สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงมากในช่วงนี้ทำให้ VI รุ่นเก่า ๆ อย่างผมและอาจจะอีกหลายคนที่เคยผ่านสภาวะตลาดหุ้นตกต่ำและ “อับเฉา” มานานรู้สึกกังวลว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะรวมถึงหุ้นที่ตนเองถืออยู่อาจจะมีราคาแพงเกิน “พื้นฐาน” และในไม่ช้าก็อาจจะตกลงมาได้มากมายเมื่อ “ฟองสบู่แตก” แน่นอนว่าจะต้องมีข้อถกเถียงว่าภาวะตลาดหุ้นตอนนี้เป็นฟองสบู่จริงหรือ? ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากนั้นดูแล้วก็ยังมีเหตุผลรองรับได้ ว่าที่จริงค่า PE ในปีหน้าที่วัดความถูก-แพงของหุ้นไทยก็ยังแค่ 13-14 เท่า พอ ๆ กับตลาดหุ้นอื่นในเอเชียและในโลก แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปีหน้านั้นจะเติบโตสูงกว่า ดังนั้น ในสายตาของนักวิเคราะห์จำนวนมาก หุ้นไทยยังน่าสนใจยิ่งกว่าอีกหลาย ๆ ตลาด ดังนั้น “ฟองสบู่” จึงยังไม่มี ถ้าจะมีบริษัทที่แพงจัดก็คงเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่มีการเก็งกำไรกันสูงและราคาขึ้นไปมากจนทำให้ PE สูงลิ่วเกิน 40 เท่า หรือบางบริษัทเป็นร้อยเท่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เรายังหาหุ้นที่ไม่แพงและน่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นแบบ VI ได้อีกไม่น้อย ดังนั้น เราก็จะยังลงทุนต่อไป เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือ “เกินร้อย” โดยการใช้มาร์จิน สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น VI หรือไม่ นี่เป็น “โอกาสทอง” ที่จะรวยได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ “กลัวอะไร?”
สิ่งที่ผมกลัวก็คือ กลัวว่ามันจะเป็น “ฟองสบู่” จริงอยู่ ราคาหุ้นอาจจะดูไม่แพงเมื่อมอง PE ในปีหน้า แต่ถ้าดูค่า PE ย้อนหลังหนึ่งปีซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่การคาดการณ์ ค่า PE ตอนนี้ก็น่าจะเกือบ 20 เท่าซึ่งก็ต้องถือว่าแพง แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าเหตุการณ์หรือสภาวะแวดล้อมและสัญญาณต่าง ๆ โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงจนบางวันกว่า 8 หมื่นล้านบาทนั้น มันบอกว่าฟองสบู่อาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้วและมันอาจจะแตกเมื่อไรก็ได้ ว่าที่จริงในตลาดหุ้นที่เป็นฟองสบู่เกือบทุกครั้งนั้น เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นฟองสบู่ จนถึงวันที่มันแตกนั่นแหละที่เราถึงรู้ว่ามันคือฟองสบู่ และทุกครั้งที่หุ้นขึ้นไปแรงมากมันก็มี “เหตุผล” เสมอ และมันไม่ใช่เหตุผลของคนธรรมดา แต่เป็นเหตุผลของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและ “เซียนหุ้น” ทั้งหลาย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว นี่เป็นเวลาที่ผม “กังวล” ความกังวลของผมนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการศึกษาประวัติศาสตร์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือประวัติของ เบน เกรแฮม กับ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่อาจจะคล้าย ๆ แบบนี้เหมือนกัน
