ปลูกหุ้นกินผล"ส่วนหนึ่งในกระทู้ ถามตอบ ในThai VI ปี 2008"
ลูกอิสาน Post subject: Posted: Wed May 21, 2008 9:53 pm
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
Joined: Mon Oct 13, 2003 8:52 pm
Posts: 5955
.................................................................................
Voting..+11
UpvoteDownvote hongvalue wrote:
พี่ โจโจ้ สุดหล่อครับ
หลังๆ ผมเริ่มมองว่า vi หลายคนที่เล่นหุ้นได้เยอะมาก
ไม่ได้มีแนวคิด ซื้อหุ้นเพราะอยากเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
ต้องดูออกว่าหุ้นตัวไหน มี driver เรื่องผลประกอบการ
หรือ เก็งงบรายไตรมาส
ผมเองก็คิดว่ากว่า buffet จะรวยเนี้ย เขารวยด้วยการเล่นแบบนี้
หรือว่ารวยด้วยการเก็ง eps แล้ว พอรวยจนเล่นตัวเล็กไม่ได้
ค่อยเอาเงินไปซื้อหุ้นใหญ่ๆ แล้วพวกเราก็มาดูว่าปัจจุบันเขาถือหุ้นอะไร
ก็เลยมองว่า buffet รวยเพราะแบบที่มี dca
เท่าที่ดูพี่โจไม่ได้เล่นหุ้น pe สูงอย่าง ร.พ. ค้าปลีก เลย
พี่ โจคิดว่าจริงๆแล้ว dca fiveforce ที่ดีเนี้ย สำคัญแค่ไหนครับ
หรือว่าสำคัญคือหาหุ้นที่จะ beating expecting mr.market อย่างเดียวก็พอ
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้า
.......................................................................................
โจ ลูกอิสาน Post subject: Posted: Wed May 21, 2008 9:53 pm
.....................................................................................
ผมพยายามมองอะไรให้ง่ายๆเข้าไว้ครับ
คือเรื่องซื้อหุ้นอย่างไรให้กำไร หรือพูดอีกอย่างว่าซื้อหุ้นอะไรที่ราคาขึ้น ถามต่อไปว่าอะไรที่ drive ราคาหุ้น บางคนบอกว่าก็มีคนซื้อมากกว่าคนอยากขายน่ะซิ ก็ไม่ผิดครับ แต่การที่มีคนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขายเค้าก็คงมีเหตุผลซึ่งน่าจะเป็นอย่างนี้ครับ..
1.ซื้อเพราะหุ้นตัวนั้นราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
2.ซื้อเพราะคาดว่าราคาจะขึ้น ประเด็นนี้หลากหลายหน่อย มีคนมา multipulate ราคาให้สูงขึ้นก็นับเป็นข้อนี้
แน่นอนว่าเราสนใจข้อแรก ข้อที่สองนี่เราควบคุมอะไรไม่ได้ ไม่มีแต้มต่อเลย เราก็ไม่ควรจะไปสนใจ ข้อแรกก็แน่นอนว่าพื้นฐานของกิจการประเด็นใหญ่คือกำไร ถ้าเป็นกำไรจริงๆไม่มีกลการบันทึกบัญชีซ่อนเร้น นักลงทุนทุกคนสนใจกำไร กำไรนี่เองที่ drive ราคาหุ้น เราก็หาหุ้นที่กำไรจะเพิ่มซิครับ ถ้าหาเจอแล้วก็ตามมาดูที่ราคาว่าตอบรับกับกำไรในอนาคตหรือยัง ถ้ายังเราก็หาประโยชน์จากส่วนต่างนั้น ทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปอีกครั้งว่า ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำมาหาได้
น้องฮงถามต่อว่าเอ ถ้าเราสนใจกำไรรายปี รายไตรมาสอย่างนี้มิกลายเป็นนักเก็งกำไรเหรอ แถมไม่ทำตัวเป็นเจ้าของกิจการ เรื่องนี้ผมไม่มีไอเดีย แต่ผมลองมองย้อนกลับไปดูนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากๆอย่างวอร์เรน ดร.นิเวศน์หรือเสี่ยป. ทุกคนรู้ว่าทั้งสามท่านประสบความสำเร็จมาก มีเงินลงทุนมากถึงมากที่สุด ทุกคนดูหุ้นที่ท่านลงทุน แล้วสรุปเอาว่าท่านรวยมากจากหุ้นแบบนี้ ประเภทนี้ แต่ประเด็นที่ผมอยากตั้งคำถาม คือท่านลงทุนในหุ้นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า หรือเพิ่งมาลงทุนเมื่อท่านมีเงินลงทุนมากแล้ว
