บทสวด VI “ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น”
Posted by ดร.นิเวศน์
http://www.thaivi.org/บทสวด-vi/
การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น ต้องการศรัทธาและความเชื่อมั่นในหลักการและกลยุทธ์บางอย่างที่แรงกล้าที่จะช่วยให้เราถือหุ้นระยะยาวได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนจะสามารถทนถือหุ้นต่อเนื่องยาวนานเป็นปี ๆ หรือหลาย ๆ ปี ผ่านช่วงเวลาที่หุ้นขึ้นไปเร็วและสูงหรือสูงมาก และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นตกลงมาเร็วและมากหรือตกลงมามากโดยไม่ได้ทำอะไร เหตุเพราะคนเรานั้นต่างก็มีอารมณ์ที่จะสั่งให้ร่างกายและความคิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ยาวนานของการลงทุนก็คงจะมีโอกาสบางครั้งที่เราจะตัดสินใจขายหุ้นที่เราถืออยู่ออกไปโดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกัน ในบางช่วงเวลา เราก็จะใช้เหตุผลวิเคราะห์หุ้นแล้วก็พบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่นั้นมีราคา “แพง” เกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องขายและเปลี่ยนตัวเล่นใหม่ ดังนั้นเราก็จะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะลงทุนมาได้ไม่นานแต่ราคาหุ้นขึ้นไป “เกินคาด” และเกินกว่า “พื้นฐาน” ของกิจการ
ในบางครั้งอีกเช่นกัน หลังจากที่เราเข้าถือหุ้นบางตัว เราก็อาจจะได้รับข่าวสารข้อมูลที่ดูเหมือนว่าจะเป็น “ข้อมูลภายใน” เช่น บริษัทอาจจะมีกำไรถดถอยลงในไตรมาศที่จะถึงนี้ หรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างที่จะทำให้ผลประกอบการลดลงแต่ไม่กระทบกับผลการดำเนินงานระยะยาว นี่ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพราะเราคิดว่าเมื่อข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยออกมา ราคาหุ้นก็จะลดลง ดังนั้น เราจึงตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นเสียก่อน ทั้งหมดนั้น เป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้การลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก
เพื่อที่จะลดความลำเอียงที่จะทำให้เราขายหุ้นเร็วเกินไปเนื่องจากเหตุผลของอารมณ์หรือเหตุผลที่อิงกับการวิเคราะห์หุ้นแบบระยะสั้น ผมเสนอว่าเราควรจะต้องมี “บทสวด” เหมือนกับการสวดมนต์ที่เราท่องเอาไว้จนขึ้นใจเพื่อที่จะเตือนเราตลอดเวลาไม่ให้เราไขว้เขวออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง บทสวดเหล่านั้นมีมากมายและขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละคนที่จะกำหนดขึ้น สำหรับผมเองนั้น บทสวดต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสนองต่อแนวทางการลงทุนระยะยาวได้ค่อนข้างดี
บทแรกก็คือ “ความมั่งคั่งของเราขึ้นอยู่กับผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการลงทุนแบบ VI อย่างแท้จริง ความหมายก็คือ ถ้าบริษัท “รวย” เราก็ “รวย” ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ถือหุ้นของบริษัทที่จะรวยหรือมั่งคั่งในระยะยาวโดยอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดเรื่องอื่น เช่น ซื้อหุ้นที่จะมีคนเข้ามาซื้อต่อมากมายด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นมากในระยะสั้นแต่ไม่แน่นอนในระยะยาว เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราท่องบทสวดข้อนี้ เราก็จะถือหุ้นได้ยาวขึ้นตราบเท่าที่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นยังดีอยู่เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น
