียงทักท้วงนั้นดังก้องไปทั่ว โจ้ทำมือให้ลดเสียงลง ซึ่งอีกฝ่ายก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าใช้เสียงดังเกินไป

   "เออน่า..." โจ้ลดเสียงลงจนแทบเป็นกระซิบ "อย่าโวยวายนักได้ไหมวะไอ้เชี่ยดล ดูไอ้หมอดิ มันยังไม่โวยวายอะไรเลย"

   ทั้งสองหันมามองอีกคนที่นั่งเงียบไม่พูดจา ก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่าอีกฝ่ายนั่งก้มหน้าตัวสั่นอยู่

   "กูว่ามันไม่โวยวายเพราะมันกลัวมากกว่า" ดลแซว

   "กลัวเชี่ยอะไรล่ะ กูปวดเยี่ยว" อีกฝ่ายแก้ต่าง

   "อ้าว ปวดเยี่ยวก็ไปเยี่ยวสิวะ หรือการเยี่ยวข้างป่ามันผิดหลักสุขอนามัยอะไรเหรอ?" คราวนี้เป็นโจ้ที่แซวบ้าง

   "เลิกกวนตีนกูได้ไหม มืดขนาดนี้เกิดมีงูมากัดของกูจะทำยังไงล่ะ" หมอเถียงขณะที่มือยังกดแน่นที่ท้อง

   "เอาเหอะ ยังไงซะงูก็มองไม่เห็นของหรอกน่า อันจิ๊ดเดียว" ดลกลับสนุกเข้าไปใหญ่ที่ได้แซวเพื่อน

   "ไม่ไหวแล้ว" สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนให้กับปริมาณที่สั่งสมมามหาศาล

   หมอรีบวิ่งไปหามพุ่มไม้ใกล้ๆ ก่อนปลดกางเกงอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจโล่งอกที่ปัสสาวะพุ่งหลบกางเกงไปได้อย่างเฉียดฉิว กล้ามเนื้อที่เกร็งกลั้นผ่อนคลายด้วยความรูสึกปลอดภัยแบบประหลาด แต่สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าก็ทำเอาแทบร้องออกมาไม่เป็นภาษา

   "นั่นเชี่ยอะไรวะ!!"

   เข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบลงไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดลกับโจ้วิ่งตามมาสมทบอย่างลนลานพลางเอาไม้ในมือหวดไปมาในอากาศอย่างสะเปะสะปะ

   "ไหนงู ไหนงู" ดลยังคงละเลงวงสวิงโดยมิได้รู้ต้นสายปลายเหตุ

   "โดนกัดตรงไหนหรือเปล่า?" โจ้คลำสำรวจทั่วตัวเพื่อหาอาการบาดเจ็บ

   "งูบ้าอะไรเล่า ไม่มี" หมอตะโกนอย่างเหลืออด

   "อ่าว แล้วแหกปากอะไรวะ" ดลโยนไม้ทิ้งอย่างรักษาฟอร์ม

   "ก็เมื่อกี้..." หมอรีบหันกลับไปทางสิ่งประหลาดที่เขาเจอเมื่อสักครู่ แต่มันหายไปแล้ว

   "อะไรวะ?" โจ้มองตามขึ้นไป

   "ก็เมื่อกี้กูเห็นไฟอะไรไม่รู้สีส้มๆ ใหญ่ๆ ลอยอยู่บนตึกร้างฝั่งนู้น"

    เรื่องที่ได้รับฟังนั้นทำเอาอีกสองคนขนลุกอย่างไม่มีเหตุผล ทั้งสองมองหน้ากันแปลกๆ ดลพยายามมองขึ้นไปตามสายตาของผู้เล่า

   "แน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาด" ดลพยายามกลืนน้ำลาย

   "กูเห็นแสง เข้าใจคอนเซ็ปไหม สายตาของมนุษย์จะมองเห็นได้เมื่อมีแสง ฉะนั้นสายตามนุษย์ไวต่อแสงมาก จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะตาฝาดว่าตัวเองเห็นแสงในที่มืดๆแบบนั้น"