ในปี 1969 นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในช่วงที่ “บูมจัด” มันเป็นการปรับตัวขึ้นที่ติดต่อกันมายาวนานเกือบ 20 ปี หลังจากประมาณปี 1950 ที่ตลาดหุ้นเริ่มวิ่งขึ้นอย่างแรงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงและเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มบูม วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น เข้าตลาดหุ้นเต็มที่ในปี 1957 เขาเข้ามาลงทุนในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างค่อนข้าง “มีเสถียรภาพ” มาตลอดจนถึง 1969 ที่ตลาดขึ้นไปอยู่ที่ “ดอย” ในความรู้สึกของเขา เขาตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเกือบหมดเพื่อคืนเงินให้กับคนที่เอาเงินมาให้เขาบริหารในห้างหุ้นส่วนที่เขาจัดตั้งขึ้น เขาบอกว่าเขาไม่สามารถหาหุ้นที่ถูกพอที่เขาจะลงทุนได้ ดังนั้น เขาจึงคืนเงินให้กับคนที่มาลงทุนกับเขา หลังจากนั้น เขาก็ “อยู่เฉย ๆ” และคงรอว่าเมื่อไรหุ้นจะตกลงมาจนมีราคาถูกพอที่จะให้เขากลับไปซื้อได้ อย่าลืมว่าในช่วงต้นของชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์ซึ่งก็คงประมาณ 12 ปีเศษ ๆ นั้น เขาเน้นการซื้อหุ้นราคาถูกแบบ เบน เกรแฮม
หลังจากบัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้ง ดัชนีดาวโจนส์ก็เริ่มปรับตัวลงมาบ้างแต่ก็ยังกระเด้งกลับเป็นระยะ ๆ อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาหุ้นคงจะไม่มากพอที่บัฟเฟตต์จะกลับเข้าไปซื้อเขาจึงยังนิ่งอยู่ เขาเล่าว่ามันเป็นเวลาการรอคอยที่ “ยาวนาน” และคงจะน่าเบื่อและ “ทรมาน” มากสำหรับเขา เขาบอกว่าเขาต้อง “นั่งทับมือตัวเอง” ไว้ในขณะที่มองดูเพื่อนฝูงและนักลงทุนคนอื่นรวยเอา ๆ เป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 1973 ซึ่ง “ฟองสบู่แตก” อันเป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปสูงลิ่ว อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 10% สงครามเวียตนามกำลังร้อนแรงและเงินเฟ้อขึ้นสูงลิ่ว ดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาถึง 45% ภายในเวลาปีครึ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งบริหารกองทุนของเขาเองนั้นขาดทุนไปกว่า 50% แต่บัฟเฟตต์เองมีเงินสด “เต็มมือ” เขาเข้าไปซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำสุดขีดและเต็มไปด้วยความ “โลภ” เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกเหมือนชายที่อดอยากขาดเซ็กส์มานานที่ตกเข้าไปในฮาร์เร็ม” พอถึงสิ้นปี 1974 เงินทั้งหมดของเขาก็กลับเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น แต่ในตอนนี้เขากลับไม่ซื้อหุ้น “ถูก ๆ” แบบเกรแฮมที่เคยทำ เขาเริ่มซื้อหุ้นของกิจการ “สุดยอด” ในราคาที่ต่ำมากเช่น วอชิงตันโพสต์ ในปริมาณที่มากจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาทำได้เพราะหุ้นคงจะถูกมาก