บทสวดที่สองก็คือ “อย่าตัดสินใจจากสิ่งที่เราไม่รู้” ความหมายข้อนี้จะต้องอธิบายเพิ่มเติมเนื่องจากความเป็นจริงที่ว่าในตลาดหุ้นนั้น แทบจะไม่มีอะไรที่เราจะรู้ว่าต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรที่เราสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่คิดว่าตนเอง “รู้” นั้น จำนวนมากเขา “ไม่รู้” คำว่ารู้ในความหมายของผมก็คือ เป็นการรู้ถึง “ความน่าจะเป็น” ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เช่น ผมคิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะมากกว่าปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือ ยอดขายของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่เราถืออยู่นี้ ในอีก 3 ปีข้างหน้าน่าจะโตขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 20% โอกาสที่ผมจะคาดการณ์ถูกต้องน่าจะไม่น้อยกว่า 80%-90% ในกรณีแบบนี้ ผมคิดว่าผม “รู้” และถ้าผมจะตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับหุ้น ผมก็สามารถอิงกับข้อมูลนี้ ตรงกันข้าม ผมคิดว่าผมไม่รู้ว่าราคาน้ำมันดิบหรือถ่านหินในอีก 3 ปีข้างหน้าจะขึ้นหรือลง ผมคิดว่าโอกาสที่มันจะขึ้นนั้นมีเพียง 50% เท่า ๆ กับโอกาสที่จะลง ในลักษณะแบบนี้ ผมจะบอกตัวเองว่า “ผมไม่รู้” ดังนั้น ผมจะไม่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยอิงกับราคาน้ำมันหรือถ่านหิน ถ้าผมจะซื้อหุ้นเหล่านี้ ผมก็จะต้องตัดสินใจจากเหตุผลอื่นที่เรา “รู้” ด้วยความเป็นไปได้อย่างน้อยอาจจะ 70%-80% ขึ้นไป
บทสวดที่สาม หุ้นที่ดีเยี่ยมนั้นควรจะต้องมี “ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น” งวดแล้ว งวดเล่า ต่อเนื่องยาวนาน และถ้าบริษัทยังรักษาสถิติแบบนั้นได้ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น ควรเป็นยอดขายสินค้าตามปกติของบริษัทและการเพิ่มนั้น ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 2 เท่าของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือประมาณ 10% ต่อปีขึ้นไป กำไรที่เพิ่มขึ้นนั้น ควรจะดูทั้งกำไรรวมของบริษัทที่ควรโตอย่างน้อยปีละ 10% และกำไรต่อหุ้นที่ควรจะเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และสุดท้ายก็คือ ปันผลของบริษัทควรจะมีการปรับขึ้นตามสัดส่วนกับกำไรของบริษัท ถ้าเราพบว่าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการแบบนี้ เราก็ไม่ต้องสนใจว่าจะขายหุ้นไม่ว่าราคาจะผันผวนอย่างไรอย่าลืมว่าเราต้องการรวยไปกับบริษัท เราไม่ได้ต้องการรวยจากการขายหุ้น
อย่างไรก็ตาม ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม ในอัตราเท่านั้นเท่านี้ อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นกฎตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ ในบางงวด ยอดขายอาจจะพลาดเป้าบ้าง ยอดขายได้แต่กำไรอาจจะพลาด หรือแม้ว่ายอดขายและกำไรอาจจะเป็นไปตามที่กำหนด แต่ปันผลอาจจะไม่ได้ตามที่คิด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่โดยรวมแล้ว ทิศทางควรจะเป็นอย่างนั้นนั่นคือ ในภาวะปกติ เราพอจะคาดการณ์ได้ด้วยความถูกต้องอาจจะกว่า 70%-80% ว่า ยอดขายจะต้องเพิ่มอย่างน้อย 7%-8% กำไรต่อหุ้นเพิ่มอย่างน้อย 10% และปันผลต่อหุ้นก็เพิ่มอย่างน้อย 10% เช่นเดียวกัน และถ้าเราพบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่ยังมีผลประกอบการแบบนี้ เราก็ถือหุ้นต่อไป ถ้าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการหย่อนไปจากนี้หรือกลายเป็นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เราก็ต้องตรวจสอบและพิจารณาดูว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ถือหุ้นต่อไป ถ้าไม่ใช่ และเราคิดว่าต่อไปบริษัทอาจจะไม่สามารถดำรงสถานะที่ “รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม” ต่อเนื่องยาวนานแล้ว เราก็อาจพิจารณาขายหุ้นทิ้ง