   "กูไม่รู้นี่นา กูเรียน 'ถาปัตย์" ดลฟังอีกฝ่ายไม่ค่อยเข้าใจ แต่จับได้เลาๆว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตาฝาด

   "แล้วคิดว่าไงวะ" เขาหันไปหาแนวร่วมที่นิ่งเงียบตั้งแต่ได้ยินเรื่องนี้

   "กูว่าโดนว่ะ"

   "ห๊ะ!!" หมอและดลตะโกนพร้อมกัน

   "พวกจะตะโกนอะไรกันนักหนาวะ?" โจ้เอ็ดด้วยเสียงกระซิบ

   "โดนคืออะไรวะ" หมอรีบใส่กางเกงให้เรียบร้อยหลังจากเพิ่งรูตัวว่าโป๊มานาน

   "ก็ตำนานมอเราอ่ะดิ ที่บอกว่าเขตโรงอาหารเก่าเนี่ย ผี..."

   " ยิ้ม!!"

   "จะตะโกนอะไรอีกเนี่ย!!" โจ้หันไปเอ็ดเพื่อนอย่างมีอารมณ์

   "น่ะ...น...นั่นหรือเปล่าวะ แสงที่เห็น" ดลกล่าวเสียงสั่นพร้อมชี้ไปยังแสงสีส้มกลมโตที่ลอยตรงมาทางนี้

   " ยิ้ม!!" คราวนี้เป็นหมอกับโจ้ที่อุทานบ้าง

   "นั่นใครน่ะ ทำอะไรอยู่ตรงนั้น"

   เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาแต่ไกล ความกลัวในใจทั้งสามหยุดทำงานในทันทีเมื่อรับรู้ได้ถึงสัญญาณชีวิตจากเสียงนั้น แสงสีส้มสาดเขาตาทำให้รับรู้ได้ว่ามันเป็นแสงของไฟฉายแบบเก่าที่ไม่ใช่หลอดฟลูออเรสเซนต์

   "คนเว่ย!!" โจ้สะกิดเพื่อนทั้งสอง

   "ขอโทษครับ พอดีเราหลงทางมา..." โจ้รีบอธิบายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาอย่างขึงขัง

   "ที่นี่อันตรายมาก คราวหลังคราวหน้าก็ระวังด้วยล่ะ" ยามหนุ่มพยายามควบคุมอารมณ์ แม้จะรู้วัตถุประสงค์ของทั้งสามก็ตาม

   "ครับผม ขอโทษจริงๆครับ ไปไอ้ดล ไอ้หมอ กลับกันได้แล้ว"

  

   "พวกชอบลองของ"

   ยามหนุ่มส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย ทุกเดือนจะมีไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่ครั้ง สำหรับนักศึกษาวัยคะนองที่ออกมาท้าทายสิ่งลี้ลับ โดยข้อมูลอันพิลึกพิศดารจากอินเทอร์เน็ต หลังจากแน่ใจแล้วว่าทั้งสามไปพ้นเขตแล้วจึงเดินกลับมายังโต๊ะทำงานของตน

   เพียงแค่ก้าวเข้ามาในตึกเขาก็พบกับความประหลาดใจเดิมๆที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ หลอดไฟเหนือโต๊ะทำงานดับไปแล้ว เสียงเพลงจากวิทยุก็เงียบไปเช่นกัน เขาเดินตรงไปยังแผงควบคุมไฟเหมือนเช่นทุกวันแล้วสับคัทเอาท์ขึ้นโดยไม่ได้เหลียวแลป้ายเตือนข้างๆแม้แต่น้อย

   "วิทยุเครื่องเดียวมันกินไฟขนาดนั้นเลยหรือไง"

   พรึ่บ!!



   "เชี่ย!!"