ผมไม่แน่ใจว่าบัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้งและหลีกเลี่ยง “หายนะ” ในปี 1973-74 ได้เพราะเขามีบทเรียนจาก เบน เกรแฮม หรือไม่ แต่ประวัติศาสตร์บอกว่า เกรแฮมนั้น “เจ๊งหุ้น” ในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาเกือบ 90% ในเวลาประมาณ 3 ปีจนถึงปี 1932-33 เพราะเขาไม่ได้ขายหุ้นทิ้งในยามที่ตลาดหุ้นบูมแบบ “บ้าคลั่ง” แต่ “ผู้เชี่ยวชาญ” นักวิเคราะห์ และแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโนเบลไพรซ์ บอกว่าตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น “อย่างมีเหตุผล” หลังจากที่มัน “หักปากกา” คนที่พร่ำพูดว่าหุ้นแพงเกินไปมาตลอดครั้งแล้วครั้งเล่า “หายนะ” ครั้งนั้นทำให้หุ้นตกลงมามโหฬารและทำให้หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำจนไม่น่าเชื่อซึ่งทำให้เกรแฮมกลับเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นที่ราคาต่ำแบบ “แบกับดิน” ซึ่งมีอยู่มากมาย ในระหว่างนั้นเขาได้เริ่มสอนวิชาการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและได้รวบรวมคำสอนเขียนเป็นหนังสือชื่อ Securities Analysis ซึ่งกลายเป็น “ไบเบิล” ของการลงทุนแบบ Value Investments ในเวลาต่อมา
เบน เกรแฮม นั้น ในที่สุดก็สามารถ “ชดใช้” คือทำผลตอบแทนคืนให้คนที่นำเงินมาให้เขาลงทุนและขาดทุนในปี 1929 ได้ด้วยหลักการการลงทุนแบบ VI ที่เขาคิดขึ้น ส่วนตัวเขาเองนั้น เขาก็ลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยวัยที่สูง เขาเกษียณอายุไปด้วยเงินไม่มาก แค่เพียงพอใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสบายในฝรั่งเศสและเสียชีวิตไปนานแล้วและกลายเป็นตำนานที่คนเรียกว่า “บิดาแห่ง VI” ส่วน วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น ตั้งแต่กลับมาลงทุนหลังวิกฤติปี 1973-74 เขาก็ปรับตัวไม่เน้นการลงทุนแบบ VI ดั้งเดิมที่เน้นซื้อหุ้นถูก แต่ชอบที่จะลงทุนหุ้นแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” และถือหุ้นยาวแบบแทบจะไม่ขายเลยไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน เขาอาจจะค้นพบว่าถ้าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมจริง ๆ แล้ว ความจำเป็นต้องขายแทบจะไม่มี ดังนั้น หลังจากวิกฤติปี 1973 แล้ว เขาก็ไม่เคย “ออกจากตลาดหุ้น” อีกเลย อาจจะมีบ้างในบางช่วงที่หุ้นอาจจะแพงจนหาหุ้นที่จะลงทุนไม่ใคร่ได้ สิ่งที่เขาจะทำก็คือการ “สะสมเงินสด” ที่อาจจะได้จากปันผลหรืออื่น ๆ ให้มากเพื่อรอว่าจะได้มีโอกาสซื้อหุ้นที่อาจจะตกลงมามาก ๆ ในยามที่เกิดวิกฤติ ซึ่งเขาก็เพิ่งได้ทำเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจาก “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” ในปี 2008 ที่เขาได้เข้าซื้อหุ้นของกิจการดี ๆ จำนวนมากในราคาที่ถูกสุด ๆ และนี่ก็คือคนที่กลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตในฐานะนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ผมเองก็ไม่ได้แนะนำว่า VI ของไทยในช่วงนี้ควรที่จะทำตามสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำในปี 1969 แม้ว่าจะมีอะไรหรือมีสถานการณ์บางอย่างเหมือนกัน นอกจากนั้น การที่บัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้งในปี 1969 นั้น แม้ว่าจะดูเหมือนว่าตัดสินใจถูกต้อง แต่ที่จริงถ้าเขาตัดสินใจถือไปอีก 1-2 ปี เขาก็อาจจะได้ผลตอบแทนดีขึ้นไปอีก ดังนั้น สิ่งที่ VI จะทำจึงควรต้องคิดคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เฉพาะตัวของตนเองประกอบด้วย ประวัติศาสตร์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องทำตาม มันเป็นเพียงสิ่งที่เราต้องตระหนักและคิดตามเท่านั้น