สุดท้ายในกรณีที่เราอาจจะอยากขายหุ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีเราอาจจะต้องกลับไปสวดมนต์บทที่ว่า มันเป็นกิจการที่เป็น “Monopoly” หรือมันมี “อำนาจผูกขาด” สูง นั่นหมายความว่าลูกค้าของบริษัทไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหรือไม่มีทางเลือกเลย อย่างไรเสียก็ต้องใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท คำว่าอำนาจผูกขาดนี้ อาจจะมาจากหลาย ๆ ทางรวมถึงการที่บริษัทมีความสามารถหรือมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่งมาก ๆ จนเสมือนหนึ่ง “ผูกขาด” ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรที่ค่อนข้างมั่นคงแน่นอนและคู่แข่งเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งธุรกิจและกำไรได้ยากมากด้วย เหตุผลที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสวดด้วยนั้น เนื่องจากว่าในบางครั้งธุรกิจหรือบริษัทที่เราซื้อหุ้นลงทุนนั้น เราอาจจะพบปัญหาหรือข้อเสียหรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างจนทำให้เราท้อใจอยากขายหุ้นทิ้ง แต่ก่อนที่เราจะทำอย่างนั้น เราก็ควรจะคำนึงถึงประเด็นที่ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่งนั่นก็คือ มันมีอำนาจผูกขาดที่สูงทีเดียวหรือสูงลิ่ว และเราต้องคิดต่อไปว่าอำนาจนั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนและจะสามารถทำเงินในภายหลังหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็อาจจะพิจารณาถือหุ้นต่อไป
และทั้งหมดนั้นก็คือส่วนหนึ่งของ “บทสวด VI” ที่ผมใช้ในการลงทุนถือหุ้นระยะยาว ซึ่งมันทำให้ผมถือหุ้นได้ยาวขึ้นและได้ผลดีในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีกว่าการ “ซื้อและขายหุ้น” ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ไหม อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวแบบ VI เป็นสิ่งที่ผมเลือกและเป็นสิ่งที่ผมชำนาญ ดังนั้น ผมต้องมีกลยุทธ์และหลักการที่สอดคล้องและเหมาะสมที่สุดที่ผมต้องยึดถือจนกลายเป็นบทสวดดังกล่าว
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
บทสวด VI “ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น”
Posted by ดร.นิเวศน์ http://www.thaivi.org/บทสวด-vi/
การลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment นั้น ต้องการศรัทธาและความเชื่อมั่นในหลักการและกลยุทธ์บางอย่างที่แรงกล้าที่จะช่วยให้เราถือหุ้นระยะยาวได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนจะสามารถทนถือหุ้นต่อเนื่องยาวนานเป็นปี ๆ หรือหลาย ๆ ปี ผ่านช่วงเวลาที่หุ้นขึ้นไปเร็วและสูงหรือสูงมาก และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นตกลงมาเร็วและมากหรือตกลงมามากโดยไม่ได้ทำอะไร เหตุเพราะคนเรานั้นต่างก็มีอารมณ์ที่จะสั่งให้ร่างกายและความคิดตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ยาวนานของการลงทุนก็คงจะมีโอกาสบางครั้งที่เราจะตัดสินใจขายหุ้นที่เราถืออยู่ออกไปโดยใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกัน ในบางช่วงเวลา เราก็จะใช้เหตุผลวิเคราะห์หุ้นแล้วก็พบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่นั้นมีราคา “แพง” เกินไปแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องขายและเปลี่ยนตัวเล่นใหม่ ดังนั้นเราก็จะตัดสินใจขายหุ้นทิ้งทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะลงทุนมาได้ไม่นานแต่ราคาหุ้นขึ้นไป “เกินคาด” และเกินกว่า “พื้นฐาน” ของกิจการ
ในบางครั้งอีกเช่นกัน หลังจากที่เราเข้าถือหุ้นบางตัว เราก็อาจจะได้รับข่าวสารข้อมูลที่ดูเหมือนว่าจะเป็น “ข้อมูลภายใน” เช่น บริษัทอาจจะมีกำไรถดถอยลงในไตรมาศที่จะถึงนี้ หรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างที่จะทำให้ผลประกอบการลดลงแต่ไม่กระทบกับผลการดำเนินงานระยะยาว นี่ก็อาจจะทำให้เราตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพราะเราคิดว่าเมื่อข้อมูลนั้นถูกเปิดเผยออกมา ราคาหุ้นก็จะลดลง ดังนั้น เราจึงตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นเสียก่อน ทั้งหมดนั้น เป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้การลงทุนระยะยาวเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักลงทุนจำนวนมาก
เพื่อที่จะลดความลำเอียงที่จะทำให้เราขายหุ้นเร็วเกินไปเนื่องจากเหตุผลของอารมณ์หรือเหตุผลที่อิงกับการวิเคราะห์หุ้นแบบระยะสั้น ผมเสนอว่าเราควรจะต้องมี “บทสวด” เหมือนกับการสวดมนต์ที่เราท่องเอาไว้จนขึ้นใจเพื่อที่จะเตือนเราตลอดเวลาไม่ให้เราไขว้เขวออกนอกแนวทางที่ถูกต้อง บทสวดเหล่านั้นมีมากมายและขึ้นอยู่กับนักลงทุนแต่ละคนที่จะกำหนดขึ้น สำหรับผมเองนั้น บทสวดต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสนองต่อแนวทางการลงทุนระยะยาวได้ค่อนข้างดี
บทแรกก็คือ “ความมั่งคั่งของเราขึ้นอยู่กับผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการลงทุนแบบ VI อย่างแท้จริง ความหมายก็คือ ถ้าบริษัท “รวย” เราก็ “รวย” ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ถือหุ้นของบริษัทที่จะรวยหรือมั่งคั่งในระยะยาวโดยอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดเรื่องอื่น เช่น ซื้อหุ้นที่จะมีคนเข้ามาซื้อต่อมากมายด้วยเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นมากในระยะสั้นแต่ไม่แน่นอนในระยะยาว เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเราท่องบทสวดข้อนี้ เราก็จะถือหุ้นได้ยาวขึ้นตราบเท่าที่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นยังดีอยู่เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น
บทสวดที่สองก็คือ “อย่าตัดสินใจจากสิ่งที่เราไม่รู้” ความหมายข้อนี้จะต้องอธิบายเพิ่มเติมเนื่องจากความเป็นจริงที่ว่าในตลาดหุ้นนั้น แทบจะไม่มีอะไรที่เราจะรู้ว่าต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรที่เราสามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่คิดว่าตนเอง “รู้” นั้น จำนวนมากเขา “ไม่รู้” คำว่ารู้ในความหมายของผมก็คือ เป็นการรู้ถึง “ความน่าจะเป็น” ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เช่น ผมคิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะมากกว่าปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10% หรือ ยอดขายของกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่เราถืออยู่นี้ ในอีก 3 ปีข้างหน้าน่าจะโตขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 20% โอกาสที่ผมจะคาดการณ์ถูกต้องน่าจะไม่น้อยกว่า 80%-90% ในกรณีแบบนี้ ผมคิดว่าผม “รู้” และถ้าผมจะตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับหุ้น ผมก็สามารถอิงกับข้อมูลนี้ ตรงกันข้าม ผมคิดว่าผมไม่รู้ว่าราคาน้ำมันดิบหรือถ่านหินในอีก 3 ปีข้างหน้าจะขึ้นหรือลง ผมคิดว่าโอกาสที่มันจะขึ้นนั้นมีเพียง 50% เท่า ๆ กับโอกาสที่จะลง ในลักษณะแบบนี้ ผมจะบอกตัวเองว่า “ผมไม่รู้” ดังนั้น ผมจะไม่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยอิงกับราคาน้ำมันหรือถ่านหิน ถ้าผมจะซื้อหุ้นเหล่านี้ ผมก็จะต้องตัดสินใจจากเหตุผลอื่นที่เรา “รู้” ด้วยความเป็นไปได้อย่างน้อยอาจจะ 70%-80% ขึ้นไป
บทสวดที่สาม หุ้นที่ดีเยี่ยมนั้นควรจะต้องมี “ยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น” งวดแล้ว งวดเล่า ต่อเนื่องยาวนาน และถ้าบริษัทยังรักษาสถิติแบบนั้นได้ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายหุ้น ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้น ควรเป็นยอดขายสินค้าตามปกติของบริษัทและการเพิ่มนั้น ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยประมาณ 2 เท่าของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือประมาณ 10% ต่อปีขึ้นไป กำไรที่เพิ่มขึ้นนั้น ควรจะดูทั้งกำไรรวมของบริษัทที่ควรโตอย่างน้อยปีละ 10% และกำไรต่อหุ้นที่ควรจะเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน และสุดท้ายก็คือ ปันผลของบริษัทควรจะมีการปรับขึ้นตามสัดส่วนกับกำไรของบริษัท ถ้าเราพบว่าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการแบบนี้ เราก็ไม่ต้องสนใจว่าจะขายหุ้นไม่ว่าราคาจะผันผวนอย่างไรอย่าลืมว่าเราต้องการรวยไปกับบริษัท เราไม่ได้ต้องการรวยจากการขายหุ้น