   "เชี่ยอะไร?!" คล้ายเป็นการตะโกนรับกันเป็นทอดๆ

   "มือถือกู" โจ้ตบกระเป๋าตัวเองอย่างร้อนรน

   "อ่าว กูยังเห็นเอาออกมาเตรียมถ่ายคลิปอยู่เลย" ดลขมวดคิ้วสงสัย

   "สงสัยจะทำตกตอนได้ยินเสียงไอ้เชี่ยหมอ" โจ้พยายามนึก

   "เอาไงทีนี้" หมอทำหน้าไม่สู้ดีเมื่อนึกถึงการกลับไปที่นั่นอีก

   "เดี๋ยวกูกลับไปเอาคนเดียวก็ได้" โจ้รีบออกตัว เพราะคงไม่ไปนาน เมื่อรู้ว่ามีคนอยู่แถวนั้น แปลว่าเรื่องที่เล่ากันมาคงโกหกทั้งเพ

   "เฮ้ย!!" ดลบีบไหล่อีกฝ่ายอย่างแรงพร้อมทำหน้าจริงจัง "ระวังเจอผีไฟสีส้มนะเว้ย ฮ่าๆๆ"

   "ไอ้เชี่ยดล" หมอเหวี่ยงขาหมายจัดการอีกฝ่ายที่ล้อเลียนตนมาตั้งแต่รู้ว่าแสงนั้นเป็นไฟฉายของยาม โจ้ขำในท่าทีของเพื่อนทั้งสองก่อนจะรีบวิ่งกลับไป ไม่รู้ว่ายามนั่นจะเก็บไปแล้วหรือเปล่า



   "มันต้องอยู่แถวนี้สิน่า"

   โจ้พยายามนึกว่าน่าจะทำมือถือหล่นไว้ตรงไหน มือสองข้างควานหาไปทั่วพื้นราวคนตาบอด ก่อนที่จะรู้สึกถึงวัตถุบางอย่างที่มีความใกล้เคียงกับสิ่งที่หาอยู่

   "อ้าวเชี่ย หินอิก จะเกิดมามีรูปร่างเหมือนไอโฟนทำตื๊ดอะไรเนี่ย"

    เขาขว้างสิ่งนั้นออกไปอย่างอารมณ์เสียที่ดีใจเก้อ แต่เมื่อหินก้อนนั้นกระทบพื้นกลับปารากฏแสงไฟสว่างขึ้นมาบนพื้น โจ้หน้าซีดเผือดก่อนพุ่งไปที่แสงนั้นอย่างรวดเร็ว

   "เชี่ย หน้าจอกูแตกเลย" แม้จะดูเกินเหตุไปสำหรับรอยแตกเล็กๆที่ขอบจอ แต่ถ้าเทียบราคาซ่อมแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดีที่โวยวาย

   "ดีนะแม่มยังกดได้..." หลังจากสำรวจอาการเป็นที่พอใจแล้วก็ยัดสิ่งนั้นใส่กระเป๋า แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาก็ทำเอาอ้าปากค้าง

   แสงไฟสีส้มดวงใหญ่สามสี่ดวง กำลังลอยไปมาบนชั้นต่างๆของตึกร้างตรงหน้า แสงนั้นลอยเหวี่ยงขึ้นลงคล้ายพยายามรักษาระดับแต่ทำไม่ได้ เขามองภาพนั้นอยู่นาน ก่อนจะรู้สึกตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ด้วยการกดชัตเตอร์รัวๆ

  "อ้าว หายไปไหนวะ!!"

   "ก็อยูในมือไง"

   " ยิ้ม!!"

   " ยิ้มอะไรเล่า!!"

   บทสนทนานี้เกิดขึ้นในแทบจะไม่ถึงสองวินาที โจ้หันกลับมามองเพื่อนอีกสองคนที่มายืนอยู่ข้างหลังตนตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ

   "มาได้ไงเนี่ย" เขาถามอย่างหวาดๆ

   "เดินมาดิ รกขนาดนี้ขี่มอ'ไซค์มาได้หรือไง?" ดลยังกวนไม่เลิก

   โป๊ก!!