คลิกไปแหล่งที่มา THaiVI
VI กับ ฟองสบู่
สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงมากในช่วงนี้ทำให้ VI รุ่นเก่า ๆ อย่างผมและอาจจะอีกหลายคนที่เคยผ่านสภาวะตลาดหุ้นตกต่ำและ “อับเฉา” มานานรู้สึกกังวลว่าราคาหุ้นส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะรวมถึงหุ้นที่ตนเองถืออยู่อาจจะมีราคาแพงเกิน “พื้นฐาน” และในไม่ช้าก็อาจจะตกลงมาได้มากมายเมื่อ “ฟองสบู่แตก” แน่นอนว่าจะต้องมีข้อถกเถียงว่าภาวะตลาดหุ้นตอนนี้เป็นฟองสบู่จริงหรือ? ราคาหุ้นที่ขึ้นมามากนั้นดูแล้วก็ยังมีเหตุผลรองรับได้ ว่าที่จริงค่า PE ในปีหน้าที่วัดความถูก-แพงของหุ้นไทยก็ยังแค่ 13-14 เท่า พอ ๆ กับตลาดหุ้นอื่นในเอเชียและในโลก แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในปีหน้านั้นจะเติบโตสูงกว่า ดังนั้น ในสายตาของนักวิเคราะห์จำนวนมาก หุ้นไทยยังน่าสนใจยิ่งกว่าอีกหลาย ๆ ตลาด ดังนั้น “ฟองสบู่” จึงยังไม่มี ถ้าจะมีบริษัทที่แพงจัดก็คงเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่มีการเก็งกำไรกันสูงและราคาขึ้นไปมากจนทำให้ PE สูงลิ่วเกิน 40 เท่า หรือบางบริษัทเป็นร้อยเท่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เรายังหาหุ้นที่ไม่แพงและน่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นแบบ VI ได้อีกไม่น้อย ดังนั้น เราก็จะยังลงทุนต่อไป เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือ “เกินร้อย” โดยการใช้มาร์จิน สำหรับนักลงทุนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น VI หรือไม่ นี่เป็น “โอกาสทอง” ที่จะรวยได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ “กลัวอะไร?”
สิ่งที่ผมกลัวก็คือ กลัวว่ามันจะเป็น “ฟองสบู่” จริงอยู่ ราคาหุ้นอาจจะดูไม่แพงเมื่อมอง PE ในปีหน้า แต่ถ้าดูค่า PE ย้อนหลังหนึ่งปีซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่การคาดการณ์ ค่า PE ตอนนี้ก็น่าจะเกือบ 20 เท่าซึ่งก็ต้องถือว่าแพง แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าเหตุการณ์หรือสภาวะแวดล้อมและสัญญาณต่าง ๆ โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่สูงจนบางวันกว่า 8 หมื่นล้านบาทนั้น มันบอกว่าฟองสบู่อาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้วและมันอาจจะแตกเมื่อไรก็ได้ ว่าที่จริงในตลาดหุ้นที่เป็นฟองสบู่เกือบทุกครั้งนั้น เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นฟองสบู่ จนถึงวันที่มันแตกนั่นแหละที่เราถึงรู้ว่ามันคือฟองสบู่ และทุกครั้งที่หุ้นขึ้นไปแรงมากมันก็มี “เหตุผล” เสมอ และมันไม่ใช่เหตุผลของคนธรรมดา แต่เป็นเหตุผลของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและ “เซียนหุ้น” ทั้งหลาย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว นี่เป็นเวลาที่ผม “กังวล” ความกังวลของผมนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการศึกษาประวัติศาสตร์ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือประวัติของ เบน เกรแฮม กับ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่อาจจะคล้าย ๆ แบบนี้เหมือนกัน
