[แชร์ประสบการณ์] เรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีขาดประโยชน์จากการใช้รถ

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา  ผมถูกรถแท็กซี่ชนท้าย ตอนที่เรียกประกันมา ผมถามประกันว่า จะเรียกค่าขาดประโยชน์ได้หรือไม่ พนักงานประกันของฝ่ายผมบอกว่า "ได้แน่นอนพี่ ปกติเวลารถเราไปชนแท็กซี่ เค้าก็เรียกวันละ 500 บาท"  
       ระหว่างรอประกันคู่กรณี ผมก็ถามพนักงานประกันของฝ่ายผมเกี่ยวกับเลขเคลม  พนักงานบอกว่า "พี่ไม่ต้องรอก็ได้ เดี๋ยวผมส่งไลน์ให้ พี่ add ไลน์ผมนะ" นั่นคือการตัดสินใจผิดอย่างที่หนึ่ง เพราะหลังจากที่ผมกลับไปก่อนไม่ได้รอเลขเคลมของคู่กรณี ผมบอกให้พนักงานประกันฝ่ายผม ถ่ายแล้วส่งไลน์มาประมาณ 3 ครั้ง ปรากฏว่า มองไม่เห็นเลย คิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวตอนรถออกจากศูนย์ ค่อยขออีกทีก็ได้ (ซึ่งเป็นการคิดผิดครั้งที่สอง)
       เนื่องจากรถผมใช้ทุกวันกว่าจะรอให้มีเวลาว่างยาวๆ เพื่อจะเอารถเข้าซ่อมที่ศูนย์ ก็ผ่านไปเดือนนึง ผมแวะไปทำเรื่องเคลมก่อนหน้าประมาณ 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นก็เอารถเข้าศูนย์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557  ซึ่งกำหนดรับรถคือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 รวมเวลา 12 วัน
        หลังจากรับรถในวันที่ 21  ผมก็หารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีขาดประโยชน์จากการใช้รถ
มีหลายคนแชร์ไว้  บางคนได้วันละ 300 บาท บางคน 500 บาท  บางคนบอกรอนานมากไม่ต้องไปเรียกร้องเสียเวลา
         แต่เนื่องจากบ้านผมอยู่แถวบางมด ต้องเดินทางไปทำงานแถวแยกพัฒนาการ ศรีนครินทร์ ซึ่งเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หากไม่ได้ขับรถไปเอง  ผมจึงมีความจำเป็นต้องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์  แต่ผมไม่สะดวกเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของประกันคู่กรณี จึงโทรไปติดต่อฝ่ายสินไหมทดแทน  ได้ความว่า "ต้องเข้าไปเขียนเอกสารที่สำนักงานใหญ่และเจรจาค่าสินไหมตัวตนเอง"
          ซึ่งผมไม่สะดวกที่จะเดินทางไป  ผมดูใน website ของประกันคู่กรณี มีช่องทาง contact us (ซึ่งผมคิดว่ามีทุก website) ผมกรอกรายละเอียด เกี่ยวกับเหตุการณ์ลงไปว่า "ผมถูกรถทะเบียน ......... ซึ่งใช้ประกันของท่าน ได้รับความเสียหาย ต้องซ่อมรถประมาณ 12 วัน ผมต้องการเรียกร้อง ค่าขาดประโยชน์ในระหว่างที่ไม่มีรถใช้ แต่ผมไม่สะดวกเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่ของท่าน เพราะหากเดินทางไป ผมมีความจำเป็นต้องเรียกค่าเสียเวลาจากการหยุดงาน 1 วัน เป็นเงิน xxxx บาท ดังนั้นขอให้ท่านพิจารณาให้ผมส่งเอกสารทาง email หรือ fax"