   "ก็กูเห็นหายไปนาน เลยนึกว่าโดนยามฆ่าหมกป่าไปแล้ว" หมอเป็นฝ่ายตอบแทนดลที่นั่งกุมหัวอย่างเจ็บปวด

   "แค่นี้ก็จบ แล้วทำไมไม่โทรเข้ามา" โจ้ถามต่อ

   "ก็กูกลัวว่าอาจจะกำลังซ่อนตัวอยู่แบบในหนังฆาตกรรมไง ถ้ากูโทรเข้ามาฆาตกรก็รู้ที่ซ่อนสิ" ดลตอบบ้าง

   "เข้าใจคิดนะ"

   "ว่าแต่เหอะ เจอโทรศัพท์แล้วทำไมยังไม่กลับ" หมอถามอย่างจริงจังขณะลูบหัวที่ปูดโนของดลอย่างนึกสะใจ

   โจ้ได้สติกลับมาอีกครั้งราวกับตื่นจากฝัน ภาพที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายสั่นเทาโดยไม่รู้เหตุผล ขนลุกชูชันขึ้นทั่วทั้งตัว

   "พวกดูนี่" โจ้เลือกที่จะให้ทั้งสองเห็นด้วยตาตัวเอง เขาเปิดอัลบั้มภาพออกมาให้ดูภาพตึกดำมืดใต้เงาจันทร์ที่มีแสงสีส้มสามดวงประดับอยู่ตามชั้นต่างๆ

   "เฮ้ย!!" ดลเงยหน้ามองเพื่อน "นี่เค้าจ้างยามไว้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ?"

   "โธ่..." อีกสองคนแทบทรุด

   "ถ้าเป็นแสงจากไฟฉายมันจะเป็นลำแสงออกมา แต่ในภาพเนี่ยมันเป็นดวงแสง เข้าใจคอนเซ็ปไหม?" หมอรีบอธิบายให้เพื่อนฟัง

   "ที่เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์อ่ะนะ" ดลทำตาใสไร้เดียงสา

   "มุกฮุกเควอะไรเนี่ย?" โจ้ยกมือขึ้นเตรียมหวดอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้ได้ทัน

   "แต่แน่ใจนะ ว่ามันไม่ใช่หลอดไฟที่ติดตามตึก" หมอเองก็ยังไม่แน่ใจนัก แม้ใจจะเทไปเยอะแล้วก็ตาม

   "งั้นดูนี่" โจ้พิสูจน์ด้วยการเลื่อนรูปถัดไปเรื่อยๆ ทำให้เห็นว่าดวงแสงนั้นมีการเคลื่อนที่ ไม่ใช่ไฟประดับแบบท่คิดอย่างแน่นอน



   "กูว่าโดน"

   "ใช่กูก็ว่างั้น" ความคิดเห็นนี้ของดลสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนอีกสองคนอย่างมาก แต่ดลกลับพยักเพยิดให้ดูในทิศทางหนึ่งเพื่อเป็นคำตอบว่าทำไมเขาถึงคิดอย่างนั้น

   "ไอ้เด็กพวกนี้ ไม่เข็ดกันใช่ไหม อยากเจอนักหรือไงผีน่ะ!!" เสียงมาก่อนตัว

   ไม่มีใครแม้แต่จะหันกลับไปมอง สัญชาตญาณเท้าไฟใส่เกียร์หมาโกยแน่บโดยไม่ต้องนัดหมาย

   "เดี๋ยวเจอกู เดี๋ยวก่อน!!" เสียงตะโกนนั้นดังไล่หลังมา

   "ไอ้เชี่ย พวกรอกูด้วยดิ" หมอตะโกนบอกขณะที่เพื่อนอีกคนนำลิ่วไปแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่