เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ที่ห้องประชุมสภานักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง นายสุพัฒน์ อาษาศรี เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) นายนันทพงศ์ ปานมาศ รองประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และนายฮากิม พงตีกอ รองประธานสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี ร่วมกันออกแถลงการณ์ต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ที่แยกอุรุพงษ์
โดยนายสุพัฒน์ ได้อ่านแถลงการณ์มีใจความว่า หลังการรัฐประหารปี2549 ทำให้การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยิ่งชัดเจนขึ้น ซึ่งทางฝ่ายเผด็จการได้วางรากฐานอำนาจไว้ทั้งองค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ พรรคการเมือง เพื่อแช่แข็งประเทศให้อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลัง แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ประชาธิปไตย แต่ก็ยังมีกลุ่มลิ่วล้อของเผด็จการหลงยุค ปักหลักชุมนุมอยู่ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลังอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อกลุ่มแกนนำผลัดเปลี่ยนขึ้นมาแสดงบทบาท พร้อมกับข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยแช่แข็งประเทศ และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยกลุ่มลิ่วล้อและเครือข่ายเผด็จการหลงยุค มักใช้ปัญหาต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขมาสร้างสถานการณ์ปลุกระดมมวลชนเช่นปัญหาราคายางพารา ปัญหาชายแดน โดยเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มขับเคลื่อนต่อไป
สนนท.ขอให้กลุ่มลิ่วล้อและเผด็จการหลงยุค หยุดการกระทำที่นำไปสู่การล้มระบอบประชาธิปไตย เพื่อรื้อฟื้นอำนาจเก่าล้าหลัง เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย
นายสุพัฒน์กล่าวต่อว่า สนนท.ไม่เห็นด้วยในทุกกรณีใดๆ ทั้งการทำลายระบอบประชาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญ โดยนำความทุกข์ยากของประชาชนมาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เผด็จการนอกสภา จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจให้เคารพกฎเกณฑ์บ้านเมือง
ด้าน นายนันทพงศ์ กล่าวว่า จากกรณีที่ นายอุทัย ยอดมณี นายกองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง และนศ.ม.รามคำแหงจำนวนหนึ่งไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท. โดยอ้างชื่อม.รามคำแหงนั้น ขอยืนยันว่าองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงมีคณะกรรมการ 12 คน แต่ที่ไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท.มีเพียง2คน ที่เหลือต่างไม่เห็นด้วย และไม่เคยมีการประชุมอนุมัติให้ไปร่วมเคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในการอ้างชื่อองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงไปร่วมเคลื่อนไหว เพราะที่ผ่านมาพวกเราเคารพในประชาธิปไตย และสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่ารัฐบาลจะทำไม่ถูกไม่ควร แต่ก็ต้องมีเหตุผลในการไปเรียกร้อง ไม่ใช่ไปขับไล่โดยใช้ความรุนแรง ซึ่งหากนายอุทัยและนศ.กลุ่มดังกล่าวยังไม่หยุดใช้ชื่อ ม.รามคำแหงไปเคลื่อนไหว ทางองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงก็จะมีมาตรการคว่ำบาตรต่อไป..
*******************************************
เครดิตข่าว : เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/crime/240529
"สนนท." ประณาม คปท. แช่แข็งประเทศ จ่อคว่ำบาตรแกนนำ นศ.รามแอบอ้างสถาบัน
โดยนายสุพัฒน์ ได้อ่านแถลงการณ์มีใจความว่า หลังการรัฐประหารปี2549 ทำให้การต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยิ่งชัดเจนขึ้น ซึ่งทางฝ่ายเผด็จการได้วางรากฐานอำนาจไว้ทั้งองค์กรตุลาการ องค์กรอิสระ พรรคการเมือง เพื่อแช่แข็งประเทศให้อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลัง แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ประชาธิปไตย แต่ก็ยังมีกลุ่มลิ่วล้อของเผด็จการหลงยุค ปักหลักชุมนุมอยู่ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าล้าหลังอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อกลุ่มแกนนำผลัดเปลี่ยนขึ้นมาแสดงบทบาท พร้อมกับข้อเรียกร้องที่ขัดแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยแช่แข็งประเทศ และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยกลุ่มลิ่วล้อและเครือข่ายเผด็จการหลงยุค มักใช้ปัญหาต่างๆ มาเป็นเงื่อนไขมาสร้างสถานการณ์ปลุกระดมมวลชนเช่นปัญหาราคายางพารา ปัญหาชายแดน โดยเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และมีการเปลี่ยนชื่อกลุ่มขับเคลื่อนต่อไป
สนนท.ขอให้กลุ่มลิ่วล้อและเผด็จการหลงยุค หยุดการกระทำที่นำไปสู่การล้มระบอบประชาธิปไตย เพื่อรื้อฟื้นอำนาจเก่าล้าหลัง เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการแย้งกับทิศทางประชาธิปไตย
นายสุพัฒน์กล่าวต่อว่า สนนท.ไม่เห็นด้วยในทุกกรณีใดๆ ทั้งการทำลายระบอบประชาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญ โดยนำความทุกข์ยากของประชาชนมาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เผด็จการนอกสภา จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจให้เคารพกฎเกณฑ์บ้านเมือง
ด้าน นายนันทพงศ์ กล่าวว่า จากกรณีที่ นายอุทัย ยอดมณี นายกองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง และนศ.ม.รามคำแหงจำนวนหนึ่งไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท. โดยอ้างชื่อม.รามคำแหงนั้น ขอยืนยันว่าองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงมีคณะกรรมการ 12 คน แต่ที่ไปร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม คปท.มีเพียง2คน ที่เหลือต่างไม่เห็นด้วย และไม่เคยมีการประชุมอนุมัติให้ไปร่วมเคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ในการอ้างชื่อองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงไปร่วมเคลื่อนไหว เพราะที่ผ่านมาพวกเราเคารพในประชาธิปไตย และสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่ารัฐบาลจะทำไม่ถูกไม่ควร แต่ก็ต้องมีเหตุผลในการไปเรียกร้อง ไม่ใช่ไปขับไล่โดยใช้ความรุนแรง ซึ่งหากนายอุทัยและนศ.กลุ่มดังกล่าวยังไม่หยุดใช้ชื่อ ม.รามคำแหงไปเคลื่อนไหว ทางองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหงก็จะมีมาตรการคว่ำบาตรต่อไป..
*******************************************
เครดิตข่าว : เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/crime/240529