          หลังจากที่ผมส่ง mail ผ่าน contact us ไป ประมาณ 1 วัน มีพนักงานจากบริษัทประกันคู่กรณีโทรมา สอบถามเกี่ยวกับค่าสินไหมที่ผมจะเรียกร้องและถามผมว่าจะเรียกร้องเท่าไหร่  ผมแจ้งไปว่า ผมต้องการวันละ 900 บาท จำนวน 12 วัน ซึ่ง 900 บาทนั้นเป็นค่าเดินทางในขณะที่ผมไม่มีรถใช้ซึ่งแน่นอนว่า พนักงานจากประกันจะต้องต่อรอง เบื้องต้นพนักงานจากประกันแจ้งผมว่า จะต้องเข้าไปเจรจาที่สำนักงานใหญ่ ผมบอกอีกครั้งว่า
ผมไม่สะดวกถ้าไปต้องลางานไป ผมขอคิดค่าเสียเวลาตามค่าแรงที่ผมได้ 1 วันเป็นเงิน xxxx บาท  พนักงานประกันบอกไม่เชื่อว่า ค่าแรงผมจะเท่ากับที่ผมบอก  และให้ fax หลักฐาน 50(ทวิ) ที่แสดงรายได้ของผมไปให้ดู  แต่หลังจากที่คุยกัน พนักงานประกันบอกไม่ต้อง fax ก็ได้ ขอนำเรื่องที่ผมแจ้งไป
ขออนุมัติกับผู้มีอำนาจก่อน
         ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ยังไม่มีการติดต่อมาจากบริษัทประกัน  ระหว่างนั้นผมก็ไลน์บอกพนักงานประกันฝ่ายผมให้ส่งเลขเคลมมาให้ (เผื่อว่าจะต้องใช้) แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เลขเคลม
         หลังจากที่ผมรอเวลาพอสมควรแล้ว  ผมก็ร่างเอกสารเหมือนกับที่ผมส่ง mail ไปครั้งแรก พร้อมแนบหลักฐานแสดงรายได้ของผม ส่ง fax ให้ประกันคู่กรณี  ผ่านไป 1 วัน เจ้าหน้าที่ประกันคู่กรณีก็ติดต่อกลับมา  โดยขอต่อรองค่าสินไหมและจำนวนวัน  สำหรับจำนวนวัน ขอให้นับเฉพาะวันที่ทำงาน ซึ่งผมบอกว่า ได้ แต่ต้องนับวันเสาร์ด้วยเพราะผมทำงานวันเสาร์ นับกันอีกครั้งได้ 10 วัน  สำหรับค่าสินไหมต่อวัน พนักงานประกันคู่กรณีขอให้ลดจาก 900 บาท เป็นจำนวนอื่น เพราะสูงไปจะไม่ผ่านการอนุมัติ  ผมบอกว่า ยอมได้น้อยที่สุด 700 บาท  เจ้าหน้าที่ประกันคู่กรณีบอกว่า จะเอาไปขออนุมัติอีกครั้ง
ผ่านไปอีก 1 อาทิตย์ เจ้าหน้าที่ประกันคู่กรณีโทรมาขอสำเนาบัตรประชาชน สำเนาบัญชีหน้าแรก และสำเนาทะเบียนรถของผม บอกจะโอนเงินให้  ผม fax เอกสารไป รอ 1 อาทิตย์ก็มีเงินเข้าบัญชีจำนวน 7000 บาท

จากประสบการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่า
1. ถ้าเป็นฝ่ายถูก ผมมีสิทธิ์เรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (ขับรถมา 9 ปี ถูกแท็กซี่ชนท้าย 2 ครั้งไม่เคยเรียก)
2. หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการเคลมควรรอรับให้ครบในวันเกิดเหตุ (จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้เลขเคลม)
3. ไม่บีบคั้น แต่ก็ไม่ละเลยในการติดตามผลที่ร้องเรียนไป และควรถามชื่อเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง (ผมให้เวลาครั้งละ 1 อาทิตย์ เพราะคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว)

ปล. บางคนบอกว่า เค้าซ่อมรถให้ก็ดีแล้ว ไปเรียกร้องทำไม  ผมอยากจะบอกว่า ใครอยากจะเอารถตัวเองไปซ่อม ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเกิดแล้วจะต้องมีผู้รับผิดชอบ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่