-ผมลองจินตนาการตัวเองว่าถ้ามีเงินระดับหลายร้อยล้าน หรือถึงล้านล้าน ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อจำกัดในการย้ายเงินทุน เวลาลงทุนก็ลงทุนในหุ้นเล็กๆไม่ได้ ต้องลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี dca แม้จะรู้ว่าได้รับผลตอบแทนไม่มากนักก็ตาม มีเงินพันล้านทำใด้แค่ปีละ 10% ก็คือ 100 ล.ใช้ชาตินึงก็ไม่หมด แต่ถ้าเรามี 100,000 ทำให้ 10% คือ 10,000 บ. ซึ่งเอาไปทำอะไรแทบไม่ได้เลยในยุคของแพงอย่างนี้ นั่นคือนักลงทุนที่มีชื่อเสียงลงทุนในหุ้นแบบที่เราเห็น เป็นเพราะสถานการณ์บังคับกลายๆให้ต้องลงทุนอย่างนั้น ได้ผลตอบแทนต่ำๆแลกกับความยั่งยืน มั่นคง มองในอดีตวอร์เรนทำผลตอบแทนได้สูงถึงปีละ 30-50% ซึ่งคงไม่ใช่เพราะลงทุนในหุ้นที่มี dca น่าจะเป็นหุ้นก้นบุหรี่มากกว่า ดร.นิเวศน์ก็เช่นกัน ท่านกำไรในหุ้นส่งออกหลังลอยตัวเงินบาท ไม่ใช่หุ้นที่มี dca แบบที่เรานิยมในปัจจุบัน สุดท้ายคือเสี่ยป. ท่านประสบความสำเร็จจากหุ้นเก็งกำไร พอรวยท่านก็ล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ต้องไปเสี่ยงกับหุ้นเก็งกำไรและเสี่ยงทางกฎหมายกับกลต. ได้ผลตอบแทนปีละ 10-15% ก็ใช้ไม่หมดแล้ว
ถามว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไป มีข้อจำกัดอย่างนักลงทุนรายใหญ่หรือเปล่า จำเป็นหรือที่เราต้องลงทุนเหมือนกับนักลงทุนพอร์ตใหญ่ ทำไมไม่ใช้จุดแข็งของนักลงทุนพอร์ตเงินน้อยเพื่อสร้างความได้เปรียบ เรากำลังเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างอยู่หรือเปล่า
สรุปว่าตอนนี้ผมชอบหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ไม่เกี่ยงว่าจะมี dca หรือไม่ จะยั่งยืนหรือระยะสั้นไม่สนใจ และผมก็ไม่คิดว่าเป็นความผิดอะไรที่คนพอร์ตใหญ่ๆจะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มั่นคง มีdca ต้องวิเคราะห์ five forces เค้าก็ถูกของเค้า เราก็ถูกของเรา ลงทุนให้เหมาะกับสถานะของตัวเราเองดีที่สุดครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
ซื้อหุ้นอย่างไรให้กำไร หรือพูดอีกอย่างว่าซื้อหุ้นอะไรที่ราคาขึ้น
ปลูกหุ้นกินผล"ส่วนหนึ่งในกระทู้ ถามตอบ ในThai VI ปี 2008"
ลูกอิสาน Post subject: Posted: Wed May 21, 2008 9:53 pm
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
Joined: Mon Oct 13, 2003 8:52 pm
Posts: 5955
.................................................................................
Voting..+11
UpvoteDownvote hongvalue wrote:
พี่ โจโจ้ สุดหล่อครับ
หลังๆ ผมเริ่มมองว่า vi หลายคนที่เล่นหุ้นได้เยอะมาก
ไม่ได้มีแนวคิด ซื้อหุ้นเพราะอยากเป็นเจ้าของกิจการที่ดี
ต้องดูออกว่าหุ้นตัวไหน มี driver เรื่องผลประกอบการ
หรือ เก็งงบรายไตรมาส
ผมเองก็คิดว่ากว่า buffet จะรวยเนี้ย เขารวยด้วยการเล่นแบบนี้
หรือว่ารวยด้วยการเก็ง eps แล้ว พอรวยจนเล่นตัวเล็กไม่ได้
ค่อยเอาเงินไปซื้อหุ้นใหญ่ๆ แล้วพวกเราก็มาดูว่าปัจจุบันเขาถือหุ้นอะไร
ก็เลยมองว่า buffet รวยเพราะแบบที่มี dca
เท่าที่ดูพี่โจไม่ได้เล่นหุ้น pe สูงอย่าง ร.พ. ค้าปลีก เลย
พี่ โจคิดว่าจริงๆแล้ว dca fiveforce ที่ดีเนี้ย สำคัญแค่ไหนครับ
หรือว่าสำคัญคือหาหุ้นที่จะ beating expecting mr.market อย่างเดียวก็พอ
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้า
.......................................................................................
โจ ลูกอิสาน Post subject: Posted: Wed May 21, 2008 9:53 pm
.....................................................................................
ผมพยายามมองอะไรให้ง่ายๆเข้าไว้ครับ
คือเรื่องซื้อหุ้นอย่างไรให้กำไร หรือพูดอีกอย่างว่าซื้อหุ้นอะไรที่ราคาขึ้น ถามต่อไปว่าอะไรที่ drive ราคาหุ้น บางคนบอกว่าก็มีคนซื้อมากกว่าคนอยากขายน่ะซิ ก็ไม่ผิดครับ แต่การที่มีคนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขายเค้าก็คงมีเหตุผลซึ่งน่าจะเป็นอย่างนี้ครับ..
