บทสวด VI โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
บทสวด VI

โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร




การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น ต้องการศรัทธาและความเชื่อมั่นในหลักการ และกลยุทธ์บางอย่างที่แรงกล้า

ที่จะช่วยให้เราถือหุ้นระยะยาวได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนจะสามารถทนถือหุ้นต่อเนื่องยาวนานเป็นปีๆ หรือหลายๆ ปี ผ่านช่วงเวลาที่หุ้นขึ้นไปเร็วและสูงหรือสูงมาก และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นตกลงมาเร็วและมากหรือตกลงมามากโดยไม่ได้ทำอะไร เหตุเพราะคนเรานั้นต่างก็มีอารมณ์ที่จะสั่งให้ร่างกาย และความคิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ยาวนานของการลงทุนก็คงจะมีโอกาสบางครั้ง ที่เราจะตัดสินใจขายหุ้นที่เราถืออยู่ออกไป โดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกัน ในบางช่วงเวลา เราก็จะใช้เหตุผลวิเคราะห์หุ้นแล้วก็พบว่าหุ้นตัวที่ถืออยู่นั้นมีราคา “แพง” เกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องขายและเปลี่ยนตัวเล่นใหม่ ดังนั้นเราก็จะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้งๆ ที่เพิ่งจะลงทุนมาได้ไม่นาน แต่ราคาหุ้นขึ้นไป “เกินคาด” และเกินกว่า “พื้นฐาน” ของกิจการ

ในบางครั้ง หลังจากที่เราเข้าถือหุ้นบางตัว เราอาจจะได้รับข่าวสารข้อมูลดูเหมือนว่าจะเป็น “ข้อมูลภายใน” เช่น บริษัทอาจมีกำไรถดถอยลงไตรมาสที่จะถึงนี้ หรือบริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่จะทำให้ผลประกอบการลดลง แต่ไม่กระทบกับผลการดำเนินงานระยะยาว นี่ก็อาจทำให้เราตัดสินใจขายหุ้นทิ้ง เพราะคิดว่าเมื่อข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยออกมา ราคาหุ้นจะลดลง ดังนั้นจึงตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นเสียก่อน ทั้งหมดเป็นเหตุผลบางส่วน ที่ทำให้การลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องยาก สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก

เพื่อจะลดความลำเอียง ที่จะทำให้เราขายหุ้นเร็วเกินไป เนื่องจากเหตุผลของอารมณ์ หรือเหตุผลที่อิงกับการวิเคราะห์หุ้นแบบระยะสั้น ผมเสนอว่าควรต้องมี “บทสวด” เหมือนกับการสวดมนต์ที่ท่องเอาไว้จนขึ้นใจ เพื่อที่จะเตือนตลอดเวลาไม่ให้ไขว้เขวออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง บทสวดเหล่านั้นมีมากมาย และขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละคนที่จะกำหนดขึ้น สำหรับผมนั้นบทสวดต่อไปนี้ คือสิ่งที่รู้สึกว่าสนองต่อแนวทางการลงทุนระยะยาวได้ค่อนข้างดี

บทแรกก็คือ “ความมั่งคั่งของเราขึ้นอยู่กับผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการลงทุนแบบ VI อย่างแท้จริง ความหมายก็คือ ถ้าบริษัท “รวย” เราก็ “รวย” ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ถือหุ้นของบริษัทที่จะรวยหรือมั่งคั่งในระยะยาว โดยอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดเรื่องอื่น เช่น ซื้อหุ้นที่จะมีคนเข้ามาซื้อต่อมากมายด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นมากในระยะสั้นแต่ไม่แน่นอนในระยะยาว เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราท่องบทสวดข้อนี้ เราก็จะถือหุ้นได้ยาวขึ้นตราบเท่าที่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นยังดีอยู่เราก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้น

บทสวดที่สองก็คือ “อย่าตัดสินใจจากสิ่งที่เราไม่รู้” ความหมายข้อนี้จะต้องอธิบายเพิ่มเติมเนื่องจากความเป็นจริงที่ว่าในตลาดหุ้นนั้น แทบจะไม่มีอะไรที่เราจะรู้ว่าต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรที่เราสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้อง 100% คนที่คิดว่าตนเอง “รู้” นั้น จำนวนมากเขา “ไม่รู้” คำว่ารู้ในความหมายคือ เป็นการรู้ถึง “ความน่าจะเป็น” ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เช่น คิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะมากกว่าปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือ ยอดขายของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่เราถืออยู่นี้ อีก 3 ปีข้างหน้า น่าจะโตขึ้นไม่น้อยกว่า 20% โอกาสคาดการณ์ถูกต้องน่าจะไม่น้อยกว่า 80%-90% ในกรณีแบบนี้ คิดว่า “รู้”และถ้าจะตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับหุ้นก็สามารถอิงกับข้อมูลนี้

