เพราะมาถึงยุคนี้ ..... พรรคการเมืองบางส่วนได้ปรับบทบาทก้าวข้ามการแข่นขันโต้วาทีในรัฐสภา
จากที่แค่เอาเก้าอี้ให้รอดและรักษาการในตำแหน่งฝ่ายบริหารไปวันๆ
......
เปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันประกวดแนวคิดการวางทิศทาง
และงานบริหารผลักดันเนื้องาน เพื่อสนองต่อประชาชนกันอย่างจริงจัง
ซึ่งกลายเป็นการทำงานที่เข้าไกล้ความเป็นอุดมคติของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ
แถมทั้งสององค์กรกำลังสวมบทบาทเป็นพรรคการเมืองย่อยๆในเครือประชาธิปัตย์เสียเอง
ซึ่งขัดแย้งกับหลักการที่องค์กรของรัฐในระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็นอย่างจัง
สมัยป๋าเปรม ท่านไม่มีนโยบายอะไรชัดเจน....
เมื่อได้อำนาจบริหารก็เข้ามาก็ไม่รูจะเดินไปทางไหนดี
....ข้าราชการประจำก็ไม่ถนัดงานที่ต้องใช้วิสัยทัศน์ งานแนวโน้มทิศทาง งานที่ต้องอาศัยสถิติหนุน
หลักๆได้แค่งานปฏิบัติการไปตามเรื่องตามราว
เป็นงานรักษาการณ์ มากกว่างานบุกเบิก และแม้จะมีงานบุกเบิกอยู่บ้างก็ต่างหน่วยต่างทำ
ไม่ได้ถึงขั้นร่วมประสานเป็นกลยุทธ์ระดับประเทศ
ท่านเลยตั้งองค์กรเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งช่วยในการพัฒนาประเทศ แนะนำทิศทางแก่รัฐบาลได้ดีสมน้ำสมเนื้อ
และท่านการบริหารงานของท่านั้นเหมาะสมกับยุคสมัยดีมาก ถือเป็นคุณความดีของท่านต่อประเทศชาติ
ว่ากันตรงๆยุคนั้น สภาพัฒน์ และ TDRI + นักธุรกิจกลุ่มลูกป๋า... คือผู้ทำนโยบายให้รัฐบาลเปรม...
รัฐบาลหลังจากนั้น เลยไม่ต้องคิดมาก นโยบายหรือก็ลอกสภาพัฒน์มานั่นหละ
ได้อำนาจก็อ่านแถลงนโยบายกันข้ามวัน ....
มาถึงยุคพรรคไทยรักไทย.... ทุกสิ่งเปลี่ยนไป
สภาพัฒน์ ถูกวัฒนธรรมองค์กรของระบอบราชการกลืนไปเรียบร้อยก่อนหน้านั้นหลายปี,
แถม TDRI ก็ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไร คนของทั้งสององค์กรณ์ เล่นกอดอะไรกันก็ไม่รู้
แนวคิดตกยุคจนกลายเป็นถนัดงานรักษาการณ์มากกว่างานบุกเบิกไปทั้งคู่
เนื้องานรายงานที่ออกสู่สาธารณชนแต่ละอย่าง เลยหลุดโฟกัสไปเยอะพอดู
มีแต่เรื่องนามธรรมเป็นไปหมด
เช่น...จากสถิติเราส่งออกตัวนั้นเพิ่มขึ้นเท่านั้นเท่านี้ ควรต้องรักษาระดับใว้
และเพิ่มตัวไหนบ้าง แต่มันอยู่ในกรอบเดิมๆทั้งหมดเลย ไม่ค่อยมีเรื่องทิศทาง งานบุกเบิก
มีแต่รายงานสถานการณ์เฉยๆ แทบไม่เห็นการชี้แนะตัวแปรอะไรที่จะหนุนทิศทางการตัดสินใจได้เลย
ยังดีที่มีระบบสถิติหนุน ไม่งั้นคนอ่านก็คงแย่ เพราะหลุดพื้นฐานที่องค์กรควรจะมีไปเยอะพอดู
ทั้งสององค์กรนี้ จะชิงพัฒนาปรับบทบาทตัวเองให้สำเร็จ ไม่ว่าจะการกลับไปยืนในหน้าที่เดิมให้ได้ครบถ้วนซึ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง
หรือการปรับเป้าเน้นงานเฉพาะทางมากขึ้นไปอีก ไม่ต้องเน้นเป้าเยอะแยะทุกเรื่อง
มีเป้าน้อยๆก็ได้ แต่ให้ชี้ทิศทาง มีวิธีการ ปฏิบัติได้ วัดผลใช้การได้จริงจัง
ก่อนที่จะถูกสังคมบีบให้ต้องเปลี่ยนได้ทันหรือไม่
รอดูกันไปครับ
ถึงเวลาที่สภาพัฒน์ และ TDRI ต้องปรับเปลี่ยนบทบาท...อีกสักสองรอบ
จากที่แค่เอาเก้าอี้ให้รอดและรักษาการในตำแหน่งฝ่ายบริหารไปวันๆ
......
เปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันประกวดแนวคิดการวางทิศทาง
และงานบริหารผลักดันเนื้องาน เพื่อสนองต่อประชาชนกันอย่างจริงจัง
ซึ่งกลายเป็นการทำงานที่เข้าไกล้ความเป็นอุดมคติของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ
แถมทั้งสององค์กรกำลังสวมบทบาทเป็นพรรคการเมืองย่อยๆในเครือประชาธิปัตย์เสียเอง
ซึ่งขัดแย้งกับหลักการที่องค์กรของรัฐในระบอบประชาธิปไตยควรจะเป็นอย่างจัง
สมัยป๋าเปรม ท่านไม่มีนโยบายอะไรชัดเจน....
เมื่อได้อำนาจบริหารก็เข้ามาก็ไม่รูจะเดินไปทางไหนดี
....ข้าราชการประจำก็ไม่ถนัดงานที่ต้องใช้วิสัยทัศน์ งานแนวโน้มทิศทาง งานที่ต้องอาศัยสถิติหนุน
หลักๆได้แค่งานปฏิบัติการไปตามเรื่องตามราว
เป็นงานรักษาการณ์ มากกว่างานบุกเบิก และแม้จะมีงานบุกเบิกอยู่บ้างก็ต่างหน่วยต่างทำ
ไม่ได้ถึงขั้นร่วมประสานเป็นกลยุทธ์ระดับประเทศ
ท่านเลยตั้งองค์กรเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งช่วยในการพัฒนาประเทศ แนะนำทิศทางแก่รัฐบาลได้ดีสมน้ำสมเนื้อ
และท่านการบริหารงานของท่านั้นเหมาะสมกับยุคสมัยดีมาก ถือเป็นคุณความดีของท่านต่อประเทศชาติ
ว่ากันตรงๆยุคนั้น สภาพัฒน์ และ TDRI + นักธุรกิจกลุ่มลูกป๋า... คือผู้ทำนโยบายให้รัฐบาลเปรม...
รัฐบาลหลังจากนั้น เลยไม่ต้องคิดมาก นโยบายหรือก็ลอกสภาพัฒน์มานั่นหละ
ได้อำนาจก็อ่านแถลงนโยบายกันข้ามวัน ....
มาถึงยุคพรรคไทยรักไทย.... ทุกสิ่งเปลี่ยนไป
สภาพัฒน์ ถูกวัฒนธรรมองค์กรของระบอบราชการกลืนไปเรียบร้อยก่อนหน้านั้นหลายปี,
แถม TDRI ก็ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไร คนของทั้งสององค์กรณ์ เล่นกอดอะไรกันก็ไม่รู้
แนวคิดตกยุคจนกลายเป็นถนัดงานรักษาการณ์มากกว่างานบุกเบิกไปทั้งคู่
เนื้องานรายงานที่ออกสู่สาธารณชนแต่ละอย่าง เลยหลุดโฟกัสไปเยอะพอดู
มีแต่เรื่องนามธรรมเป็นไปหมด
เช่น...จากสถิติเราส่งออกตัวนั้นเพิ่มขึ้นเท่านั้นเท่านี้ ควรต้องรักษาระดับใว้
และเพิ่มตัวไหนบ้าง แต่มันอยู่ในกรอบเดิมๆทั้งหมดเลย ไม่ค่อยมีเรื่องทิศทาง งานบุกเบิก
มีแต่รายงานสถานการณ์เฉยๆ แทบไม่เห็นการชี้แนะตัวแปรอะไรที่จะหนุนทิศทางการตัดสินใจได้เลย
ยังดีที่มีระบบสถิติหนุน ไม่งั้นคนอ่านก็คงแย่ เพราะหลุดพื้นฐานที่องค์กรควรจะมีไปเยอะพอดู
ทั้งสององค์กรนี้ จะชิงพัฒนาปรับบทบาทตัวเองให้สำเร็จ ไม่ว่าจะการกลับไปยืนในหน้าที่เดิมให้ได้ครบถ้วนซึ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง
หรือการปรับเป้าเน้นงานเฉพาะทางมากขึ้นไปอีก ไม่ต้องเน้นเป้าเยอะแยะทุกเรื่อง
มีเป้าน้อยๆก็ได้ แต่ให้ชี้ทิศทาง มีวิธีการ ปฏิบัติได้ วัดผลใช้การได้จริงจัง
ก่อนที่จะถูกสังคมบีบให้ต้องเปลี่ยนได้ทันหรือไม่
รอดูกันไปครับ