ในปี 1969 นั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ในช่วงที่ “บูมจัด” มันเป็นการปรับตัวขึ้นที่ติดต่อกันมายาวนานเกือบ 20 ปี หลังจากประมาณปี 1950 ที่ตลาดหุ้นเริ่มวิ่งขึ้นอย่างแรงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงและเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มบูม วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น เข้าตลาดหุ้นเต็มที่ในปี 1957 เขาเข้ามาลงทุนในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างค่อนข้าง “มีเสถียรภาพ” มาตลอดจนถึง 1969 ที่ตลาดขึ้นไปอยู่ที่ “ดอย” ในความรู้สึกของเขา เขาตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเกือบหมดเพื่อคืนเงินให้กับคนที่เอาเงินมาให้เขาบริหารในห้างหุ้นส่วนที่เขาจัดตั้งขึ้น เขาบอกว่าเขาไม่สามารถหาหุ้นที่ถูกพอที่เขาจะลงทุนได้ ดังนั้น เขาจึงคืนเงินให้กับคนที่มาลงทุนกับเขา หลังจากนั้น เขาก็ “อยู่เฉย ๆ” และคงรอว่าเมื่อไรหุ้นจะตกลงมาจนมีราคาถูกพอที่จะให้เขากลับไปซื้อได้ อย่าลืมว่าในช่วงต้นของชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์ซึ่งก็คงประมาณ 12 ปีเศษ ๆ นั้น เขาเน้นการซื้อหุ้นราคาถูกแบบ เบน เกรแฮม
หลังจากบัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้ง ดัชนีดาวโจนส์ก็เริ่มปรับตัวลงมาบ้างแต่ก็ยังกระเด้งกลับเป็นระยะ ๆ อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาหุ้นคงจะไม่มากพอที่บัฟเฟตต์จะกลับเข้าไปซื้อเขาจึงยังนิ่งอยู่ เขาเล่าว่ามันเป็นเวลาการรอคอยที่ “ยาวนาน” และคงจะน่าเบื่อและ “ทรมาน” มากสำหรับเขา เขาบอกว่าเขาต้อง “นั่งทับมือตัวเอง” ไว้ในขณะที่มองดูเพื่อนฝูงและนักลงทุนคนอื่นรวยเอา ๆ เป็นเวลา 3 ปีจนถึงปี 1973 ซึ่ง “ฟองสบู่แตก” อันเป็นผลจากการที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปสูงลิ่ว อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจาก 5 เป็น 10% สงครามเวียตนามกำลังร้อนแรงและเงินเฟ้อขึ้นสูงลิ่ว ดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาถึง 45% ภายในเวลาปีครึ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ ซึ่งบริหารกองทุนของเขาเองนั้นขาดทุนไปกว่า 50% แต่บัฟเฟตต์เองมีเงินสด “เต็มมือ” เขาเข้าไปซื้อหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำสุดขีดและเต็มไปด้วยความ “โลภ” เขาเล่าว่า “ผมรู้สึกเหมือนชายที่อดอยากขาดเซ็กส์มานานที่ตกเข้าไปในฮาร์เร็ม” พอถึงสิ้นปี 1974 เงินทั้งหมดของเขาก็กลับเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้น แต่ในตอนนี้เขากลับไม่ซื้อหุ้น “ถูก ๆ” แบบเกรแฮมที่เคยทำ เขาเริ่มซื้อหุ้นของกิจการ “สุดยอด” ในราคาที่ต่ำมากเช่น วอชิงตันโพสต์ ในปริมาณที่มากจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาทำได้เพราะหุ้นคงจะถูกมาก