1.ซื้อเพราะหุ้นตัวนั้นราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
2.ซื้อเพราะคาดว่าราคาจะขึ้น ประเด็นนี้หลากหลายหน่อย มีคนมา multipulate ราคาให้สูงขึ้นก็นับเป็นข้อนี้
แน่นอนว่าเราสนใจข้อแรก ข้อที่สองนี่เราควบคุมอะไรไม่ได้ ไม่มีแต้มต่อเลย เราก็ไม่ควรจะไปสนใจ ข้อแรกก็แน่นอนว่าพื้นฐานของกิจการประเด็นใหญ่คือกำไร ถ้าเป็นกำไรจริงๆไม่มีกลการบันทึกบัญชีซ่อนเร้น นักลงทุนทุกคนสนใจกำไร กำไรนี่เองที่ drive ราคาหุ้น เราก็หาหุ้นที่กำไรจะเพิ่มซิครับ ถ้าหาเจอแล้วก็ตามมาดูที่ราคาว่าตอบรับกับกำไรในอนาคตหรือยัง ถ้ายังเราก็หาประโยชน์จากส่วนต่างนั้น ทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สรุปอีกครั้งว่า ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำมาหาได้
น้องฮงถามต่อว่าเอ ถ้าเราสนใจกำไรรายปี รายไตรมาสอย่างนี้มิกลายเป็นนักเก็งกำไรเหรอ แถมไม่ทำตัวเป็นเจ้าของกิจการ เรื่องนี้ผมไม่มีไอเดีย แต่ผมลองมองย้อนกลับไปดูนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากๆอย่างวอร์เรน ดร.นิเวศน์หรือเสี่ยป. ทุกคนรู้ว่าทั้งสามท่านประสบความสำเร็จมาก มีเงินลงทุนมากถึงมากที่สุด ทุกคนดูหุ้นที่ท่านลงทุน แล้วสรุปเอาว่าท่านรวยมากจากหุ้นแบบนี้ ประเภทนี้ แต่ประเด็นที่ผมอยากตั้งคำถาม คือท่านลงทุนในหุ้นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นหรือเปล่า หรือเพิ่งมาลงทุนเมื่อท่านมีเงินลงทุนมากแล้ว
-ผมลองจินตนาการตัวเองว่าถ้ามีเงินระดับหลายร้อยล้าน หรือถึงล้านล้าน ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อจำกัดในการย้ายเงินทุน เวลาลงทุนก็ลงทุนในหุ้นเล็กๆไม่ได้ ต้องลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี dca แม้จะรู้ว่าได้รับผลตอบแทนไม่มากนักก็ตาม มีเงินพันล้านทำใด้แค่ปีละ 10% ก็คือ 100 ล.ใช้ชาตินึงก็ไม่หมด แต่ถ้าเรามี 100,000 ทำให้ 10% คือ 10,000 บ. ซึ่งเอาไปทำอะไรแทบไม่ได้เลยในยุคของแพงอย่างนี้ นั่นคือนักลงทุนที่มีชื่อเสียงลงทุนในหุ้นแบบที่เราเห็น เป็นเพราะสถานการณ์บังคับกลายๆให้ต้องลงทุนอย่างนั้น ได้ผลตอบแทนต่ำๆแลกกับความยั่งยืน มั่นคง มองในอดีตวอร์เรนทำผลตอบแทนได้สูงถึงปีละ 30-50% ซึ่งคงไม่ใช่เพราะลงทุนในหุ้นที่มี dca น่าจะเป็นหุ้นก้นบุหรี่มากกว่า ดร.นิเวศน์ก็เช่นกัน ท่านกำไรในหุ้นส่งออกหลังลอยตัวเงินบาท ไม่ใช่หุ้นที่มี dca แบบที่เรานิยมในปัจจุบัน สุดท้ายคือเสี่ยป. ท่านประสบความสำเร็จจากหุ้นเก็งกำไร พอรวยท่านก็ล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ต้องไปเสี่ยงกับหุ้นเก็งกำไรและเสี่ยงทางกฎหมายกับกลต. ได้ผลตอบแทนปีละ 10-15% ก็ใช้ไม่หมดแล้ว
ถามว่านักลงทุนรายย่อยทั่วไป มีข้อจำกัดอย่างนักลงทุนรายใหญ่หรือเปล่า จำเป็นหรือที่เราต้องลงทุนเหมือนกับนักลงทุนพอร์ตใหญ่ ทำไมไม่ใช้จุดแข็งของนักลงทุนพอร์ตเงินน้อยเพื่อสร้างความได้เปรียบ เรากำลังเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างอยู่หรือเปล่า
สรุปว่าตอนนี้ผมชอบหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ไม่เกี่ยงว่าจะมี dca หรือไม่ จะยั่งยืนหรือระยะสั้นไม่สนใจ และผมก็ไม่คิดว่าเป็นความผิดอะไรที่คนพอร์ตใหญ่ๆจะแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มั่นคง มีdca ต้องวิเคราะห์ five forces เค้าก็ถูกของเค้า เราก็ถูกของเรา ลงทุนให้เหมาะกับสถานะของตัวเราเองดีที่สุดครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376