ตรงกันข้าม ผมคิดว่าไม่รู้ว่าราคาน้ำมันดิบหรือถ่านหิน 3 ปีข้างหน้าจะขึ้นหรือลง โอกาสจะขึ้นนั้นมีเพียง 50% เท่ากับโอกาสที่จะลง ลักษณะแบบนี้ จะบอกตัวเองว่า “ไม่รู้” ดังนั้น จะไม่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น โดยอิงกับราคาน้ำมันหรือถ่านหิน ถ้าจะซื้อหุ้นเหล่านี้ จะต้องตัดสินใจจากเหตุผลอื่นที่ “รู้” ด้วยความเป็นไปได้อย่างน้อยอาจ 70%-80% ขึ้นไป

บทสวดที่สาม หุ้นดีเยี่ยมควรต้องมี “ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น” งวดแล้ว งวดเล่า ต่อเนื่องยาวนาน และถ้าบริษัทยังรักษาสถิติแบบนั้นได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้น ยอดขายเพิ่มขึ้นนั้น ควรเป็นยอดขายสินค้าตามปกติของบริษัทและการเพิ่มนั้น ควรเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 2 เท่าของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือประมาณ 10% ต่อปีขึ้นไป

กำไรที่เพิ่มขึ้น ควรดูทั้งกำไรรวมของบริษัทที่ควรโตอย่างน้อยปีละ 10% และกำไรต่อหุ้นควรเพิ่มขึ้นอัตราเดียวกัน และสุดท้ายคือ ปันผลบริษัทควรปรับขึ้นตามสัดส่วนกับกำไรบริษัท ถ้าเราพบหุ้นที่ถืออยู่มีผลประกอบการแบบนี้ ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะขายหุ้นไม่ว่าราคาจะผันผวนอย่างไร อย่าลืมว่าเราต้องการรวยไปกับบริษัท ไม่ได้ต้องการรวยจากการขายหุ้น

อย่างไรก็ตาม ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม ในอัตราเท่านั้นเท่านี้ อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นกฎตายตัว 100% แต่โดยรวมแล้ว ทิศทางควรเป็นอย่างนั้น คือในภาวะปกติ พอจะคาดการณ์ได้ด้วยความถูกต้องอาจจะกว่า 70%-80% ว่า ยอดขายจะต้องเพิ่มอย่างน้อย 7%-8% กำไรต่อหุ้นเพิ่มอย่างน้อย 10% และปันผลต่อหุ้นเพิ่มอย่างน้อย 10% เช่นเดียวกัน และถ้าพบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่ยังมีผลประกอบการแบบนี้ ก็ถือหุ้นต่อไป

ถ้าหุ้นที่ถืออยู่มีผลประกอบการหย่อนไปจากนี้ หรือกลายเป็นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็ต้องตรวจสอบและพิจารณาดูว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ถือหุ้นต่อไป ถ้าไม่ใช่ เราก็อาจพิจารณาขายหุ้นทิ้ง

สุดท้ายกรณีที่เราอาจอยากขายหุ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีอาจต้องกลับไปสวดมนต์บทที่ว่า มันเป็นกิจการที่เป็น “Monopoly” หรือมันมี “อำนาจผูกขาด” สูง หมายความว่าลูกค้าบริษัทไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก หรือไม่มีทางเลือกเลย

อย่างไรเสียก็ต้องใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท คำว่าอำนาจผูกขาดนี้ อาจมาจากหลายทาง รวมถึงบริษัทสามารถหรือได้เปรียบเชิงการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่งมาก เสมือนหนึ่ง “ผูกขาด” ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรค่อนข้างมั่นคงแน่นอน และคู่แข่งเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งธุรกิจและกำไรได้ยากมากด้วย

เหตุผลที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสวดด้วยนั้น เนื่องจากว่าในบางครั้งธุรกิจหรือบริษัทที่เราซื้อหุ้นลงทุนนั้น เราอาจจะพบปัญหาหรือข้อเสียหรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างจนทำให้เราท้อใจอยากขายหุ้นทิ้ง แต่ก่อนที่เราจะทำอย่างนั้น ก็ควรคำนึงถึงประเด็นที่ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง คือมีอำนาจผูกขาดที่สูงทีเดียวหรือสูงลิ่ว และต้องคิดต่อไปว่าอำนาจมีประโยชน์มากแค่ไหน และจะสามารถทำเงินในภายหลังหรือไม่ ถ้าใช่ อาจพิจารณาถือหุ้นต่อไป

ทั้งหมดนั้นคือส่วนหนึ่งของ “บทสวด VI” ที่ผมใช้ลงทุนถือหุ้นระยะยาว ซึ่งทำให้ถือหุ้นได้ยาวขึ้น และได้ผลดีสร้างผลตอบแทนระยะยาว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีกว่าการ “ซื้อและขายหุ้น” ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ไหม

อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวแบบ VI เป็นสิ่งที่ผมเลือกและชำนาญ ดังนั้น ต้องมีกลยุทธ์และหลักการ ที่สอดคล้องและเหมาะสมที่สุด ที่ต้องยึดถือจนกลายเป็นบทสวดดังกล่าว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่