ผมไม่แน่ใจว่าบัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้งและหลีกเลี่ยง “หายนะ” ในปี 1973-74 ได้เพราะเขามีบทเรียนจาก เบน เกรแฮม หรือไม่ แต่ประวัติศาสตร์บอกว่า เกรแฮมนั้น “เจ๊งหุ้น” ในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นร่วงลงมาเกือบ 90% ในเวลาประมาณ 3 ปีจนถึงปี 1932-33 เพราะเขาไม่ได้ขายหุ้นทิ้งในยามที่ตลาดหุ้นบูมแบบ “บ้าคลั่ง” แต่ “ผู้เชี่ยวชาญ” นักวิเคราะห์ และแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโนเบลไพรซ์ บอกว่าตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น “อย่างมีเหตุผล” หลังจากที่มัน “หักปากกา” คนที่พร่ำพูดว่าหุ้นแพงเกินไปมาตลอดครั้งแล้วครั้งเล่า “หายนะ” ครั้งนั้นทำให้หุ้นตกลงมามโหฬารและทำให้หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำจนไม่น่าเชื่อซึ่งทำให้เกรแฮมกลับเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นที่ราคาต่ำแบบ “แบกับดิน” ซึ่งมีอยู่มากมาย ในระหว่างนั้นเขาได้เริ่มสอนวิชาการวิเคราะห์หลักทรัพย์ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและได้รวบรวมคำสอนเขียนเป็นหนังสือชื่อ Securities Analysis ซึ่งกลายเป็น “ไบเบิล” ของการลงทุนแบบ Value Investments ในเวลาต่อมา
เบน เกรแฮม นั้น ในที่สุดก็สามารถ “ชดใช้” คือทำผลตอบแทนคืนให้คนที่นำเงินมาให้เขาลงทุนและขาดทุนในปี 1929 ได้ด้วยหลักการการลงทุนแบบ VI ที่เขาคิดขึ้น ส่วนตัวเขาเองนั้น เขาก็ลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยวัยที่สูง เขาเกษียณอายุไปด้วยเงินไม่มาก แค่เพียงพอใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสบายในฝรั่งเศสและเสียชีวิตไปนานแล้วและกลายเป็นตำนานที่คนเรียกว่า “บิดาแห่ง VI” ส่วน วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น ตั้งแต่กลับมาลงทุนหลังวิกฤติปี 1973-74 เขาก็ปรับตัวไม่เน้นการลงทุนแบบ VI ดั้งเดิมที่เน้นซื้อหุ้นถูก แต่ชอบที่จะลงทุนหุ้นแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” และถือหุ้นยาวแบบแทบจะไม่ขายเลยไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปมากน้อยแค่ไหน เขาอาจจะค้นพบว่าถ้าเป็นหุ้นที่ดีเยี่ยมจริง ๆ แล้ว ความจำเป็นต้องขายแทบจะไม่มี ดังนั้น หลังจากวิกฤติปี 1973 แล้ว เขาก็ไม่เคย “ออกจากตลาดหุ้น” อีกเลย อาจจะมีบ้างในบางช่วงที่หุ้นอาจจะแพงจนหาหุ้นที่จะลงทุนไม่ใคร่ได้ สิ่งที่เขาจะทำก็คือการ “สะสมเงินสด” ที่อาจจะได้จากปันผลหรืออื่น ๆ ให้มากเพื่อรอว่าจะได้มีโอกาสซื้อหุ้นที่อาจจะตกลงมามาก ๆ ในยามที่เกิดวิกฤติ ซึ่งเขาก็เพิ่งได้ทำเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังจาก “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” ในปี 2008 ที่เขาได้เข้าซื้อหุ้นของกิจการดี ๆ จำนวนมากในราคาที่ถูกสุด ๆ และนี่ก็คือคนที่กลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตในฐานะนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ผมเองก็ไม่ได้แนะนำว่า VI ของไทยในช่วงนี้ควรที่จะทำตามสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำในปี 1969 แม้ว่าจะมีอะไรหรือมีสถานการณ์บางอย่างเหมือนกัน นอกจากนั้น การที่บัฟเฟตต์ขายหุ้นทิ้งในปี 1969 นั้น แม้ว่าจะดูเหมือนว่าตัดสินใจถูกต้อง แต่ที่จริงถ้าเขาตัดสินใจถือไปอีก 1-2 ปี เขาก็อาจจะได้ผลตอบแทนดีขึ้นไปอีก ดังนั้น สิ่งที่ VI จะทำจึงควรต้องคิดคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ เฉพาะตัวของตนเองประกอบด้วย ประวัติศาสตร์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องทำตาม มันเป็นเพียงสิ่งที่เราต้องตระหนักและคิดตามเท่านั้น
คลิกไปแหล่งที่มา THaiVI