อย่างไรก็ตาม ยอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม ในอัตราเท่านั้นเท่านี้ อาจจะไม่ต้องถึงกับเป็นกฎตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ ในบางงวด ยอดขายอาจจะพลาดเป้าบ้าง ยอดขายได้แต่กำไรอาจจะพลาด หรือแม้ว่ายอดขายและกำไรอาจจะเป็นไปตามที่กำหนด แต่ปันผลอาจจะไม่ได้ตามที่คิด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่โดยรวมแล้ว ทิศทางควรจะเป็นอย่างนั้นนั่นคือ ในภาวะปกติ เราพอจะคาดการณ์ได้ด้วยความถูกต้องอาจจะกว่า 70%-80% ว่า ยอดขายจะต้องเพิ่มอย่างน้อย 7%-8% กำไรต่อหุ้นเพิ่มอย่างน้อย 10% และปันผลต่อหุ้นก็เพิ่มอย่างน้อย 10% เช่นเดียวกัน และถ้าเราพบว่าหุ้นตัวที่เราถืออยู่ยังมีผลประกอบการแบบนี้ เราก็ถือหุ้นต่อไป ถ้าหุ้นที่เราถืออยู่มีผลประกอบการหย่อนไปจากนี้หรือกลายเป็นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เราก็ต้องตรวจสอบและพิจารณาดูว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ถือหุ้นต่อไป ถ้าไม่ใช่ และเราคิดว่าต่อไปบริษัทอาจจะไม่สามารถดำรงสถานะที่ “รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม” ต่อเนื่องยาวนานแล้ว เราก็อาจพิจารณาขายหุ้นทิ้ง
สุดท้ายในกรณีที่เราอาจจะอยากขายหุ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีเราอาจจะต้องกลับไปสวดมนต์บทที่ว่า มันเป็นกิจการที่เป็น “Monopoly” หรือมันมี “อำนาจผูกขาด” สูง นั่นหมายความว่าลูกค้าของบริษัทไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหรือไม่มีทางเลือกเลย อย่างไรเสียก็ต้องใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท คำว่าอำนาจผูกขาดนี้ อาจจะมาจากหลาย ๆ ทางรวมถึงการที่บริษัทมีความสามารถหรือมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันสูงกว่าคู่แข่งมาก ๆ จนเสมือนหนึ่ง “ผูกขาด” ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรที่ค่อนข้างมั่นคงแน่นอนและคู่แข่งเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งธุรกิจและกำไรได้ยากมากด้วย เหตุผลที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสวดด้วยนั้น เนื่องจากว่าในบางครั้งธุรกิจหรือบริษัทที่เราซื้อหุ้นลงทุนนั้น เราอาจจะพบปัญหาหรือข้อเสียหรือบริษัทอาจจะประสบปัญหาบางอย่างจนทำให้เราท้อใจอยากขายหุ้นทิ้ง แต่ก่อนที่เราจะทำอย่างนั้น เราก็ควรจะคำนึงถึงประเด็นที่ว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นที่สำคัญมากอย่างหนึ่งนั่นก็คือ มันมีอำนาจผูกขาดที่สูงทีเดียวหรือสูงลิ่ว และเราต้องคิดต่อไปว่าอำนาจนั้นมีประโยชน์มากแค่ไหนและจะสามารถทำเงินในภายหลังหรือไม่ ถ้าใช่ เราก็อาจจะพิจารณาถือหุ้นต่อไป
และทั้งหมดนั้นก็คือส่วนหนึ่งของ “บทสวด VI” ที่ผมใช้ในการลงทุนถือหุ้นระยะยาว ซึ่งมันทำให้ผมถือหุ้นได้ยาวขึ้นและได้ผลดีในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีกว่าการ “ซื้อและขายหุ้น” ไปเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์ไหม อย่างไรก็ตาม การลงทุนระยะยาวแบบ VI เป็นสิ่งที่ผมเลือกและเป็นสิ่งที่ผมชำนาญ ดังนั้น ผมต้องมีกลยุทธ์และหลักการที่สอดคล้องและเหมาะสมที่สุดที่ผมต้องยึดถือจนกลายเป็นบทสวดดังกล่าว
https://www.facebook.com/#!/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376